หากไม่อยากให้ภาพลักษณ์ติดลบ ต้องไม่กลบอุดมการณ์ความเป็นตำรวจ
คู่ตำรวจหนุ่มรุ่นใหม่กลายเป็นขวัญใจในโลกออนไลน์ให้คนติดตามจำนวนไม่น้อย ด้วยพฤติกรรมเป็นแบบอย่างที่ประชาชนต้องการเห็นตำรวจสวมบท “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” ไม่ใช่แสดง “อำนาจบาตรใหญ่” ข่มเหงรังแกชาวบ้าน
ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตวิญญาณ
พ.ต.ท.ฉัตรชัย สุทธนะ รองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรแม่ท้อ จังหวัดตาก และ ส.ต.ท.ภาณุพงศ์ ราชไชยา ผู้บังคับหมู่ป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรเมืองชัยนาท เสมือนเป็น “ต้นแบบ” ตำรวจเลือดใหม่ที่มีหัวใจบริการประชาชน
“สองหนุ่มสองมุม” เลือกมุ่งมั่นสร้างภาพลักษณ์ดีให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เกิดจากธรรมชาติของจิตใต้สำนึก
ไม่เคยนึกสร้างภาพให้แก่ตัวเอง
ฝันอยากเป็นตำรวจ เอามาอวดช่วยแม่และพี่สาว
รองผู้กำกับหนุ่มเป็นคนเมืองแพร่ จบการศึกษาจากโรงเรียนพิริยาลัย ไปต่อโรงเรียนเตรียมทหารเป็นรุ่น 45 และเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 61 ประดับยศ ร.ต.ต.ติดวุฒิการศึกษาปริญญาตรีรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต อีกทั้งมีดีกรีนิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช รัฐศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง
วัยเด็กมีความใฝ่ฝันที่อยากเป็นตำรวจ เนื่องจากอยากช่วยเหลือคนอื่น และดูแลครอบครัว เพราะสูญเสียบิดาบังเกล้าตั้งแต่ตัวเองอายุเพียง 3 ขวบ ที่บ้านเหลือแค่แม่และพี่สาว เป็นเหตุผลหลักในการขับเคลื่อนแรงบันดาลใจอยากรับราชการตำรวจเพื่อครอบครัวจะได้รับสวัสดิการของข้าราชการ “ผมมีความรู้สึกว่า อยากดูแล ปกป้องครอบครัวที่มีแต่ผู้หญิง ถ้าผมเป็นตำรวจจะสามารถปกป้องพวกเขาได้ แล้วยังปกป้องดูแลชาวบ้านทั่วไป ประชาชนทั่วไปได้ด้วย”
เขามุ่งมั่นตั้งใจเรียนถือว่า เรียนดีพอสมควร ได้เกรดเฉลี่ยประมาณ 3.8 ก่อนใช้เวลาเตรียมตัวสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยประมาณ 2-3 เดือนช่วงปิดเทอม ลงสมัครเลือกสอบ 3 เหล่าทัพ ทั้งทหารบก ทหารอากาศ และตำรวจ ปรากฏทำคะแนนสอบติดทั้ง 3 เหล่าทัพ เลือกเหล่าตำรวจโดยไม่ลังเลใจ ด้วยความอยากเป็นตำรวจมากกว่าเหล่าอื่น
เริ่มต้นชีวิตนครบาล ก่อนทะยานไปไกลชายแดนแม่สอด
