ทิ้งผลงานโบแดงไว้เป็นตำนานบทใหม่มากมาย หลังตัวเองถอดหัวโขนสลัดเครื่องแบบสีกากีเกษียณอายุราชการเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา
วงการตำรวจคงต้องจารึกชื่อ พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นนักสืบต้นแบบอีกคน
ลูกชาย พล.ต.อ.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น อดีตอธิบดีกรมตำรวจผู้มากบารมีคนหนึ่ง ได้มีโอกาสเรียนรู้ชีวิตนักสืบมือปราบมาจากผู้บังเกิดเกล้าอยู่พอสมควร แม้ใจจริงจะไม่อยากเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เลยสักนิดเดียว วัยเด็กเขาเรียนอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาโรงเรียนปานะพันธุ์ ต่อมัธยมโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพราะวาดฝันอยากทำธุรกิจ
“ผมว่าตำรวจมันโหลยโท่ย เพราะเห็นสภาพพ่อแล้ว ไม่อยากเป็นตำรวจ” พล.ต.ท.กฤษฎาบอกถึงความคิดสมัยเด็ก แต่สุดท้ายเขาก็หนีมันไม่พ้น เมื่อพ่อแม่บังคับให้เข้าเป็นลูกแถวตำรวจสันติบาลในระหว่างเรียนมหาวิทยาลัยพอดี
เริ่มจับงานแรกด้วยการเป็นสายลับหาข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มนิสิตนักศึกษาช่วงสถานการณ์การชุมนุมปี 2516 จนถูกอาจารย์เพ่งเล็งเป็นกลุ่มสันติบาลในคราบนิสิต เขาเล่าว่า ต้องไปหาข่าวรายงานผู้กำกับ บางครั้งก็ยิงตรงถึงพ่อที่เป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ตอนแรกต้นสังกัดไม่ค่อยเชื่อ แต่เหตุก็เกิดตามที่คะเนไว้ทุกครั้ง เขาคิดไม่ถึงว่าเราจะได้ข่าวลึกจากวงใน
กระทั่งวันสุกดิบ 14 ตุลาคม ผู้พ่อเลื่อนเป็นผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจได้ 14 วัน เรียกเขาและเพื่อนเข้าไปพบที่ห้องประชุมเล็ก อาคารกองบัญชาการตำรวจนครบาลเก่า นางเลิ้ง “ผมได้เข้าไปพูดในห้องประชุมเป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้ายที่เหยียบที่นั่นก่อนมันจะถูกเผาไม่กี่ชั่วโมง ผมพยายามเตือนแล้วว่าจะมีการเคลื่อนไหวเผาสถานที่ราชการ พ่อผมก็เชื่อนะ แต่ก็ป้องกันไม่ได้”
สถานการณ์บ้านเมืองตึงเครียด เด็กหนุ่มสันติบาลลูกนายพลตำรวจใหญ่ได้รับคำสั่งให้สลายตัวทันที ทว่าต้องกลับไปเฝ้าบ้านเข้ม เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมไม่พอใจ พล.ต.อ.มนต์ชัย ถึงขั้นลุกฮือข่มขู่จะมาเผาบ้านในซอยลือชา ไปไหนมาไหนไม่ได้นานเป็นเดือนกว่าเหตุการณ์จะคลี่คลาย พอไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยกลับเจออาจารย์แบนจะไม่ให้จบ อ้างว่า เขาเป็นตำรวจมาหลอกสืบหาข่าวความเคลื่อนไหวของคณะครูอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ต้องอ้อนวอนให้เหตุผลว่า ต่างคนต่างทำหน้าที่ และที่สำคัญ คือเขาสอบผ่านหมดถึงได้จบมีดีกรีปริญญาติดตัวนำไปใช้อบรมนายตำรวจเป็นรองสารวัตรกองทะเบียนคนต่างด้าว และภาษีอาการ หรือกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน
