“เล็ก ๆ น้อย ๆที่ได้มาจากการอ่านหนังสือเชอร์ล็อคโฮมส์ คือการสังเกตท่าทางทุกอย่าง”

าพดูเหมือนนักวิชาการแต่แท้จริงเป็นนักสืบระดับมันสมอง

พล.ต.อ.ณรงค์วิช ไทยทอง อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ที่ผ่านคดีสำคัญมาอย่างโชกโชนชนิดเป็นมือปราบระดับแถวหน้าขององค์กรสีกากี

เริ่มต้นเส้นทางผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ตามรอย พ.ต.อ.โพธิ์ ไทยทอง ผู้เป็นบิดา ด้วยการสอบเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 18 หลังจบมัธยมปลายโรงเรียนอำนวยศิลป์ มีเพื่อนร่วมรุ่น อาทิ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ พล.ต.ท.อนันต์ ภิรมย์แก้ว พล.ต.ท.เหมราช ธารีไทย

เคยเป็นสารวัตรแผนก 4 กองกำกับการ 2 กองปราบปราม ก่อนขยับเป็นรองผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม และผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม ที่มีอำนาจล้นมือและเป็นที่ไว้วางใจของ พล.ต.อ.สุรพล จุลละพราหมณ์ ต่อเนื่อง พล.ต.อ.ณรงค์ มหานนท์ และพล.ต.อ.เภา สารสิน 3 ตำนานอธิบดีกรมตำรวจชื่อก้อง

ติดนายพลตำแหน่งเลขานุการกรมตำรวจ ไปขึ้นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจภูธร 3 รองผู้บัญชาการตำรวจภูธร 4 รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด แล้วผงาดเป็นผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ และรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก่อนเกษียณอายุราชการ

เจ้าตัวเล่าว่า ความจริงพ่อไม่ได้อยากให้เป็นตำรวจ แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ตัดสินใจมาสอบเอง หลายคนมองว่า เราเป็นนักวิชาการ ทว่าเราผ่านหลักสูตรสำคัญมา 4 หลักสูตรที่ทำให้ซึมทราบเข้าไปในวิญญาณ ตั้งแต่ หลักสูตรสืบสวน หลักสูตรเรียนการบินที่ประเทศสหรัฐอเมริกา หลักสูตรฝ่ายอำนาย และหลักสูตรจากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ทำให้เราสามารถประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ และพัฒนาความคิดได้ระดับหนึ่ง โดยดูตัวอย่างจากผู้ใหญ่ รวมถึงอ่านหนังสือที่เราเห็นว่า ควรจะมีคุณค่าสำหรับการทำงาน

แม้กระทั่งนิยายแนวสืบสวนสอบสวนอย่างเชอร์ล็อคโฮมส์ เขายังต้องอ่าน อ่านแล้วมันสามารถซึมซับเอาไปใช้ได้ด้วยระหว่างเป็นรองผู้กองทำหน้าที่พนักงานสอบสวนอยู่โรงพักเมืองลพบุรี พล.ต.อ.ณรงค์วิช จำเรื่องราวแม่นยำว่า รับแจ้งจากชาวบ้านได้ยินเสียงปืนดังตอนกลางดึก พอเช้าเห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ระหว่างทางก่อสร้างในสภาพยับเยิน มีรอยทุบและรอยกระสุนเต็มคันรถจึงบันทึกภาพถ่ายไว้ จากนั้นไม่ได้นิ่งนอนใจพยายามตามหาเจ้าของรถ ทราบว่าเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างบริษัทใหญ่ อยู่ปากเกร็ด นนทบุรีไปรับก่อสร้างสะพานระหว่างไปลพบุรี

นายพลวัยเกษียณบอกว่า จากการสอบสวนเราก็รู้ว่า มาพักเมื่อไหร่ พักที่ไหน มีใครมาด้วยกันหรือไม่ สร้างโครงการไปได้เงินเท่าไหร่ ปรากฏว่า มีเช็คติดอยู่หลายใบที่เขายังไม่ให้ แต่งวดนั้นรับเงินไปแล้วก่อนหายตัวเจอแค่รถ เมื่อไปสอบที่บ้านย่านปากเกร็ด ภรรยาบอกว่า ไม่เจอหน้าสามีเลย แนวทางการสืบสวนยังพบว่า ผู้รับเหมารายนี้มีหนี้สิ้นอยู่จำนวนไม่น้อย พวกเราก็ตระเวนหาศพอยู่หลายวันก็ไม่เจอ