ระหว่างเรียนชอบเล่นกีฬายูโด เพราะสามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจได้ ถึงขั้นได้รับคัดเลือกเป็นประธานชมรมยูโดของโรงเรียนนายร้อยตำรวจ พ.ต.ท.ฉัตรชัยเล่าว่า ตอนเป็นนักเรียนนายร้อยช่วงแรกเหนื่อย เครียด พยายามอดทน มองว่าความสำเร็จในอนาคตคุ้มค่ากับการอดทน หลังเรียนจบลงบรรจุเป็นพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขัน อยู่ปีครึ่งต้องเลือกใหม่ตามนโยบายขณะนั้นที่เปิดให้นักเรียนนายร้อยตำรวจทุกคนลงพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลก่อนแล้วค่อยขยับออกภูธร
ครบวาระถึงเวลาโยกย้าย เขาตัดสินใจย้ายเป็นพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรแม่สอด จังหวัดตาก เนื่องจากพี่สาวทำงานอยู่ในพื้นที่ ประกอบกับเป็นโรงพักใหญ่ น่าจะมีงานเยอะ อยากลองงานหลากหลาย เพราะเป็นพื้นที่ติดแนวชายแดน คดีแรงงานต่างด้าว อาชญากรรมข้ามชาติจะมีมากกว่าพื้นที่ชั้นใน แถมได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องศุลกากรที่ต้องทำงานควบคู่กัน
ทำสำนวนคดีนาน 2 ปีครึ่งขยับเปลี่ยนหน้าที่เป็นรองสารวัตรป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรแม่สอด จังหวัดตาก ก่อนโดนทาบทามให้ไปขึ้นสารวัตรฝ่ายอำนวยการ 1 กองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ทำหน้าที่สารวัตรกำลังพล เหมือนเป็นการฝึกงานเอกสารไปในตัว จากนั้นถึงลงกลับไปเป็นสารวัตรป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรบ้านตาก จังหวัดตาก
เรียนรู้เก็บประสบการณ์ ลุยงานปกป้องชีวิตทรัพย์สินชาวบ้าน
“ผมอาจคุ้นเคยพื้นที่แถบนั้น” พ.ต.ท.ฉัตรชัยบอกและว่า จับกุมคดีสำคัญมาก พยายามใช้วิชาความรู้และประสบการณ์ทำงานให้เต็มที่ตามความรับผิดชอบ “ชีวิตตำรวจได้เรียนรู้การทำงาน เรียนรู้หลายอย่าง แต่ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันเราไม่สามารถทำงานตามความรู้สึกตัวเอง ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนเป็นหลัก ไม่ใช่จะทำตามกฎหมายแบบเคร่งครัดอย่างเดียว ต้องมีหลักนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์รวมกัน บางเรื่องอะลุ้มอล่วย ช่วยเหลือได้ก็ช่วยเหลือกันไป บางเรื่องที่ต้องเข้มงวดกวดขันก็ต้องเข้มงวด ถ้าเราไปเข้มทุกเรื่อง นอกจากทำให้งานเรามีปัญหาอุปสรรคแล้ว ยังเกิดความไม่สบายใจกับประชาชนด้วย”
ต่อมาเจ้าตัวขยับเป็นสารวัตรกองกำกับการสืบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 6 ตามกวดจับคนร้ายปิดแฟ้มคดีจำนวนไม่น้อย ระหว่างนั้นโดนลงไปช่วยราชการตำแหน่งสารวัตรป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรเมืองตาก ลุยงานป้องกันปราบปรามตามที่ตัวเองถนัด และอยากปกป้องชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ป้องกันเหตุก่อนเกิดดีกว่ามาไล่ตามจับกุมผู้กระทำความผิดที่อาจก่อคดีจนเกิดความสูญเสียในชีวิตทรัพย์สินของชาวบ้าน