อยู่ได้ไม่นานก็ย้ายมาประจำกองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครเหนือ เจ้าตัวบอกว่า ตอนแรกคิดว่า เราทำไม่ได้นะ เริ่มต้นจากศูนย์ เป็นตำรวจโนเนม เป็นลูกชายอธิบดีกรมตำรวจ ตอนนั้นมีท่านจิรสิทธิ์ มหินทรเทพ อีกคน ได้ลงไปอยู่กับ ร.ต.อ.ผจญยุทธ สิงหะ ทำตัวเป็นน้องใหม่ตามเขาอย่างเดียวจนได้ทำวิสามัญฆาตกรรมโชเฟอร์รถเมล์คนร้ายคดีชิงทรัพย์คู่กับภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ทำเอาตื่นเต้นพอสมควร
แต่ไม่ระทึกเท่ากับการเผชิญหน้าปิดฉากดาวโจรชื่อก้องอย่าง “ตี๋ใหญ่”
พล.ต.ท.กฤษฎาเล่าว่า กำลังเรียนอยู่โรงเรียนสารวัตร ผจญยุทธ เรียกตัวไปช่วยงานในนามทีมเหนือ 07 ส่วนตัวไม่เคยสัมผัสตี๋ใหญ่ ฟังแค่คำบอกเล่าจากนายตำรวจรุ่นพี่ เรายังเด็กมาก วันนั้นมีการประชุมดีเดย์หลังสายโผล่มาให้ข่าวความเคลื่อนไหวของตี๋ใหญ่ว่า ใครจะเข้าประจำจุดไหน มีเจริญ โชติดำรงค์ และทิพย์ อัศวรักษ์ รองผู้การเหนือเป็นหัวหน้าทีม “ผมยกมืออาสาขอเฝ้าด้วย ท่านทิพย์ชี้มาที่ผมบอกคุณไม่ได้ เดี๋ยวแกจะกำหนดจุดให้เอง แกไม่กล้าเสี่ยง เพราะตอนนั้น พ่อผมยังเป็นอธิบดีอยู่ จุดที่ผมไปเลยไม่คิดว่าจะมีอะไร”
“ผมขับรถมีท่านกิตติโชติ แสงนิล นั่งหน้า ข้างหลังมี โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ และตำรวจท้องที่อีกคน ทีมส่วนใหญ่ตามไปบ้านแพ้ว สมุทรสาคร เพราะคิดว่า มันไปบ้านที่นั่น แต่สายตาผมมันไว สงสัยรถกระบะคันหนึ่งเลี้ยวเข้าไปทางวัดกาหลง ผมตัดสินใจเลี้ยวตามเป็นถนนดินแดง พอหลุดโค้งรถของมันจอด รถผมก็จ่อตูดเลย ท่านกิตติโชติบอกให้ถอย ผมบอกไม่ถอย แล้วตัดสินใจกระโดดลงไป มีผมกับท่านกิตติโชติลงได้ อีก 2 คนติดอยู่ในรถ เพราะรถผมเป็นรถ 2 ประตู พอมีเสียงปืนดัง ผมกับท่านกิตติโชติก็สาดกระสุนใส่ไปในรถ ผมใช้ลูกซอง ท่านกิตติโชติใช้เอสเค” อดีตนายพลคนดังเล่าถึงนาทีอวสานจอมโจรตี๋ใหญ่ที่ต่อมาต้องแลกกับชีวิตหัวหน้าทีมอย่าง ร.ต.อ.ผจญยุทธ สิงหะ หลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างเดินทางกลับจากทำแผนในที่เกิดเหตุ