“อยู่มาวันหนึ่ง เขาก็โผล่มาอ้างว่า ถูกปล้น มีคนเอาตัวไปขัง ผมจดบันทึกไปเรื่อยแล้วเริ่มสังเกตว่า ไม่น่าจะใช่ คือ เขาบอกว่า หลังจากถูกปล้นแล้วไม่ได้ไปไหนเลย แต่หนวดเคราโกนเกลี้ยงเกลาหมด ถ้าถูกขัง 3 วันน่าจะโทรม เชื่อว่า คงจะมีอะไรที่ยังบังตำรวจอยู่ ผมก็ถามว่า ไปบ้านบ้างหรือไม่ เขาก็บอกเพิ่งกลับมา คืนนั้นออกจากบ้านมาด้วย ผมก็จดรายละเอียดเสร็จไปคุยปรึกษากับผู้กองว่า คิดยังไง ก่อนลงความเห็นกันแล้วว่า มันแจ้งเท็จแน่ คงเอาเงินไปทำอย่างอื่น ผมก็สอบบันทึกลงประจำวันเสร็จเรียบร้อย ถามย้ำอีกครั้งว่า คุณยืนยันแจ้งมาอย่างนี้นะ มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงไหม เพิ่มเติมอะไรตรงไหนอีก จากนั้นผมก็ดำเนินคดีข้อหา แจ้งความเท็จเลย”

“ สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ตรงนี้ ถ้าเราเอามาประมวลเข้ากันแล้ว เราก็สามารถที่จะสามารถทำอะไรได้บ้าง ตรงนี้เป็นแนวทางเล็ก ๆ น้อย ๆที่ได้มาจากการอ่านหนังสือเชอร์ล็อคโฮมส์ คือการสังเกตท่าทางทุกอย่าง เช่น เดินยังไง คนแบบนี้จะมีลักษณ์อย่างไร รองเท้าเบอร์อะไร มันบอกได้หมด มันไม่ใช่ไฮเทคโนโลยี แต่มันเป็นโลว์เทคโนโลยีที่เป็นข้อมูลใช้ได้กับการสืบสวนต่าง ๆเหล่านี้ ผมถึงเป็นนักวางแผน และพยายามคาดการณ์ล่วงหน้าเสมอ” นายพลมากประสบการณ์ให้มุมคิด

ตลอดระยะเวลารับราชการ พล.ต.อ.ณรงค์วิช วางมุมมองการทำงานที่ค่อนข้างมีน้ำหนักเหตุผลอาจเป็นเพราะตัวเองสัมผัสชีวิตตำรวจของพ่อมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขาบอกว่า เวลาพ่อย้ายไปไหนก็ต้องตามไปเรื่อย ชีวิตตำรวจเล็ก ๆ ถูกย้ายกลางปี ครอบครัวก็ลำบาก ลูกต้องย้ายโรงเรียนตามทำให้การศึกษาไม่ปะติดปะต่อ ถือเป็นเรื่องสำคัญ ปัญหา คือ ผู้บังคับบัญชาควรจะดูแลตรงนี้ เพราะพวกเขาเสมือนเป็นเม็ดเลือดที่สำคัญ ถ้าลูกน้องดีทุกอย่างก็สบายไปครึ่ง ในทางตรงข้าม หากไม่ใส่ใจบางทีคนดีก็อาจกลายเป็นอาชญากรเบอร์ 1 ได้

อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเล่าว่า ตอนเป็นผู้กำกับการ 2 กองปราบปรามรู้จักลูกน้องคนหนึ่งเป็นตำรวจชั้นประทวน เคยเป็นตำรวจป้อมสมัครไปอยู่ทีมสืบสวนของภูธร 7 ถือว่าดังมากยุคนั้น เป็นตำรวจมือดี ใจถึง นายเรียกใช้ ตอนหลังมีการปรับเปลี่ยนทีม ปรับเปลี่ยนผู้การ ปรับเปลี่ยนผู้กำกับ ก็ไม่อยู่ในทีมใหม่ ด้วยความเกรงใจพวกมือปืนเก่าก็จะเข้าไปหา มาปรึกษาว่า มีคนมาจ้างรับงานฆ่า แรก ๆตำรวจคนนี้ก็ห้ามปรามว่าอย่า และไปบอกอีกฝั่งให้รู้ตัว ทำไปทำมาพัฒนารับงานเป็นมือปืนเองกระทั่งโดนออกจากราชการ

“ผมเอามาคุยด้วย บอกมันไปว่า แกออกไปก็ตาย เพราะแกทำชั่วไว้เยอะ แล้วให้มันเล่าความเป็นมาของชีวิตว่าเป็นอย่างไร เพราะอะไรถึงเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ทำให้รู้ว่า มันเกิดจากผู้บังคับบัญชาขาดการดูแล ทำให้มันดิ้นรน มันยังบอกเลยว่า อยู่ไปก็เท่านั้น ทำกรรมไว้เยอะ อย่าเอาตัวมันไว้เลย รู้ว่าต้องตายแน่ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ผมก็บอกมันว่า ถ้าเราอยู่เราก็คงต้องดูแล แต่ไม่ใช่ดูแลแบบให้ไปทำอะไร แล้วไม่ต้องมาบอกผมว่า ท่านมีงานไหม ไม่ต้องบอก ไม่ต้องถาม ผมไม่เอาแน่นอน แค่อยากให้ชีวิตมันอยู่ได้ คนสำนึกผิดองคุลีมาลยังอยู่ได้ แต่พอจังหวะผมไปเมืองนอก มันแวบออกไปเลยถูกยิงตายที่นครปฐม” พล.ต.อ.ณรงค์วิชชี้ให้เห็นภาพ

“นี่คือชีวิตของตำรวจ มันลำบาก ถ้ามองให้ลึกก็เหมือนคนธรรมดา ถ้ามีลูกน้องเราต้องดูแล ต้องเข้าใจ เข้าถึงในส่วนของคนที่ทำงาน มันเป็นทั้งเสือ ฆ่าคนได้ มีอาวุธ หรือไม่ก็เป็นคนที่จะสามารถช่วยคนได้ หากเราดูแล ทำให้เขาเป็นคนดี การดูแลลูกน้องถือเป็นเรื่องสำคัญ บังเอิญผมโชคดี ได้ลูกน้องดี ได้พวกดี ได้นายดี เท่านั้นเอง ผมไม่ได้เก่งกาจอะไร” 

เขายอมรับว่า ส่วนตัวมีความคิดไปเป็นทางแยกหลายทาง หมอดูเคยทักดวงของเราไม่ตายโหง มีจิตสัมผัสที่ได้มาจากกำเนิด ลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เรามีความฉุกใจ เฉลียวใจ จึงเอาความเฉลียวใจตรงนี้เข้ามาช่วย เหมือนการคิดล่วงหน้า ถ้านายสั่งอย่างนี้ เราจะทำให้ได้ไหม สมัยเป็นผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม ก็ต้องคิด ผู้บังคับบัญชาที่จะสั่งเราได้โดยตรงมีแค่ 2 คน นั่นคือ อธิบดีกรมตำรวจ และผู้การกองปราบ ถ้าสั่งอะไรมาเราจะทำได้หรือไม่ ยุคนั้นถ้าอธิบดีณรงค์ มหานนท์ เรียกไปแสดงว่า มีงานใหญ่แน่นอน ถึงต้องคาดการณ์ล่วงหน้า