ครั้งนั้นเขาได้รับการชื่นชมเป็นฮีโร่วิ่งเข้ากล่อมสาวใหญ่จะกระโดดแม่น้ำปิงฆ่าตัวตายตามสามีที่เป็นตะคริวจมน้ำตายต่อหน้าต่อตาระหว่างพาหลานๆ ไปเล่นน้ำพักผ่อนคลายร้อนแถบท่าน้ำกาดนิ่งยองเหนือจวนผู้ว่าราชการจังหวัด ในทันทีที่รับแจ้งเหตุ พ.ต.ท.ฉัตรชัยเดินทางไปเป็นตำรวจชุดแรกตรวจดูความเรียบร้อยของทีมประดาน้ำกู้ภัยลงหาร่างผู้สูญหายในแม่น้ำจนพบศพ ปรากฏว่า ภรรยาคู่ทุกข์เกิดอาการเครียดเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพยายามจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตายตาม เขาต้องรีบวิ่งเข้าไปเกลี้ยกล่อมอยู่พักใหญ่จนเปลี่ยนใจได้สำเร็จ
เผชิญบททดสอบภาคสนาม สมรภูมิสงครามบนโลกออนไลน์
นายตำรวจหนุ่มเก็บความภูมิใจประดับเส้นทางชีวิต เพราะถือเป็นหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไม่ได้วาดหวังตัวเองเป็นพระเอกและย้ายกลับไปทำหน้าที่สืบสวนภาค 6 ต่อ แล้วคืนถิ่นเก่าเป็นสารวัตรจราจร สถานีตำรวจภูธรเมืองตาก วนเวียนอยู่พื้นที่ถนัดกระทั่งขึ้นเป็นรองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรแม่ท้อ จังหวัดตาก ท่ามกลางบททดสอบมากมายเพื่อไม่ให้หลุดออกนอกลู่นอกทางตกเป็นผู้ร้ายในสังคมออนไลน์ที่ทำลายภาพลักษณ์ตำรวจไปแล้วหลายนาย
“ผมยึดหลักการต้องแคร์ความรู้สึกชาวบ้าน มองว่า ตำรวจถึงเวลาต้องเปลี่ยน ต้องช่วยกันกู้ภาพลักษณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งสมัยปัจจุบันมีภาคประชาชนที่คอยตรวจสอบ สอดส่อง ดูแลการทำงานของตำรวจตลอดเวลา ภาพลักษณ์ติดลบที่ออกไป บางครั้งมีแค่ด้านเดียว เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่อยากให้ด้านเดียวของเราเป็นปัญหา ก็ต้องทำดีให้รอบด้าน ไม่ว่าคลิปวิดีโอ หรือภาพที่ออกไปด้านไหน ต้องออกมาดีทั้งหมด เสียงสะท้อนในโซเชียล ทุกวันนี้ ตำรวจเละมาก ผมอยากให้ช่วยกันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำดี จริง ๆ ก็เหนื่อย และเห็นบ่อยมาก” พ.ต.ท.ฉัตรชัยว่า
รองผู้กำกับการป้องกันปราบปรามโรงพักแม่ท้อสารภาพว่า บางครั้งแทบไม่อยากคลิกไปดูความคิดเห็นจากหลายเรื่องราวในโลกโซเชียลที่โจมตีตำรวจส่วนใหญ่ เพราะประชาชนบางส่วน บางกลุ่มเหมือนตั้งแงอยู่แล้ว แต่ตำรวจต้องทำหน้าที่ เหมือนวันที่ตกเป็นเป้าบนโลกออนไลน์เอาไปถ่ายลงโซเชียลในวันตั้งด่านตรวจขันวินัยจราจรอยู่บนถนนพหลโยธิน อ้างเป็นนักรบด่านเถื่อน มีเพจประจำกลุ่ม ถือกล้องลงมาถ่าย เราเห็นในโซเชียลแล้วว่า ชอบเดินไปถามโน่นนี่ เกี่ยวกับระเบียบต่าง ๆ จะยั่วให้ตำรวจอารมณ์เสีย โชคดีเรารู้อยู่แล้วและพร้อมตอบทุกคำถามไขข้อข้องใจ
ยึดหลักความถูกต้อง ไม่ต้องกลัวโดนจ้องจับผิด