ผ่านวีรกรรมเดือดครั้งนั้นไม่นาน เขาได้ย้ายไปขึ้นสารวัตรกองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครใต้ ได้ต้นแบบการสืบสวนมาจากบรมครูโสภณ วาราชนนท์ และวรรณรัตน์ คชรักษ์ ตามแกะรอยคดีฆ่า ส.ส.กำธร ลาชโลชน์ ที่กลายเป็นศพไม่มีญาติฝังอยู่ในวัดดอนสาวไปสู่การจับกุมผู้ต้องหา จากนั้นพลิกแฟ้มปิดคดีปล้นนักท่องเที่ยวเขาใหญ่ที่โด่งดังสะท้านไปทั่วโลก
อดีตนักสืบเมืองหลวงขยายเบื้องหลังว่า มีพระรูปหนึ่งมาหา พ.ต.ต.ปราโมทย์ พานิชตระกูล ตำรวจลูกน้องที่อยู่ด้วยกันว่า มีกล้องถ่ายรูปเจอไฟไหม้อยู่ในป่าให้ลองมาดูหน่อย เป็นกล้องเอสแอลอาร์อย่างดี วันนั้น เรากำลังนั่งทานข้าวอยู่กับพ่อ และท่านมนัส ครุฑไชยยันต์ ขณะนั้นเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ก็นึกเฉลียวใจสงสัยว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับคดีปล้นเขาใหญ่หรือเปล่า เพราะใกล้เคียงมาก เหตุเกิดปีกว่าแล้ว เป็นข่าวดัง แต่ยังตามจับกันไมได้
“ตอนแรก ผมจะเอางานไปให้กองปราบฯ ทำ ท่านมนัสบอกไม่ได้ ข่าวมาเราต้องทำเอง ผมก็เรียนถามท่านว่า แล้วพวกผมจะไปยังไง ไม่ใช่เขตรับผิดชอบ แกบอกจะทำเรื่องให้ท่านรองณรงค์ มหานนท์อนุมัติไปทำ ได้กำลังไป 7 คน มีผม ประมวลศักดิ์ ศรีสมบุญ ไพศาล เชื้อรอด ปราโมทย์ พานิชตระกูล สมพงษ์ พานิชตระกูล อำนาจ จันทร์เจริญ และไพศาล เนตรสว่าง แกะรอยใหม่ ใช่คำสั่งกรมตำรวจไปประสาน โสภณ สะวิคามิน ที่นครนายก” พล.ต.ท.กฤษฎาจำแม่น
“พวกผมต้องปลอมตัวเป็นป่าไม้เข้าไปหาข่าว ไม่เคยเดินป่า หรือตามคดีในป่ามาก่อนเลย ตามอยู่ 5 วันเริ่มมีเค้าจากไม่รู้อะไรเลย สุดท้ายตามจับได้ 14-15 คน เป็นคดีอุกอาจมาก คนร้ายดักปล้นรถทัศนาจารที่ขึ้นไปเที่ยวเขาใหญ่ 22 คัน ชุดเฉพาะกิจกองปราบปราม ทีมตำรวจตระเวนชายแดน และตำรวจท้องที่สืบกันเป็นปีไม่ได้ตัว พวกผมหาข่าวไม่นานถึงรู้ว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์มาก่อน เคยก่อคดีปล้นบ้านป่าไม้ เราถึงเริ่มจากตรงนั้น”
“ผมไม่ได้เก่งมาตั้งแต่เกิด ผมก็ต้องเรียนรู้ บางครั้งได้รุ่นพี่ช่วยชี้แนะ บางครั้งอยู่ที่จังหวะเวลา” อดีตนายพลนักสืบมากคุณภาพเปิดมุมมองการทำงานจนนำไปสู่ความสำเร็จมากมายหลายคดี เหมือนตอนตามคนร้ายใช้ปืนอาก้าปล้นธนาคารออมสิน สาขาหัวลำโพง และก่อเหตุอีกหลายธนาคารแล้วหายไร้ร่องรอย มีคนมาให้ข่าว พล.ต.ท.ธนู หอมหวล ขณะยังเป็นรองผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครใต้ว่า สงสัยอดีตนาวิกโยธิน มีมอเตอร์ไซค์ขี่ฟู่ฟ่า พล.ต.ท.ธนู จึงเรียกสารวัตรกฤษฎาไปพบทั้งที่ไม่รู้อะไรเลยว่า มันคือใคร
