“ผมคิดว่า เป็นกรรมเวรที่ผมทำไว้ ไอ้สิ่งที่ได้ทำ ไม่ติดคุก แต่ไอ้สิ่งที่ไม่ได้ทำ เสือกติดคุก”

 

  ากเอ่ยชื่อ ชนม์ภาคย์ ขำอาจ หลายคนในหลากหลายยุทธจักรคงไม่มีใครรู้จักอย่างแน่นอน

มันเป็นสิ่งแรกที่เจ้าตัวเลือกทำหลังจากเดินพ้นประตูกำแพงคุก คือ การเริ่มต้นชีวิตใหม่ล้างภาพความรู้สึกเก่าของชายผู้กว้างขวางย่านฝั่งธนบุรีที่ชื่อ “สิทธิพร ขำอาจ”  ประกาศอิสรภาพสู่โลกภายนอกอีกครั้ง

“ชื่อมันไม่มงคลแล้ว ผมจำเป็นต้องเปลี่ยน” จ่ามีสารภาพ

แม้ปัจจุบันยังมีชนักติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์ข้อเท้าควบคุมความประพฤติ จำกัดการเดินทางให้อยู่ในบ้านตัวเองเป็นเวลากว่า 1 ปี เมื่อได้รับการปล่อยตัวตอนต้นเดือนมกราคม 2564

สถานะของเขาเคยเป็นนักโทษเด็ดขาดถูกคำพิพากษาประหารชีวิต ต้องเรื่องถวายฎีกาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชทานอภัยโทษเหลือตลอดชีวิต กระทั่งขยับเป็นนักโทษชั้นดี และครบเกณฑ์อายุกับระยะเวลาการจองจำจนได้รับการพิจารณาปล่อยตัว

เขี้ยวเล็บถูกถอด นั่งกอดกองอดีตของวันวาน ถึงกระนั้นยังมีบริวารเก่าแก่ และผู้คุ้นในหลายแวดวงเคยแวะเวียนไปหาไม่ขาดสาย ทั้งที่เขาเป็นเพียงแค่คนแก่วัย 65 ปี

ชีวิตของเขาเคยประสบความสำเร็จสูงสุดในการเป็นนักการเมืองระดับชาติ ก่อนหมดอำนาจวาสนาถูกสวมกุญแจมือ ตีตรวนเข้าเรือนจำ

นั่งนับวันนับคืนเป็นเวลานาน 14 ปี 1 เดือนกับอีก 1 วัน ในชะตากรรมของนักโทษเด็ดขาด

น.ช.สิทธิพร ขำอาจ

เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2555 คือ การเดินทางที่สิ้นสุดอิสรภาพของเขาอย่างเป็นทางการ หลังจากผู้คุมเบิกตัวออกมาจากเรือนจำพร้อมนายเอกสิทธิ์  อยู่สุข อดีตสมาชิกสภาจังหวัดเลย ไปฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีร่วมกันฆ่านางปัทมา เฟื่องประยูร อดีตผู้ใหญ่บ้านตำบลเขาบายศรี อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี มารดา นางคมคาย พลบุตร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดจันทบุรี พรรคประชาธิปัตย์

ก่อนหน้านั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษยืนตามศาลชั้นต้น ให้ประหารชีวิต นายเอกสิทธิ์ อยู่สุข และ เขาฐานเป็นผู้ใช้จ้างวานให้ฆ่าผู้อื่น ส่วน นายประสงค์ แสงจันทร์ หรือ หมู แก่งคอย และจ่าสิบเอกนิคม จิตรกุล หรือ เปี๊ยก ซีโฟร์ ศาลพิพากษาประหารชีวิตฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นด้วยเช่นกัน แต่ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุกตลอดชีวิต

ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้วเห็นว่า ฎีกาของจำเลยไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอหักล้างคำให้การของโจทก์จึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

“ผมคิดว่าจะตายในคุกแล้ว” เขาย้อนความทรงจำ

ในอดีตเขาเคยเฟื่องฟู เริ่มต้นชีวิตจากคนพื้นเพฝั่งธนบุรี เข้าโรงเรียนพาณิชย์การราษฎร์รวมเจริญ แต่ไม่จบ แม่กลัวจะเป็นโจรเลยให้ไปสอบตำรวจที่โรงเรียนตำรวจภูธร 2 จังหวัดชลบุรี สวมเครื่องแบบสังกัดสำนักงานเลขานุการกรมตำรวจได้ 2 ปี ย้ายไปติดอาร์มกองปราบปราม เป็นลูกน้อง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สารวัตรแผนก 4 กองกำกับการ 2 กองปราบปราม หรือ “สารวัตรประเทศไทย”