“จริงๆ ตั้งแต่ผมมายืนบนถนน ผมคิดเสมอ ก่อนหน้านี้เป็นสารวัตรจราจรเตรียมไว้อยู่แล้ว เป็นเรื่องที่อาจกระทบกับประชาชน ตำรวจมักเจอตรงนี้บ่อย ผมคิดตั้งแต่วันแรกที่ลงบนถนนแล้วว่า หากเกิดเหตุการณ์อย่างนั้น ผมจะตอบยังไง จะอธิบายแบบไหนทำให้ถูกต้อง บอกให้เข้าใจยังไงแล้วก็เจอจริง ๆ ผมมั่นใจว่า ที่เราทำถูกต้องตามระเบียบทุกอย่าง ชาวบ้านอาจจะไม่รู้บางเรื่อง ผมเห็นเจ้าหน้าที่บางคนตอบกับนักข่าว คลิปก่อน ๆ อาจจะตอบไม่เคลียร์ ก็กลายเป็นประเด็น”
ตำรวจเลือดใหม่พยายามใส่ใจในรายละเอียดว่า ทุกอย่างเคลียร์หมด ตอบได้ทุกคำถาม ตั้งแต่อุปกรณ์ เครื่องมือ อุปกรณ์สื่อสาร แม้หลายๆ คำถามรู้สึกเป็นการยั่วยุ แต่เรารู้ทันจนอธิบายให้เข้าใจกระจ่างชัด วันนั้นท้ายคลิปยังเอาไปพูดในลักษณะขอบคุณด้วยซ้ำไป นี่แหละเป็นสิ่งที่เราตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก การวางตัวเป็นเรื่องสำคัญว่า ทำอย่างไรให้ชาวบ้านไม่เห็นว่า เราเป็นนาย เรายึดแบบนี้เป็นหลักการทำงานตั้งแต่เริ่มเป็นตำรวจแล้ว เพราะโรงเรียนนายร้อยตำรวจปลูกฝังมาให้เป็นที่พึ่งของประชาชน
พ.ต.ท.ฉัตรชัยถ่ายทอดให้ลูกน้องตลอดทุกครั้งก่อนออกไปปฏิบัติหน้าที่ให้ระลึกเสมอว่า เราคุยกับใคร มีปฏิกิริยาอย่างไร เราโดนจับตาจากสังคมตลอดเวลา ทำอย่างไร ให้ภาพที่ออกไป ใครเห็นก็ตามจะชื่นชมเรา ไม่ตำหนิเรา ให้ระลึกไว้ตลอดเวลาว่า เวลาประชาชนที่มาแจ้งความ หรือประชาชนที่เดินเข้ามาเหมือนญาติพี่น้องเรา ถ้าเป็นญาติเราจะบอกเขาอย่างไร ช่วยเหลืออย่างไร พยายามกำชับลูกน้องแล้ว พยายามให้ดูตัวอย่าง ตามโซเชียล ที่สำคัญสุดเราต้องทำให้ถูกต้องทุกอย่างตามระเบียบ ถึงจะอธิบายกับชาวบ้านได้ถูกต้อง
วอนตำรวจส่วนใหญ่ปรับทัศนคติ เปลี่ยนแนวคิดกู้ภาพลักษณ์องค์กร
สิ่งที่อยากฝากถึงตำรวจรุ่นใหม่ พ.ต.ท.ฉัตรชัยทำใจอยู่แล้วว่า ตำรวจไม่ได้ดีหมดทุกคน แต่ทำอย่างไรให้ดี อย่างแรก การปฏิบัติหน้าที่ต้องยึดหลักกฎหมาย ระเบียบให้ถูกต้องทุกอย่างก่อน ทำตัวเราให้ถูก ทำลูกน้องเราให้ถูก ทำอุปกรณ์เครื่องมือ พาหนะของเราให้ถูกต้องก่อน เมื่อถูกต้องแล้วเราไม่มีอะไรที่จำเป็นจะต้องกลัว หมายถึงเมื่อมีชาวบ้านมาสอบถาม สงสัยตรงไหน เราสามารถอธิบายเขาให้เข้าใจได้ทั้งหมด
เจ้าตัวย้ำว่า กิริยาวาจา อาการ ท่าทาง ต้องสุภาพเรียบร้อย ทำให้ชัดเจน ทำให้ชิน เหมือนชาวบ้านทุกคนเป็นญาติผู้ใหญ่ของเรา เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นป้า เป็นใครที่ไหน ถ้าตำรวจปฏิบัติตรงนี้ได้ให้มากที่สุดจะทำให้ภาพลักษณ์ ความรัก ความศรัทธาของประชาชน ความเชื่อใจของประชาชนจะมีให้ตำรวจมากขึ้น แต่อาจต้องใช้เวลา อยากบอกตำรวจรุ่นใหม่ ๆ ยังมีเวลา น่าจะเป็นรุ่นที่สามารถปรับเปลี่ยนความคิด ปรับเปลี่ยนทัศนคติตัวเอง