“ทุกอย่างมันเป็นไทม์มิ่งหมด ดวงคนจะจับได้ บังเอิญอาผมเป็นนายพลทหารเรืออยู่หน่วยนาวิกโยธิน พวกเราไปวันแรก ไม่เจออาผม หลายคนจะกลับกรุงเทพฯ ผมไม่ยอมเลนไปนอนพัทยา 1 คืน รุ่งขึ้นมาเจออาพอดี ได้ข้อมูลผู้ต้องสงสัย และรูปถ่ายให้พยานยืนยันว่า มันเคยมากบดานอยู่แถวตราด แต่หายไปนานไม่เคยมาแล้ว ฝากผู้ใหญ่บ้านช่วยดู ถ้ามันมาให้โทรศัพท์แจ้งด้วย รออยู่ไม่นาน ผมรู้สึกเอะใจเลยแวะเข้าไปดูทางเข้าหมู่บ้าน ถึงรู้ว่า มันมาแล้ว แต่ผู้ใหญ่ไม่มีเวลาบอก ก่อนจับได้ในที่สุด”
มือสืบสวนวัยเกษียณยังถ่ายทอดเรื่องราวความสูญเสียในชีวิตด้วยว่า ตอนยังเป็นสารวัตรสืบสวนใต้ ทวีผล กสิโสภา น้องชายแม่ ถูกยิงตายคาแยกแม้นศรี เราเป็นสารวัตรเข้าเวรวันนั้นพอดี เจอเป็นศพน้า ที่สนิทกันมาก รู้สึกตกใจ ลูกคนเล็กเกิดได้ 2 วัน ที่น่าแปลกใจ คือ ทุกคดีนายจะเรียกประชุมกันแหลกลาญ แต่คดีนี้นายกลับให้ข่าวหนังสือพิมพ์ว่า หลานชายซึ่งเป็นสารวัตรสืบสวนใต้เป็นคนทำคดีเอง เรางงมาก ไม่มีใครช่วยเลย แต่ก็ทำกันเองในทีม ตามอยู่ปีครึ่งถึงได้ข่าวจากภาพสเกตช์ใบเดียวที่ลูกสาวของน้าจำหน้าผู้ต้องสงสัยได้
ปรากฏว่า ทีมรับงานฆ่าเป็นตำรวจเก่าไปขอพบ พ.ต.อ.ไพจิตร อ่องศรี ถามหาสารวัตรหลานชายคนตายเลยมีการประสานเจอกัน พล.ต.ท.กฤษฎาเล่าว่า เพียรพยายามคิดตามคดีมาไม่เคยหยุด สืบสวนเหนือเคยเอาผู้ต้องหาคนหนึ่งไปวิสามัญฆาตกรรมแล้วเหมาเป็นมือปืนยิงน้าชาย พอเอาเข้าใจก็ปะติดปะต่อเรื่องไม่ได้ เราสืบสวนมาตลอดรู้ว่า ไม่ใช่ และไม่เคยทิ้งมัน สุดท้ายคนในภาพสเกตช์ยอมโผล่รับว่าเป็นคนถูกจ้างมายิง ไม่รู้เหยื่อเป็นน้องเมียอธิบดีเก่า แต่พอวันยิงไม่รู้ใครมายิง มีคนมาซ้อนงานอีกที
“ผมตามล่าจนเอามันมาวิสามัญฯ หลังโรงพยาบาลหัวเฉียว กลายเป็นเรื่องเป็นราวถูกร้องเรียน เป็นมรสุมชีวิตครั้งแรก ไทยรัฐลงพาดหัวข่าวว่า ผมเอามือปืนไปฆ่าทิ้ง ตอนหลังเหมือนวิบากกรรมมาลงกับลูกชายคนที่ 3 ของผม เพราะทุกคดีที่ผ่านมา ผมทำตามหน้าที่ แต่คดีนี้มีเรื่องอารมณ์ส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง ผลสะท้อนเกิดกับลูก ลูกตายระหว่างคลอดออกมาไม่นาน ตายคามือผมเลย เป็นเด็กไม่มีกะโหลกเหมือนกับตอนมือปืนที่ยิงน้าชายผมถูกวิสามัญฯ กะโหลกเปิด เรื่องนี้ไม่น่าเชื่อ ก็ต้องเชื่อ” ตำนานมือปราบสะท้อนบทเรียนชีวิต
ต่อมา เขาย้ายกลับถิ่นเก่าสืบสวนเหนือ ขยับขึ้นรองผู้กำกับคลี่คลายคดีอีกไม่น้อย เพียง 2 ปี ก้าวเป็นผู้กำกับอยู่หน่วยปราบปรามยาเสพติดแล้วโยกกลับมานั่งเก้าอี้ผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครเหนือที่เจ้าตัวยอมรับว่า ตกใจมาก ไม่คิดว่าจะกลับมาเส้นทางนักสืบนครบาล ที่นี่รุ่นเก่าทำไว้สุดยอด กลัวฝีมือเราจะสู้เขาไม่ได้ กลัวทำไม่ดีอย่างเขา ทำให้หน่วยเสียชื่อ แต่ก็สามารถพิสูจน์ตัวเองจากผลงานที่ทำ
