อย่าเหลิงอำนาจหน้าที่

คับข้องขุ่นใจด้วยเหตุอันใด

ม.จ. จุลเจิม ยุคล ถึงได้ออกมาแสดงความเห็นฝากถึง “ตำรวจน้ำดี” ได้อ่านกัน เพื่อจะได้หาทางปรับปรุงตัวเอง อย่าเหลิงอำนาจหน้าที่เหมือน “นายตำรวจรุ่นพี่” ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการ

ส่วนตำรวจที่ดี ๆ ที่ผดุงความยุติธรรม ก็มีเยอะ ตำรวจที่มีความอยุติธรรม ก็มีเยอะ ตำรวจไทย

เจ้าตัวเล่าว่า ทานข้าวกับนักธุรกิจ เชื้อสายจีน สัญชาติกัมพูชาที่จะนำเงินมาลงทุนในบ้านเรา และลงทุนไปแล้ว ประมาณสองพันล้าน เพื่อช่วยกระตุ้น และฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กับประเทศ นักธุรกิจรายนี้ปัจจุบัน มีสัญชาติกัมพูชา ขออนุญาตทวนซ้ำว่า มีสัญชาติกัมพูชาและได้รับอนุญาต ( วีซ่า ) ให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยอย่างถูกต้อง ถึงวันที่ 5 มกราคม 2566

แล้วจู่ๆ ในระหว่างที่ นักธุรกิจจีน เชื้อชาติกัมพูชา รายนี้รับประทานอาหารได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดเฉพาะกิจ อ้างว่าได้รับคำสั่งจากรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านหนึ่ง ที่มีชื่อคล้าย (เหมือนผมก็แล้วกัน) มาจับตัวนักธุรกิจนักธุรกิจจีน เชื้อชาติกัมพูชารายนี้ และชุดจับกุมดังกล่าว ได้ส่งนักธุรกิจผู้นี้ ไปคุมขังที่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง แจ้งข้อหาว่า มีหมายแดง ( Red Notice ) จากอินเตอร์โพลประเทศจีน

สิ่งที่น่าผิดหวัง และน่าสังเกต ของการจับกุมนักธุรกิจจีน เชื้อชาติกัมพูชารายนี้ เป็นคำสั่งจากรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่กำลังจะเกษียณอายุ อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ได้สั่งให้ลูกน้องชุดเฉพาะกิจของตัวเอง และสั่งการไปยังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางจัดชุด “หนุมาน”

ยกโขยงกันมาประมาณ 50 คน เพื่อมาจับนักธุรกิจ คนเดียว ยิ่งกว่าจับ โจร หรือนักโทษในคดีอุกฉกรรจ์ ขณะกำลังรับประทานอาหาร ในภัตตาคาร เพื่อส่งให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไปคุมขัง

ไม่ได้แสดงหมายจากศาล ( ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ) และไม่แสดงหลักฐานการยกเลิก/เพิกถอน วีซ่าในพาสปอร์ตของประเทศกัมพูชา แสดงให้ผู้ถูกจับรับทราบ (ชุดจับกุม ปิดปาก เป็นใบ้) แถมมีคำสั่งจาก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่กำลังจะเกษียณอายุ อีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม) ให้เพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมนักธุรกิจดังกล่าว ราวกับเป็นนักโทษในคดีอุกฉกรรจ์

แม้กระทั่ง เขา (จำเลย) จะขอใช้สิทธิพบทนายความตามกฎหมายก็ได้รับการปฏิเสธเป็นคำสั่งที่นายตำรวจรุ่นน้องต้องยอม เพราะเป็นคำสั่งจาก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รุ่นพี่)

ในกรณีการจับนักธุรกิจจีน สัญชาติกัมพูชานายนี้ หากเป็นการจับเพราะกระทำผิดกฎหมายไทย หรือกฎหมายของประเทศภาคีสมาชิกอื่น  ในการจะจับกุมกันจริง ๆ  ก็ควรที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอน และกระบวนการทางกฎหมายไทยเสียก่อน

ต้องเปลี่ยน หมายแดง( Red Notice ) จากอินเตอร์โพลร้องขอมาเป็นหมายจับที่ศาลไทย อนุมัติให้เป็นหมายจับกรณีส่งผู้ร้ายข้ามแดนเสียก่อน ถึงจับกุมได้ จะมาอ้างหมายแดงจากตำรวจสากลประเทศจีนเพียงอย่างเดียว แล้วส่งตำรวจหนุมาน และลูกน้องตัวเองมาจับ ควบคุม และส่งห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองอีกทั้งยังไม่ได้รับสิทธิพบทนายความตามกฎหมาย

“ผมว่า การกระทำดังกล่าว อาจจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่เกินขอบเขตอำนาจที่กฎหมายให้อำนาจกับตำรวจไทยไว้   หรือเพียงเพราะสำคัญตนเองผิด ว่าใหญ่จนลืมตัวของรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่กำลังจะเกษียณอายุ แถมมีชื่อเหมือนผม ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า กระทำการเหนือกฎหมายเสียเอง  อยากจะจับใคร หรืออยากจะวิสามัญใครก็ทำได้ หรือหากมีเจตนาแอบแฝงอยากจะตบทรัพย์ใคร ก็สามารถอ้างโน่นอ้างนี่ ก็ทำได้ ตำรวจดี ๆที่ยศต่ำกว่า ย่อมไม่มีปากเสียงใด ๆ จะโต้แย้งได้ ต้องปฏิบัติตามนายสั่ง” ม.จ.จุลเจิมระบายความเห็น เพราะไม่อยากให้ความผิดพลาดบกพร่องก่อนเกษียณไม่กี่เดือนมาทำเช่นนี้

ส่วนเท็จจริงอย่างไรในเรื่องนี้คงต้องถามเจ้าตัว

 

 

 

RELATED ARTICLES