“ผมมีความภูมิใจที่เป็นตำรวจตั้งแต่เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจแล้ว รู้สึกภูมิใจที่ตัวเองมีคุณค่า มีประโยชน์ต่อสังคม แม้ค่าตอบแทนจะไม่ได้มากมายอะไร ไม่ใช่ปัญหา บางทีโดนจ้อง แต่ก็ทำใจได้ คือ คติในการทำงานของผม เมื่อเราทำงานในหน้าที่อย่างเต็มที่ และถูกต้องแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร เพราะเราสามารถอธิบายการทำงานของเราได้ ระลึกไว้เสมอว่า ประชาชนทุกคนที่เข้ามาหาตำรวจล้วนมีความทุกข์ มีความเดือดเนื้อร้อนใจทั้งนั้น ให้คิดเหมือนเป็นญาติพี่น้องของเราแล้วเราจะรู้ว่า ควรปฏิบัติอย่างไร จะช่วยเหลือได้อย่างไร ผมมั่นใจว่า หากตำรวจสามารถควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี มีกิริยาอาการที่สุภาพเรียบร้อย มีคำพูด น้ำเสียงที่น่าฟัง มีความรู้ความเข้าใจในการทำงาน ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ความเชื่อใจและศรัทธาต่อตำรวจจะเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน” รองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรแม่ท้อ จังหวัดตากฝากเป็นข้อคิด
เจาะใจผู้หมู่หนุ่มหล่อเมืองชัยนาท สิ่งที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไทยพึงกระทำ
ด้าน ส.ต.ท.ภาณุพงศ์ ราชไชยา ผู้บังคับหมู่ป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรเมืองชัยนาท ตำรวจหนุ่มหล่อที่ได้รับการกล่าวขานจากภาพความประทับใจขี่รถจักรยานยนต์ช่วยยันรถจักรยานยนต์ของพนักงานส่งอาหารไปร้านอู่ซ่อมรถ ทำให้มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็น ให้กำลังใจ ชื่นชมความน่ารักโด่งดังเกรียวกราวเพียงชั่วข้ามคืน
“ผมและตำรวจของจังหวัดชัยนาทปฏิบัติกันอยู่เสมอ เป็นสิ่งที่ตำรวจไทยพึงกระทำ” เจ้าตัวระบายความรู้สึก เขาบอกครั้งนั้นเป็นเหตุการณ์ในหลายครั้งที่เคยช่วยเหลือประชาชน ช่วยรถเสีย อำนวยการจราจร เป็นวันที่ออกปฏิบัติงานรับแจ้งให้ไปตรวจสอบอุบัติเหตุ พบรถจักรยานยนต์ของไรเดอร์ส่งอาหารเสียกลางทาง สตาร์ตไม่ติดจึงช่วยยันรถไปถึงอู่ซ่อม มีคนบันทึกภาพไว้ไปลงแชร์ทางกลุ่มไลน์และเฟซบุ๊ก กระทั่งเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันในโลกโซเชียล
“การช่วยเหลือประชาชนเป็นสิ่งที่ตำรวจไทยพึงกระทำตามนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่แล้ว” ผู้บังคับหมู่ป้องกันปราบปราม แต่ไปช่วยเสริมงานด้านจราจรประจำตู้จราจรเจ้าสามพระยา แยกแขวงการทางชัยนาท อำเภอเมืองชัยนาทย้ำ กระนั้นก็ตาม เขาฝากถึงประชาชนที่ขับขี่รถ ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย หากมีการกระทำผิดจริงก็ต้องจับปรับ เนื่องจากเป็นหน้าที่ของตำรวจ