เขาใช้วิชาสุดยอดนักสืบที่ควรเป็นตำราเรียนแก่ตำรวจรุ่นหลังในการปิดแฟ้มคดีระเบิดที่ทำการไปรษณีย์สามเสนเพียงระยะเวลาไม่กี่วัน ทายาทอดีตอธิบดีกรมตำรวจย้อนปมว่า ขณะนั้นมีเหตุการณ์ระเบิดป่วนเมืองบ่อยครั้ง สังคมจึงพุ่งไปเรื่องประเด็นทางการเมือง เราสามารถจับได้ในเวลารวดเร็ว ที่แท้เป็นแค่คดีชู้สาวล้างแค้นส่วนตัว เราเริ่มต้นจากการวิเคราะห์สภาพที่เกิดเหตุ ได้ โกสินทร์ หินเธาว์ และประมวลศักดิ์ ศรีสมบุญ คู่รองผู้กำกับในหน่วยมาช่วยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
นักสืบทั้ง3 คนเห็นตรงกันว่า ระเบิดน่าจะเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์โยนกล่องพัสดุเข้าไปใต้โต๊ะแล้วเกิดแรงกระแทกจนมันทำงานขึ้น สังเกตตรงที่เหยื่อขาขวาขาด มือขวาขาด ไม่น่าใช่เป็นระเบิดแสวงเครื่องแบบตั้งเวลาเหมือนที่เคยเกิดบึมบนรถประจำทางสาย 4 ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน เท่ากับว่า ระเบิดน่าจะบรรจุอยู่ในกล่องพัสดุไปรษณีย์กล่องใดกล่องหนึ่งที่ลงบันทึกในสมุดบัญชีแล้ว “พวกผมจึงรวบรวมเอาเศษกระดาษทั้งหมดที่คาดเป็นชิ้นส่วนสมุดลงทะเบียนมาไล่ต่อจิ๊กซอว์จนได้เค้าที่อยู่ของผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นแค่ตัวเลขบ้านเลขที่ ตามไล่จนเจอบ้าน แม่ผู้หญิงบอกไม่เคยมีเรื่องกับใคร มีแต่ลูกสาวกำลังมีปัญหากับแฟนหนุ่ม เราก็ถามว่า ผู้ชายเป็นใคร ก็ตามขยายต่อจนสามารถจับกุมได้ ยังไม่วายถูกกล่าวหาว่าจับแพะมาปิดคดีกลบกระแสให้รัฐบาล”
อดีตผู้กำกับสืบสวนเหนือยังเผยเคล็ดลับความสำเร็จอีกอย่างหลังเจอทางตันในคดีคนร้ายปล้นร้านทองย่านสุทธิสารว่า คดีส่อแววตันแล้ว ไม่รู้อะไรเลย บังเอิญเจอเพื่อนที่เป็นหมอดูเลยลองปรึกษาดู เพื่อนคนนี้แนะนำต้องไปซื้อโลงศพ เราก็ไม่เคยเชื่อเรื่องโชคลาง แต่ถ้าลองคงไม่เสียหาย ยอมรับว่า หมดท่าแล้ว ให้ลูกน้องไปมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งไปซื้อแล้วเอาใบเสร็จมาเผา วันรุ่งขึ้นได้ข่าวคนร้ายเป็นแก๊งจีนแผ่นดินใหญ่ไปตามจับได้ที่ห้างโรบินสัน สีลม ก่อนขยายผลรวบยกแก๊ง