ในที่สุดสิ่งที่ พล.ต.อ.ณรงค์วิช เดาไว้ก็เป็นจริง เมื่อ พล.ต.อ.ณรงค์ มหานนท์ เรียกเข้าไปพบแล้วสั่งให้ไปจับกุมบ่อนพนันอิทธิพลย่านพัฒนาการที่มีนายวัฒนา อัศวเหม นักการเมืองใหญ่อยู่เบื้องหลังกลายเป็นปฏิบัติการกระฉ่อนสะท้านวงการตำรวจที่ทำให้ทุกคนรู้จักผู้กำกับการ 2 กองปราบปรามนาม “ณรงค์วิช ไทยทอง” เรื่องนี้ เจ้าตัวย้อนอดีตว่า คิดวางแผนมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยอธิบดีสุรพล จุลละพราหมณ์ คิดว่า หากมีบ่อนพนันใหญ่ขึ้นมาแล้วนายให้ไปจับ เราจะทำได้หรือไม่ ตรงนี้ถือว่า ทีมเวิร์กสำคัญสุด เชื่อไหมว่า การทลายบ่อนครั้งนั้นใช้ตำรวจแค่ 20 คน แต่รวบนักพนันได้กว่า 200 ชีวิต เป็นการจับจริง ไม่ได้จัดฉากด้วย

ตำนานบทหนึ่งแห่งกองปราบปรามเผยเทคนิคว่า ก่อนหน้าต้องสำรวจตรวจสอบพื้นที่ทั้งหมด คนมีกี่คน นิสัยใจคอ นิสัยใจคอเป็นอย่างไร บ้านมีกี่หลัง คนที่เข้าไปดูแลเป็นใครจะเผลอตอนไหน เปลี่ยนผลัดยามอยู่ช่วงไหน มีเหตุการณ์อะไรแต่ละวันหรือไม่ วันก่อสร้างบ้านใช้บริษัทอะไร ทำเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งภายในใช้บริษัทอะไร ใช้รถอะไรเข้าไป ต้องติดตามอัพเดทของมูลตลอด เพราะหากผู้บังคับบัญชาสั่งการ รุ่งขึ้นก็สามารถเข้าไปได้เลย

ทั้งนี้ทั้งนั้น ความสำเร็จในปฏิบัติการดังกล่าว พล.ต.อ.ณรงค์วิช ต้องเอาลูกน้องไปแอบฝึกซ้อมอยู่ที่ค่ายนเรศวร จังหวัดเพชรบุรี ฝึกเรื่องการเข้าปิดล้อมหมู่บ้าน คนฝึกก็ไม่รู้ภารกิจ ขณะเดียวกัน ยังต้องมีทีมมวลชน สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้คนแถวนั้น มีบ้านอยู่ 5 หลังอยู่ติดริมคลองเหมาะกับการใช้เป็นแนวร่วม ต้องเช็กหมดว่า แต่ละหลังมีลูกกี่คน มีอาชีพอะไร คนไหนถูกจับก็ไปช่วย มีใบสั่งก็ไปเอาให้ บางคนไม่มีงานทำก็ต้องเข้าไปช่วย พอบ้าน 5 หลังนั้นเป็นของตำรวจแล้ว พล.ต.อ.ณรงค์วิชถึงมั่นใจว่า แนวเข้าตีสบายแล้ว

หัวหน้าชุดบุกทลายบ่อนพนันนักการเมืองใหญ่แจงอีกว่า ในฐานะที่เป็นผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการมันต้องคิดเอาไว้ก่อน คิดไว้แล้วต้องเตรียมแผนรองรับ สมัยนั้นเราวางนโยบายแบบฟรีสไตล์ สารวัตรทุกคนอยากจะไปจับบ่อนไหนจับได้เลย ไม่ต้องมาขออนุมัติ ใช้กำลังได้ทันที แต่เมื่อจะเข้าไปแล้วขอให้รายงาน ไม่ต้องมากั๊กว่า ต้องคนนั้นคนนี้ไปจับ มีพรรคพวกจะเปิดบ่อน เราก็จะบอกช่วยไม่ได้นะ เพราะสารวัตร และรองผู้กำกับอีก 6-7 คนจะไปจับตอนไหนไม่รู้ นั่นคือความภูมิใจของเรา ตอนเป็นผู้กำกับแล้วรองผู้กำกับที่อยู่ด้วยกัน 90 เปอร์เซ็นต์ในตอนหลังเป็นนายพลหมด ตั้งแต่ สมบัติ อมรวิวัฒน์ ชัจจ์ กุลดิลก ชาตรี สุนทรศร อัมรินทร์ เนียมสกุล อิสระพันธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ภูมิใจที่สามารถดูแลลูกน้องจนได้ดิบได้ดี