วาดหวังเจริญรอยตามผู้บังเกิดเกล้า ก้าวสวมเครื่องแบบสีกากีสมใจ
จะว่าไปแล้วประวัติของ ส.ต.ท.ภาณุพงศ์ ราชไชยา มีสายเลือดผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เต็มตัว เป็นลูกชาย ร.ต.อ.วินัย ราชไชยา รองสารวัตรป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรเขาแก้ว จังหวัดชัยนาท แถมมี ส.ต.ท.ภาสกร ราชไชยา น้องชายฝาแฝด ตำแหน่งผู้บังคับหมู่ป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรเมืองชัยนาทด้วยเช่นกัน เกิดอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ หลังเรียนจบมัธยมโรงเรียนตาคลีประชาสรรค์ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ สอบเข้าหลักสูตรนักเรียนนายสิบตำรวจรุ่นที่8 ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 1
“ผมมีความฝันที่อยากจะรับราชการตำรวจตั้งแต่เด็ก เหตุผลสำคัญเนื่องคุณพ่อผมรับราชการตำรวจ อยากแต่งเครื่องแบบเหมือนคุณพ่อ โตมากับโรงพัก ได้เห็นคุณพ่อของผมได้ช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนมาตลอด ไม่ว่าจะในเวลาราชการ หรือนอกเวลาราชการ มักมีชาวบ้านเดือดร้อนในเรื่องต่าง ๆมาขอความช่วยเหลือ ขอคำปรึกษาคุณพ่ออยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นที่โรงพัก หรือบ้านพัก”
แม้เส้นทางความฝันกระท่อนกระแท่นในตอนแรก เลือกเรียนมหาวิทยาลัย พร้อมอ่านหนังสือสอบตำรวจไปด้วย แต่ผลการสอบครั้งแรกสอบไม่ติด ตัดสินใจกับน้องขอพ่อแม่ออกจากมหาวิทยาลัยไปติวสอบตำรวจอย่างจริงจัง พ่อแม่ตอบตกลงแบบไม่ลังเลใจ สนับสนุนเต็มที่ เขาและน้องชายตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อที่จะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวังกับการตัดสินใจออกจากมหาวิทยาลัยจนสอบติดนักเรียนนายสิบตำรวจ
เป็นความภาคภูมิใจให้ครอบครัว ประกาศตัวผลักดันภาพบวกในอาชีพ
พร้อมน้องชายฝาแฝดสอบเข้าศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 1 รุ่นเดียวกัน ก่อนลงโรงพักเดียวกัน ทำงานที่เดียวกัน ท่ามกลางความภูมิใจของพ่อ เจ้าตัวว่า พ่อภูมิใจตั้งแต่สอบติดแล้ว เพราะตั้งแต่เตรียมสอบ พ่อเห็นเราตั้งใจอ่านหนังสือ ไม่ไปเที่ยว ไปเล่น บอกไว้ล่วงหน้าด้วยซ้ำว่า ไม่ติดก็ไม่เป็นไร แค่นี้ก็ภูมิใจแล้วที่เห็นลูกตั้งใจ จะสอบได้หรือไม่ได้ก็ช่างมัน
ส.ต.ท.ภาณุพงศ์วาดหวังจากสิ่งที่พ่อทำให้เห็น เป็นตำรวจที่ดีช่วยเหลือบ้าน ไม่โดนชาวบ้านด่า แม้อาจเผชิญสิ่งเย้ายวนสารพัดในตำแหน่งหน้าที่ ไม่คิดว่าจะทำให้ไขว้เขว แม้อาจคงต้องมีบ้างที่โดนนินทาต่อว่า เพราะต้องทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย แต่จะตั้งใจทำงาน ทำหน้าที่ให้ดี เชื่อมั่นมากว่า ถ้าทำดีแล้วต้องไม่มีเสียงด่า
