ควรสักครั้งในชีวิต

าวไทยทุกคนควรจะได้สำนึกว่าการที่ดำรงชีวิตอยู่บนผืนแผ่นนี้อย่างผาสุกเนื่องจากเรามีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์พระประมุขของประเทศ ที่ทรงพระปรีชาสามารถ พระองค์ทรงประกอบพระกรณีย์กิจอันเป็นประโยชน์นานัปการแก่ปวงชนชาวไทยมาโดยตลอด ทรงห่วงใยและเอื้ออาทรต่อทุกข์สุขของพสกนิกร ทรงเป็นศูนย์รวมน้ำใจของปวงชนชาวไทย ควรที่ทุกคนจะหาโอกาสแสดงความจงรักภักดีต่อองค์ท่าน อย่างน้อยการใช้ชีวิตตามแนวทางพระราชดำริห์เรื่อง”ความพอเพียง” และสิ่งหนึ่งที่เป็นความใฝ่ฝันของประชาชนโดยเฉพาะผู้อยู่ในชนบทห่างไกล อยากจะมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิดสักครั้ง

ผมเป็นคนต่างจังหวัดเกิดที่อยุธยา เกิดที่อำเภอห่างไกลจากตัวเมืองไปอีกสิบกว่ากิโล สมัยนั้นการเดินทางจากบ้านเกิดถึงตัวเมืองต้องใช้เวลาประมาณ 3 ถึง 4 ชั่วโมง เส้นทางที่ไปได้สะดวกก็คือตามลำน้ำ ต้องนั่งเรือหางยาวไปตามลำคลองที่คดเคี้ยว บางช่วงน้ำตื้นเขินผู้โดยสารต้องลงจากเรือช่วยกันเข็น ถ้าจะไปโดยรถยนต์ก็ต้องเดินเท้าตัดทุ่งไปขึ้นรถประจำทางที่อำเภอป่าโมกข์ จังหวัดอ่างทอง บ้านผมไม่มีถนน ไม่มีรถยนต์ มีแต่ทางเดินตามดินหัวคันนาหรือตามทางเกวียน ต้องใช้เวลาในการเดินเท้าจากบ้านไปหาถนนเพื่อรอขึ้นรถประจำทางประมาณ 3 ชั่วโมง สรุปไปทางเรือเหนื่อยน้อยที่สุด

ที่ผมเกิดและอาศัยอยู่ช่วงเด็กต้องเรียกว่า”บ้านนอก”จริงๆ ข่าวสารการบ้านการเมืองอะไรไม่เคยได้รับรู้ ไม่มีวิทยุ,โทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ ที่พูดถึงนี่มันเป็นปี พ.ศ.2490  ปีที่ผมเริ่มจำความได้ ความจริงสมัยนั้นวิทยุน่าจะมีแล้วแต่แถวละแวกบ้านไม่มีไฟฟ้าใช้ กลางคืนต้องจุดไต้จุดตะเกียง จะรับข่าวสารเหตุการณ์บ้านเมืองทีต้องฟัง”เสียงเกราะ”ที่ผู้ใหญ่บ้าน,กำนันเคาะเรียก คุณพ่อผมจะเดินถือตะเกียงรั้วไปรับข่าวที่บ้านกำนัน แล้วมาแจ้งข่าวให้พวกเราทราบ พวกเราตื่นเต้นเมื่อได้รับข่าวสารจากทางการ ที่บ้านกำนันจะมีวิทยุแบบใช้ถ่านไฟฉายหลายสิบก้อนใส่กะบะเป็นแหล่งกำเหนิดพลังงาน เสาอากาศก็จะใช้ไม้ไผ่ลำยาวเสียบบนหลัง จะเปิดเฉพาะเวลากระจายข่าวประมาณ2ทุ่มแล้วต้องปิดเครื่อง ไม่งั้นเสาอากาศจะทำหน้าที่เป็นสายล่อฟ้า เสียงต่อการฟ้าผ่า ยามค่ำคืนพระอาทิตย์ตกดินจะมืดสนิทและเงียบสงบ เสียงเกราะจะดังกังวาฬรับช่วงเป็นระยะๆ จากบ้านกำนันส่งต่อไปยังบ้านผู้ใหญ่บ้าน พวกเราใจเต้นระทึกกลัวจะเกิดสงครามและตั้งใจรอฟังข่าวจากพ่อ แต่ก็เป็นข่าวที่ดีๆเสมอ

สมัยนั้นเรื่องเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก ดุจเทพเจ้า ไม่มีใครเคยเห็น ไม่มีใครได้รู้จริง มีแต่คำเล่าลือพูดกันปากต่อปาก เช่น พระองค์ท่านมีบุญญาอภินิหาร เสด็จที่ใดท้องฟ้าจะแจ่มใส อากาศที่ร้อนระอุก็จะไม่ร้อน ถ้าฝนทำท่าจะตกก็จะหยุด แดดร้อนเปรี้ยงก็จะกลายเป็นร่มเย็น พระองค์ท่านเสด็จที่ใดท้องถิ่นนั้นจะเจริญ ทำมาหากินรุ่งเรืองและคนมีบุญเท่านั้นถึงจะได้เห็นพระองค์ท่าน ผู้แก่ผู้เฒ่าในหมู่บ้านต่างภาวนาขอให้พระองค์ท่านเสด็จมาโปรด ผมดูแล้วไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย ผมบอกกับชาวบ้านว่า จะเป็นตัวแทนเข้าเฝ้าพระองค์ท่าน แล้วจะไปถ่ายทอดให้ฟัง