คุมทัพหน่วยนักสืบสร้างผลงานกระฉ่อนให้นครบาล 2 ปี เลื่อนเป็นรองผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือ และรองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ตามโครงสร้างใหม่ อำนวยการสืบสวนคดีสังหารนายแสงชัย สุนทรวัฒน์ ผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย คลายปมฆ่าหม่อมเจ้าฐิติพันธ์ ยุคล หรือท่านชายกบ และจับกุมนายสุขุม เชิดชื่น สมาชิกวุฒิสภาจ้างวานฆ่าแพทย์หญิงนิชรี มะกรสาร เป็นต้น แต่ที่โดดเด่นเตะตาเห็นจะเป็นวีรกรรมเสี่ยงตายเข้าไปเจรจาช่วยเหลือตัวประกันบนโรงพักพญาไทได้สำเร็จในเหตุการณ์ระทึกที่นายคณิศร หรือเอ็ม วิวัฒนชาต ลูกชายนายพลทหารบก ถือปืนเอ็ม 16 ยึดโรงพัก
“ผมมองซ้ายมองขวาไม่เห็นใครตำแหน่งใหญ่กว่าผมแล้ว มีแค่ท่าน วรวิทย์ วัจจะพุกกะ อีกคน ถ้าปล่อยยืดเยื้ออาจต้องสูญเสีย ผมให้ติดต่อสไนเปอร์ ก็ต้องรออนุมัติก่อน มาไม่ได้ เดินไปหาพ่อเขา ถามว่า มีใครที่จะคุยกับลูกท่านได้บ้าง เขาสะบัดหน้าหนีตอบว่า ไม่มี แม้แต่ตัวเขายังไม่กล้า เพราะกลัวลูกจะจับเป็นตัวประกันอีกคน ผมถึงต้องตัดสินใจเข้าไป เขาก็ยอมให้เข้าไปคุยด้วย ก่อนเข้าผมถามข้อมูลพ่อเขาแล้วว่า เขารักอะไรมากที่สุดเลยรู้ว่า เป็นปืนกล็อก 2 กระบอกที่โดนยึดไป ผมเลยบอกเขาว่า อยากได้ปืนคืนไหม ผมจะให้ เขาก็เริ่มอ่อนลง และยอมปล่อยตัวประกันที่เป็นตำรวจ 2 คน”
ทุกเสี้ยววินาทีนั้น พล.ต.ท.กฤษฎา ต้องคุมสติอยู่ตลอดเวลา เพราะหนุ่มคลั่งคนนี้ถือปืนเอ็ม 16 ติดกาย ในเสื้อคลุมยังมีปืนสั้นอีกหลายกระบอกที่พร้อมลั่นไกทันที “ผมคิดว่า ถ้าตัดสินใจชาร์จปล้ำแย่งปืนไป ผมตายแน่นอน คงไม่มีใครช่วยแน่นอน หลักการเจรจา พ่อผมสอนไว้เสมอ ไม่มีสัจจะในหมู่โจร พ่อพูดมานานมากตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมได้ยิน มันเป็นสิ่งที่เราเรียนรู้มา และสามารถแก้สถานการณ์คับขันที่เกิดขึ้นได้ไม่น้อย อะไรที่ยอมให้ได้ก่อนก็ยอมไป ถึงเวลาค่อยว่ากันอีกที ซึ่งหลังจากสถานการณ์คลี่คลาย ผมก็เดินออกมาขึ้นรถกลับบ้าน มันเป็นหน้าที่ที่เราทำประจำ ไม่ได้คิดว่า ตัวเองจะเป็นฮีโร่”
ผ่านวันระทึกไม่กี่เดือน เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 พิชิตคดีฆ่าชิงทรัพย์นายบุญเลี้ยง อดุลยฤทธิกุล เจ้าพ่อคาเฟ่ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ตำรวจจับแพะส่งให้ผู้ใหญ่ยกเลิกพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ “เหมือนสมัยทำคดีปล้นเขาใหญ่ ก็ไม่ได้อะไรสักอย่าง ทั้งที่ทำให้ดังไปทั่วโลก ไม่ได้แม้กระทั่งขั้นให้ลูกน้อง หนังสือชมเชยก็ไม่มี แต่ผมไม่ท้อ ผมถือว่า ผมทำงาน” พล.ต.ท.กฤษฎามักใช้เป็นคำปลอบใจตัวเองยามผิดหวัง