เจ้าตัวยืนยันคำเดิมว่า ช่วยเหลือชาวบ้านเป็นเรื่องปกติ ไม่คิดมีภาพออกในโลกโซเชียล มีคนถ่ายรูปเอาไปลงวันเดียวมีคนติดตามมากมาย มีคนชื่นชมชื่นชอบเราก็รู้สึกดีใจ ตื่นเต้นเหมือนกัน รู้สึกดีที่สามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้องค์กรตำรวจ ช่วยเหลือประชาชนให้ชาวบ้านรักและศรัทธาตำรวจ “ผมยังมีความหวังในอนาคตอยากให้ภาพตำรวจดีขึ้นในสายตาประชาชน ผมจะขอเป็นตำรวจหนึ่งนายที่จะผลักดันตรงนี้ ให้ตำรวจมีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น แม้ว่าจะเป็นแค่ตำรวจชั้นผู้น้อย”
ยอมรับอาจเจอสิ่งยั่วเย้า ไม่ขอเอาชื่อของวงศ์ตระกูลไปทิ้ง
ตำรวจหนุ่มรุ่นใหม่ไม่ใช่ดีแค่หน้าตา แต่หัวใจและจิตวิญญาณยังสวยงามมองด้วยว่า โลกของตำรวจมีทั้งดำและขาว สภาพแวดล้อมในภายภาคหน้าอาจทำให้เปลี่ยนไป พ่อถึงสอนให้ระวังเนื้อระวังตัวเวลาจะทำอะไร ให้คิดเสมอว่า มีคนเห็นตลอดเวลา เนื่องจากพ่อรู้ว่าสิ่งที่ยั่วยวนในวงการตำรวจมีเยอะ ไม่มีผ้าขาวเสมอไป ตอนนี้เรายังมีความคิดในทางที่ดีอยู่ แต่อนาคตเราอาจต้องเจอ และยากปฏิเสธ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือพยายามเลี่ยงสิ่งเหล่านั้น โดยเฉพาะการตั้งด่านรีดไถ อย่าทำเด็ดขาด
“ทำตามหน้าที่ บ่อยครั้งเหนื่อยบ้างจากภาพสะท้อนที่ออกมาเป็นลบในสังคม ไม่เป็นไร ต้องมีคนชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง เป็นเรื่องปกติ แต่ว่า เราทำในสิ่งที่ดี ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นเรื่องที่ดี ทำให้คุณพ่อคุณแม่ภูมิใจ ไม่ทำเสียชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล คือความมุ่งมั่นตั้งใจของผม” ส.ต.ท.ภาณุพงศ์ว่า
อนาคตเขายังอยากทำงานสายป้องกันปราบปรามทำงานช่วยเหลือประชาชน ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินชาวบ้านด้วยมุมมองว่า ตำรวจเป็นอาชีพที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น ระงับทุกข์บำรุงสุขให้ผู้อื่น ช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน ถึงแม้ในปัจจุบันตำรวจจะถูกกระเเสสังคมต่อว่า ในเรื่องต่าง ๆมากมาย “ผมยังเชื่อว่า ตำรวจที่ดี ตั้งใจทำงานมีอยู่เยอะมากที่พร้อมจะช่วยเหลือประชาชน และทุกครั้งที่ประชาชนเดือดร้อน ต้องการขอความช่วยเหลือย่อมจะนึกถึงตำรวจเป็นคนแรก ผมจะขอเป็นตำรวจอีกหนึ่งนายที่จะคอยช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ให้สมกับคำว่า ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เป็นตำรวจที่ชาวบ้านรักเหมือนคุณพ่อทำไว้” ผู้หมู่โรงพักเมืองชัยนาทน้ำเสียงจริงจัง