ปี พ.ศ.2496 ผมเข้ามาเรียนหนังสือที่ในตัวเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ค้นพบความจริงตอบข้อสงสัยที่ว่า ถ้าพระองค์ท่านเสด็จที่ใดท้องถิ่นนั้นจะเจริญ ก็เพราะหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจะไปช่วยเนรมิตให้เป็น เช่น ถนนหนทางไม่ดีก็ต้องไปสร้างไปทำ ที่ขรุขระก็ต้องไปปรับให้เรียบ ถนนเป็นฝุ่นก็ต้องไปลาดยาง ไฟฟ้าไม่มีก็รีบติดตั้ง เป็นป่ารกก็ต้องแผ้วถาง ต้องตกแต่งดูแลความสะอาดเรียบร้อยและสวยงาม ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเพียงแค่ข้ามคืนราวกับเนรมิตร เป็นผลจากบุญยาอภินิหารของพระองค์ท่านโดยแท้ แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังมองไม่เห็นโอกาสที่ความเจริญนี้จะไปถึงบ้านเกิดผมอยู่ดี ชาวบ้านแถวนั้นคงจะหมดสิทธิ์ได้ยลพระพักตร์ของพระองค์ท่าน

ปี พ.ศ.2500 ขณะผมเรียนหนังสืออยู่ที่อยุธยา จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้บูรณะซ่อมแซมโบราณสถาน ปราสาทพระราชวังเก่าที่ปรักหักพัง แล้วจัดงานฉลอง25พุทธศตวรรษที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธี ประชาชนรวมทั้งผมทราบข่าวพากันตื่นเต้นดีใจ คราวนี้แหละจะได้เห็นพระองค์ท่าน เตรียมตัวล่วงหน้ากันเป็นเดือน พวกเราเลือกชุดที่สะอาดสวยงาม บางคนลงทุนตัดใหม่

วันที่พระองค์ท่านเสด็จพวกเราเข้าแถวเป็นระเบียบรอรับตั้งแต่เที่ยงวัน มือถือธงชาติเล็กๆยืนโบกเรียงรายตามถนน กว่าพระองค์ท่านจะเสด็จผ่านโดยรถยนต์ก็เป็นเวลาใกล้ค่ำ เรายืนกันกลางแดดไม่ต่ำกว่าหกชั่วโมง เสื้อผ้าสวยๆโชกไปด้วยเหงื่อแต่ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือเมื่อยเลย พอทราบว่าพระองค์ท่านเสด็จถึงก็หายเป็นปลิดทิ้ง พระองค์ท่านประทับบนรถยนต์พระนั่งเคลื่อนไปอย่างช้าๆ จริงๆแล้วไม่ได้เห็นพระองค์ท่านเลย เห็นแต่รถที่ประทับผ่านไป แต่ก็คุยกับเพื่อนๆว่าเห็นชัดเจนทั้งสองพระองค์

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2504 ขณะผมเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ พักอยู่ที่วัดโพธิ์ ท่าเตียน ในหลวงและสมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จนิวัติพระนคร หลังจากที่ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จประพาสต่างประเทศ พระองค์ท่านทรงโปรดให้พสกนิกรเข้าเฝ้าโดยเสด็จออกสีหบัญชร พระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาท ด้านตะวันออกของพระบรมมหาราชวัง ด้านติดถนนสนามไชย (พระที่นั่งนี้อยู่ด้านที่ติดกับวังสราญรมย์) ผมอยู่วัดโพธิ์ใกล้หน่อย ไปนั่งจองที่แต่หัววัน คนรอเฝ้าล้นหลามจำนวนเป็นหมื่น เห็นรอบๆแต่หัวคนดำไปหมด ถึงเวลาพระองค์ท่านและสมเด็จพระราชินีนาถเสด็จออกสีหบัญชร ซึ่งอยู่บริเวณชั้น3ของอาคารพระที่นั่ง ฝูงชนโห่ร้องด้วยความปลื้มปีติยินดี พร้อมเปล่งเสียง”ทรงพระเจริญๆๆ”ดังกึกก้องสนั่นหวั่นไหว จนผมขนลุก น้ำตาซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว นับว่าเป็นครั้งแรกของผมที่เห็นพระองค์ท่าน แต่ก็เป็นการเห็นในระยะไกลมาก

ได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดจริงๆก็คงจะเป็นตอนที่เข้ารับพระราชทานกระบี่ ครั้งสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจปี พ.ศ.2509 ทำพิธีรับที่กระทรวงมหาดไทย ได้ใกล้ชิดพระองค์ท่านมากที่สุดในชีวิต คุกเข่าอยู่ตรงเบื้องพระบาท และครั้งที่สองเมื่อรับพระราชทานยศเป็นนายพลเมื่อปี พ.ศ.2543 นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้.

RELATED ARTICLES