จากผู้การนครบาล 4 ย้ายเป็นผู้การนครบาล 5 ไต่เต้าจนผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคุมงานสืบสวนไปติดตามคดียิงนายดาบตำรวจโรงพักบางขุนเทียนเสียชีวิตคาป้อมจราจรใช้เวลานานเดือนครึ่งไปเกาะติดความคืบหน้าและร่วมลงมือสืบสวนเกือบทุกวันจากไม่มีอะไรข้อมูลอะไร พล.ต.ท.กฤษฎาบอกว่า ให้เช็กคดีใกล้เคียงเพื่อหากระสุนปืนว่า มีบ้างหรือไม่ แต่ก็ไม่มี ไปเจอเป็นคดีพยายามฆ่าที่พนักงานสอบสวนหมกคดีไว้ นำหัวกระสุนไปเปรียบเทียบตรงกัน คนเรามันอยู่ที่ดวงจริง ๆ เก่งกับเฮง ขอเลือกเฮงไว้ก่อนดีกว่า ใช้เวลาเดือนครึ่ง บ้าไปทำอยู่อย่างนั้น ถ้าเป็นนายคนอื่นคงถอยแล้ว
ฝากฝีไม้ลายมือเป็นที่ยอมรับขึ้นรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ดันถูกมรสุมที่ไม่ได้กระทำความผิดอีกระลองดองเค็มกินอาวุโสอันดับ 1 ของประเทศเป็นผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วขยับออกเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 และผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจวบจนเกษียณอายุราชการ มีเรื่องค้างคาใจอยู่คดีเดียว คือ คดีโชเฟอร์แท็กซี่ฆ่าชิงทรัพย์ น.ส.มาซาโอะ นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น นำศพไปทิ้งสุดทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ที่สมัยนั้นยังไม่เปิดใช้บริการ
“มันเป็นช่วงปรับเปลี่ยนโครงสร้างจากกองบังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือ ใต้ และธนบุรีเป็นกองบังคับการตำรวจนครบาล 1-9 เสียดายมาก กำลังทำสนุกแล้วเราไม่ได้ทำต่อ เพราะไม่ได้อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบ มันเป็นคดีคาใจถึงทุกวันนี้ มันทำไม่สุด ขาดตอนเสียก่อน ที่ผ่านมาก็พยายามหาคดีคล้าย ๆ กันมาเปรียบเทียบ แต่ก็ยังไม่ใช่” นักสืบชั้นครูระบายความรู้สึก
กว่า 40 ปีในอาชีพตำรวจ พล.ต.ท.กฤษฎาบอกว่า แม้ตอนแรกไม่อยากเป็น แต่เมื่อเป็นแล้วต้องทำให้ดีที่สุด ถึงเลือกจะลงไปคลุกคลีทำงานตลอดไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไหนมันเป็นนิสัยติดตัว ถ้าไม่ทำเองอยู่ไม่ได้ ทนไม่ได้ที่ต้องมานั่งรอรับโทรศัพท์รายงานจากลูกน้อง เราเรียนรู้จากพ่อ พ่อนั่งกินข้าวอยู่เวลามีคดี พ่อทิ้งช้อนแล้วไปเลย เจอแบบนี้ประจำ
“พ่อเคยบอกตอนผมยังเป็นผู้กองอยู่ว่า หน้าอย่างแกเป็นแค่พันตำรวจเอกก็หรูแล้ว ผมจำคำแม่น ผมไม่อยากเป็นตำรวจ พอถูกบังคับเป็นก็ไม่ยอมงอมือ งอเท้า ผมถึงอยากฝากไว้ว่า คนที่ใจรักมาเป็นตำรวจแล้วยิ่งต้องทำงานหนักกว่า พยายามคิดเสมอว่า ผู้เสียหาย คือ ญาติพี่น้องเรา มันจะทำให้เราเต็มที่กับมัน”
กฤษฎา พันธุ์คงชื่น !!!