คลุกคลีตีโมงไล่จับโจรทุกรูปแบบจนมีชื่อเสียงโลดโผนโจนทะยานโด่งดังติดยศ จ.ส.ต.เป็นที่น่าเกรงขามในกลุ่มนักเลง มาเฟีย และนายบ่อน ไม่แพ้สารวัตรเฉลิมคนบ้านเดียวกันที่ชั่วโมงนั้นออกจากราชการไปลงสนามการเมืองเต็มตัวในฐานะผู้แทนราษฎรคุมพื้นที่บางบอน ภาษีเจริญ

จ่ามีเล่าว่า เป็นตำรวจกองปราบปราม 10 กว่าปี  รู้สึกเบื่อ ตัดสินใจลาออกจะไปประกอบธุรกิจส่วนตัว ไม่คิดเล่นการเมือง บังเอิญรุ่นพี่ที่เคารพนับถือมาทาบทามให้ลองสมัครแข่งขัน พอไปบอกผู้แทนในถิ่นกลับโดนสบประมาทว่า คิดจะลงคะแนนการเมืองแบบเราคงไม่ได้ถึง 1,000 คะแนน เป็นแรงผลักดันให้ลงสนามเลือกตั้งใหญ่ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ผลปรากฏว่า ครั้งแรกได้ 60,000 กว่าคะแนน แต่ยังสู้เจ้าของตำแหน่งเดิมไม่ได้

เจ้าตัวยอมรับว่า ไม่เคยมีปัญหาอะไรขัดแย้งกับคู่แข่ง สนิทสนมรักใครกันดี ยังเคยไปช่วยเดินหาเสียงตอนที่คู่แข่งลงสมัครผู้แทนครั้งแรก ถึงเวลาเราต้องหันกลับมาทบทวนข้อผิดพลาดของตัวเอง ทำการบ้านให้มากขึ้น ก่อนคว้าคะแนนเสียงติดเป็น 1 ใน 3 ของเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครเขต 11 กับการเลือกตั้งครั้งถัดมา ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์สมความตั้งใจในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์

“ทำไปทำมาทุกคนกลับมองผมเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่” อดีตนักการเมืองคนดังว่า

นั่งเก้าอี้ผู้แทนทำหน้าที่ในสภาได้ปีเดียว เกิดเหตุลอบวางระเบิดรถเบนซ์ ซี 220 สีฟ้า ทะเบียน  3 ศ-9852 กรุงเทพมหานคร ภายในลานจอดรถสถาบันราชภัฏรำไพพรรณี อำเภอเมืองจันทบุรี เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2540 คร่าชีวิต นางปัทมา เฟื่องประยูร มารดาของนางคมคาย พลบุตร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดจันทบุรี พรรคเดียวกับเขา

ทว่าเป้าหมายสังหารแท้จริงคือ นายสนิท เฟื่องประยูร สภาชิกสภาจังหวัดจันทบุรี  สามีของเหยื่อ ชนวนเหตุมาจากการเมืองท้องถิ่นที่ต่อสู้กันอย่างรุนแรง ตำรวจสาวไปสาวมาโยงเอานายสิทธิพร ขำอาจ เข้าไปเอี่ยวเป็นผู้ใช้จ้างวาน ถูกตามจับกุมดำเนินคดีกลายเป็นข่าวดังสะท้านสะเทือนวงการ

“ผมถูกมองว่า เกี่ยวข้องกับคดี มีความพยายามเชื่อมโยงผู้ต้องหา 3 คนที่มาขอความช่วยเหลือผม ตอนนั้นผมบอกไปว่า เอ็งคุยกันเองดีกว่า อย่าให้กูยุ่งเลย เพราะผมเป็นนักการเมือง เป็นผู้แทนราษฎร แล้วผมก็ขับรถออกมา แค่นี้เอง ผมต้องติดคุก ต้องโทษประหารชีวิต ยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้อง ไม่รู้ว่า ฆ่าใครด้วย สู้คดีกันมาตลอดหลายปีถึงขั้นศาลฎีกา” เขาปฏิเสธ