“ผมกับวัฒนาก็รู้จักกันนะ แกเป็นคนสปอร์ต มาเจอกันทีหลังยังบอกว่า ไอ้วิช อั๊วเข้าใจ เรารู้จักกัน วิชให้เกียรติเรา ผมกับวัฒนาก็เคยกินข้าวด้วยกัน แต่มันเป็นหน้าที่ ชลอ เกิดเทศ ตอนนั้นเป็นรองผู้การกองปราบยังมาถาม ผมก็ตอบไปว่า ผมไม่เอาดาบที่ได้มาทำให้ไม่มีคุณค่าหรอก บ่อนแค่สารวัตรก็จับได้แล้ว ยกเว้นนายสั่ง พี่คิดดูแล้วกัน นายเขาแต่งตั้งผม พี่ลอแต่งตั้งผมหรือเปล่า แกก็หัวเราะบอก เออ ๆ เอ็ง กูเข้าใจ ผมอยู่แบบนี้ พูดง่าย ๆ ไม่ทำร้ายน้ำใจใคร แต่ก็ต้องรักษาหน้าที่ของเราด้วย” นายพลวัย 70 สาธยายวีรกรรมวัยหนุ่ม

“ ผมไม่ยุ่งกับบ่อนเลยนะ ตอนเป็นผู้กำกับ 2 กองปราบ ผมไปขอบ่อนใหญ่ทั้งหมด ไม่ว่าชัช เตาปูน หรือ ปอ ประตูน้ำ ทำข้อตกลง 5 อย่าง คือ 1. ผมไม่รับเงินคุณนะ 2. ถ้าคุณรู้ว่ามีใครไปรับเงินแล้วมาอ้างชื้อผม คุณต้องมาบอกผม 3.ใครรับเท่าไหร่ เคยให้เท่าไหร่ คุณเต็มใจให้ คุณก็ให้ไปนะ ผมไม่ว่า 4. ตำรวจของผม ผมรัก ถ้ามันไปทำไม่ดีอย่าไปทำมัน ให้มาบอกผม ผมจะไปทำมันเอง เพราะมันเป็นลูกน้องผม 5.ถ้านายเขาสั่งให้ผมจับ ผมก็จะจับ  แล้วอย่ามาเคืองกันนะ 300 กว่าวันไม่ใช่ว่าปล่อยนะ แต่แค่วันเดียวจะไม่ยอมให้ผมเหรอ ต้องยอมนะ ผมไปต้องยอม ถ้าไม่จำเป็นผมไม่ลง ผมก็ย้ำไปแบบนั้น เรื่องพวกนี้มันนักเลงกับนักเลง”

ยุคก่อน พล.ต.อ.ณรงค์วิชเล่าว่า ได้นายดี เพราะการทำงาน ต้องมีงบประมาณ มีคน มีเครื่องมืออุปกรณ์ อธิบดีสุรพล จุลละพราหมณ์ ให้หมดทุกอย่าง แม้กระทั่งบ้าน ท่านบอกว่า ไม่ต้องการให้มีตำรวจเฝ้าบ้าน แต่ก็ไม่อยากให้หน้าบ้านมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น แม้กระทั่งคดีวิ่งราวทรัพย์ สั่งให้เราไปจัดการก็ต้องไปคิดว่าจะทำอย่างไร พอดีมีบ้านหลังหนึ่งตรงข้ามบ้านท่านว่าง เจ้าของบ้านเป็นทูตทหารอากาศเลยติดต่อขอเช่าเอาตำรวจตัดผมหัวเกรียนแต่งตัวเป็นทหารอากาศไปอาศัยอยู่ คอยดูแล ต่าง ๆ เหล่านี้เราต้องทำ ท่านก็สนับสนุน

“บ้านผมอยู่ห่างไปอีก 200 เมตร ก็มีพลตำรวจอีก 7-8 คน เป็นเซฟเฮาส์อีกแห่ง ทำเป็นอู่รถ ฝึกคนอยู่ข้างใน คอยดูแลท่านเรื่อยๆ ดูแลรอบ ๆ ด้วย ท่านก็พอใจ อธิบดีณรงค์ขึ้นมาแทนก็ยังใช้งานผมต่อเนื่อง งานที่สั่งมาก็จบด้วยดีทุกเรื่อง เราเป็นกุ๊ก ต้องรู้ว่านายต้องการทานอะไร นายชอบอะไร พยายามหาของให้ตรงกับใจนาน พอสั่งก็ออกมาได้ทันที สิ่งต่าง ๆเหล่านี้เราต้องคาดคะเน ประเมินสถานการณ์ไว้ ไม่ใช่แค่ปัจจุบัน แต่ต้องเป็นทั้งอนาคต”

พล.ต.อ.ณรงค์วิช ยังเล่าประสบการณ์นักสืบแกะรอยคดีสำคัญว่า สมัยเป็นผู้กำกับเคยติดตามขบวนการพิมพ์ธนบัตรปลอมรายใหญ่ระดับประเทศยึดได้แท่นพิมพ์และของกลางจำนวนมาก ใช้เวลาแกะรอยอยู่ 3 ปี เริ่มจากล่อซื้อทีละน้อย ๆ จนเริ่มมากขึ้นได้คอนเนกชั่นเครือข่ายขบวนการที่มันไว้ใจถึงขั้นขอให้เปลี่ยนธนบัตรปลอมที่มีตำหนิไปเปลี่ยนบล็อกพิมพ์ใหม่ให้เนียนกว่าในระยะเวลา 3 วัน กระทั่งคนร้ายติดกับยอมรับปาก เราก็จัดทีมสะกดรอยทันทีไปจับได้ที่ปราจีนบุรีขยายต่อใกล้ถึงแท่นพิมพ์แล้ว ซึ่งตัวการสำคัญที่จะพาไปสู่แท่นพิมพ์อยู่พระนครศรีอยุธยา

“ ตอนนั้นเย็นมากแล้ว ตัดสินใจเอาหมายค้นไปให้อธิบดีณรงค์เซ็น ท่านไม่ยอมเซ็นบอกค้นกลางคืนไม่ได้ เสี่ยงมากเกินไปแล้ว ผมเลยบอกว่า ท่านไม่ออกหมายให้ไม่เป็นไร ผมเข้าแน่นอน ผมจะติดตะราง หรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่ต้องมารับผิดชอบ แค่อยากให้รับรู้ไว้ สุดท้ายนำกำลังเข้าเลย โชคดีได้แบงก์ตัวอย่างมาอีกแบบ ก็คุยกับผู้ต้องหาว่า เอ็งจะเอายังไง ไม่ติดคุกเอาไหมถ้าบอกว่าแท่นอยู่ไหน มันก็ต่อรองว่า จะมีอะไรรับประกัน ผมว่า เอ็งนับถือใคร มันบอกนับถือหลวงพ่อโต วัดมงคลบพิตร ผมก็พาที่วัดบอกสาบานเลยเอ็งไม่ติดคุกแน่ มันถึงยอมพาไปที่ดินแดงจับคาแท่นพิมพ์ได้ 3-4 แท่น เป็นรายใหญ่ในประเทศไทย คิดดูว่า ใครได้ กรมตำรวจได้ ผมจะติดคุก แต่เป็นคดีที่น่าภูมิใจนะ” พล.ต.อ.ณรงค์ระบายความรู้สึก

อีกคดีที่เขามองว่า คลายปมแล้วทำให้บ้านเมืองสงบ เป็นคดีวางระเบิดสังหารแม่นางคมคาย พลบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นข่าวโด่งดัง พล.ต.อ.ณรงค์วิช เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนจนสามารถทลายเครือข่ายขบวนการรับจ้างลอบวางระเบิดสังหารระดับประเทศเกือบยกแก๊ง โดยเฉพาะคนรับงานอย่าง “จ่ามี” สิทธิพร ขำอาจ ลูกน้องเก่าสมัยอยู่กองปราบปราม นำไปสู่การกวาดล้างผู้มีอิทธิพลครั้งใหญ่ในภาคตะวันออก