สุดท้ายต้องก้มหน้ายอมรับคำพิพากษา

  “ตอนนั้นรู้ว่า ติดคุกแน่ แต่ไม่คิดว่า มันจะนาน ประเมินว่า อาจเข้าไปก็ปีกว่า ชีวิตพลิกเลย จากนักการเมืองไปเป็นนักโทษอยู่ในคุก หลังจากรู้ว่า โทษประหาร มีหนทางเดียว คือ ขอพระราชทานอภัยโทษจากในหลวงจนได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ตอนแรกผมนึกว่า ผมตายแน่ เย็นมาก็สวดมนต์อย่างเดียว ท่องคาถาสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี กับหลวงปู่ทวด ตั้งสมาธิ ควบคุมสติ พอเสียงโซ่ตรวนมาก็ระแวงว่า จะเอาผมไปประหารหรือเปล่า ผวาตลอด”

เรื่องที่เกิดขึ้นกับชีวิต จ่ามีอโหสิกรรมหมดแล้ว ไม่คิดจองกรรมจองเวรกับใคร เคยมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่แนะนำให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่เอา เลือกวัดดวง ถ้าติดคุกก็ติด แต่ออกมา สังคมก็รับได้ ไม่เคยซัดทอดใคร จากคำพิพากษาประหารเหลือโทษจำคุกตลอดชีวิต เขาคิดเสมอว่า สักวันต้องได้รับอิสรภาพ แต่มักโดนดองเรื่อง

เขาขอบคุณนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีนโยบายให้นักโทษออกจากคุกกลับตัวเป็นคนดีมากที่สุด “ส่วนของผมเข้าข่ายครบเกณฑ์พิจารณที่จะกลับบ้านได้แล้ว เพราะเหลือโทษ 3 ปี  ก่อนหน้าไม่ให้ออก คงกลัวผมไปมีอิทธิพล แต่จริง ๆ แล้ว ผมมาเจอใครหลายคน สอนในสิ่งที่ดี  ไม่ต้องไปเป็นนักเลง ออกไปทำมาหากินสุจริตดีกว่า ถ้าไม่ได้ท่านรัฐมนตรีสมศักดิ์ ผมสงสัยฉิบหาย ตายในคุกแน่ ส่วนความรู้สึกที่ต้องติดคุก ผมคิดว่า เป็นกรรมเวรที่ผมทำไว้ ไอ้สิ่งที่ได้ทำ ไม่ติดคุก แต่ไอ้สิ่งที่ไม่ได้ทำ เสือกติดคุก ถึงคิดว่า มันเป็นกรรมเวร”

อดีตนักการเมืองที่ตกเป็นจำเลยจ้างวานฆ่าแม่ผู้แทนหญิงสังกัดพรรคเดียวกันบอกว่า หลังออกจากเรือนจำ มีโครงการทำอีกมากมาย อย่างเดียวที่ไม่ขอยุ่งเกี่ยวคือ ยาเสพติด ครั้งหนึ่งอาจเคยถูกมองเข้าไปพัวพัน โดนจับกุม แต่ไม่ค้า เพียงแค่เสพ และทำให้ถึงพิษภัยของยาเสพติด พาเอาหลายคนหมดตัว เรื่องนี้สาบานตรงนี้เลยเรื่องยาเสพติดไม่ยุ่งเด็ดขาด

“ถามว่า ทำไมเมื่อก่อนผมถูกมองเป็นผู้มีอิทธิพล อาจเพราะผมเป็นคนจริงใจ รักพวกพ้อง ชอบช่วยเหลือคนอื่นอย่างนั้นหรือที่ทำให้ผมถูกมองเป็นผู้มีอิทธิพลสมัยนั้น ผมเข้าไปอยู่ในคุก ไม่มีใครรู้หรอกว่า ลำบากขนาดไหน แต่ผมต้องอยู่ ต้องเอาชีวิตให้รอด ห้องนอนเบียดเสียดแบบหายใจรดกัน มันไม่สบายหรอกนะ แบบนี้หรือคือ ผู้มีอิทธิพล” เจ้าตัวทิ้งท้ายนึกถึงวิบากกรรมที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

 

 

 

 

 

 

RELATED ARTICLES