สมัยเป็นผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจยังได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีทุจริตธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ ทำสำนวนกว่า 52 คดีจับผู้เกี่ยวข้องติดคุกหมด ไม่ว่าจะเป็นนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ และนายราเกซ สักเสนา เจ้าตัวว่า รู้สึกเศร้าใจที่ประเทศชาติมีคนโกงและอยู่เบื้องหลังอีกเยอะ แต่หลักฐานยังเอาไม่ถึง อาจมีอุปสรรคบ้าง เราสามารถแก้ได้ เสนอรองอธิบดีกรมตำรวจที่ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมตำรวจสั่งฟ้องทุกคดี แต่แปลกตรงที่มีคดีเดียวไม่ยอมสั่งฟ้องทั้งที่ประชุมกันเรียบร้อยแล้ว

หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีเอาผิดพ่อมดการเงินเผยเบื้องหลังในประเด็นนั้นว่า มีการมุบมิบจะสั่งไม่ฟ้องโดยไม่บอกเรา พอเอาสำนวนมาดูถึงรู้มันมีที่มาที่ไป เป็นหนี้บุญคุณกันอยู่ เราบอกทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ก่อนเข้าไปปรึกษา พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อธิบดีกรมตำรวจ “ผมบอกว่า สำนวนเสร็จแล้ว ผมจะไปหาอัยการให้สั่งฟ้องก็ได้ แต่ท่านเป็นอธิบดีกรมตำรวจแล้วมอบหมายให้รองอธิบดีทำแทนจะมีปัญหาตอนหลัง ผมยกตัวอย่างให้ศึกษาระเบียบราชการว่า ผู้สั่งให้ผู้อื่นทำการแทน ผู้สั่งต้องรับผิดชอบด้วย แต่ก็มีช่องออกอีกอันคือ หากผู้ทำการแทนทำไม่ชอบ ผู้สั่งการสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ผมเลยว่า ท่านครับออกทางนี้เลย สั่งฟ้องให้ผมด้วย ไม่อย่างนั้นกรมตำรวจพังหมด อธิบดีประชาถึงยอมสั่งฟ้อง”

“รองอธิบดีกรมตำรวจคนนั้นผมนับถือนะ แต่เรื่องนับถือก็ส่วนนับถือไม่เกี่ยวกัน เรื่องงานก็ต้องเป็นเรื่องงาน  ผมว่า ท่านควรจะขอบคุณผมด้วย ไม่ต้องมาติดคุกตอนแก่ ผมเจอมาแบบนี้พอสมควร อาศัยนายดี นายเข้าใจ ผมยังแปลกใจ เขาทำไปได้อย่างไงถึงกล้าสั่งไม่ฟ้อง เพราะมันจะทำให้ระบบเสียหมด คดีนี้เป็นสิ่งที่ผมภูมิใจ เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ของชาติ แต่ผมไม่เคยคิดถึงสิ่งที่ตามมาต้องได้อะไรบ้าง ไม่เคยมีใครมาจดประวัติให้ผมว่าไปทำคดีที่ไหนมาบ้างหรอก และผมก็ไม่ร้องขอด้วย เพราะผลของคดีมันจะพิสูจน์เองว่า เราทำไปแล้วมันได้ผล หรือไม่ได้ผล”

ท้ายสุด พล.ต.อ.ณรงค์วิชฝากความเป็นห่วงอนาคตตำรวจรุ่นหลังไว้หลายเรื่อง ตั้งแต่ การเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ จำเป็นต้องฝึกยุทธวิธีให้ดี รวมถึงอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือต้องพร้อม ขณะเดียวกัน เขายังห่วงปี 2558 ที่จะมีเปิดการค้าเสรีในแถบอาเซียน มีแนวโน้มว่า อาชญากรรมข้ามชาติจะเพิ่มขึ้น ตำรวจทำอะไรไว้รองรับหรือยัง การข่าวดีหรือไม่ ความร่วมมือระหว่างประเทศมีบ้างไหม ผู้นำเขา ผู้นำเรามีการประชุมกันหรือไม่ สร้างคอนเนกชั่นไว้หรือยัง ถ้าไม่มีเราจะทำอย่างไร รับไหวหรือไม่

“ถ้ายังไม่ทำก็น่าเป็นห่วงแล้วจะกลายเป็นภาระหนักมากมายของตำรวจ”

  ณรงค์วิช ไทยทอง !!!

RELATED ARTICLES