ตำรวจ ตม.แถลงจับ 4 คดีสำคัญ

ตำรวจ ตรวจคนเข้าเมืองจับ 4คดีสำคัญ รวบหนุ่มอินโด หลอกลงทุน Forex เสียหาย 320 ล้านบาท- รวบหนุ่มกิมจิหนีหนีคดีฉ้อโกง 200 ล้านวอน – จับต่างด้าวชาวบังกลาเทศ 19 คน หลบหนีเข้าเมือง – จับลูกครึ่งโมร็อกโก/เบลเยี่ยมหนีคดีพยายามฆ่า

วันที่ 23 ม.ค.67 พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง6 พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พ.ต.อ.คธาธร คำเที่ยง รองผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 3 ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุมผู้ต้องหา 4 คดีสำคัญ

พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวว่า คดีแรก เจ้าหน้าที่ กงสุลฝ่ายตำรวจ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ประจำประเทศไทย ได้ประสานมายังเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสืบสวนสอบสวนสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองว่า MR.PUTRA WIBOWO  อายุ 40 ปี สัญชาติอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นบุคคลที่ตำรวจสากลต้องการตัว ตามหมายจับของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ข้อหา “ฉ้อโกง”  โดยการหลอกให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน Forex  มูลค่าความเสียหายคิดเป็นเงินไทยประมาณ  320 ล้านบาท และปัจจุบันยังหลบหนีซ้อนตัวอยู่ในประเทศไทยนาน กว่า 2 ปี ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมสืบทราบว่า MR.PUTRA ผู้ต้องหารายนี้ ได้ซื้อบ้านหรูราคากว่า 8 ล้านบาท อยู่พื้นที่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี โดยใช้ชื่อภรรยาเป็นคนไทยเป็นผู้ซื้อ จึงขออนุมัติศาลออกหมายค้น และทำการจับตัวตัวได้ดังกล่าว จากการเข้าตรวจค้นพบ เงินสดสกุลเงินดอลลาร์สิงคโปร์ และ ทรัพย์สินอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท อยู่ในตู้เซฟภายในห้องนอน สอบสวนผู้ต้องหาให้การว่า ตนเองถูกทางอินโดนีเซียออกหมายจับในข้อหาหลอกให้ร่วมลงทุน Forex จริง และ ได้หลบหนีหมายจับมากบดานอยู่ในประเทศไทย นานกว่า 2 ปี จึงควบคุมตัวส่ง พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวต่อว่า คดีที่ 2 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสืบสวนสอบสวนกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 3 จับกุม MR.HYUNGGU MIN อายุ 43 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ เนื่องจากเมื่อประมาณต้นเดือน ม.ค.67 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนทราบว่า MR.HYUNGGU เป็นบุคคลตามหมายจับของประเทศเกาหลีใต้ และเป็นที่ต้องการตัวของตำรวจสากล ในข้อหา “ฉ้อโกง” มูลค่าความเสียหายกว่า 500 ล้านวอน หรือ 12 ล้านบาท และเป็นที่ต้องการตัวของตำรวจสากล กระทั่งเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมสืบทราบว่า ผู้ต้องหารายนีได้หลบหนีไปกบดานอยู่ที่ คอนโดแห่งหนึ่งใน อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ จึงนำกำลังติดตามจับกุมได้ดังกล่าว นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.ช้างเผือก จ.เชียงใหม่ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวอีกว่า คดีที่ 3 เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดนราธิวาส จับกุมชาวบังกลาเทศ จำนวน 19 คน ข้อหา “ปลอมหรือใช้รอยตราประทับปลอมฯ, ปลอมหรือใช้เอกสารราชการปลอมฯ, เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” พฤติการณ์จับกุม ก่อนทาการจับกุมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับแจ้งจากประชาชนว่าพบเห็นบุคคลลักษณะคล้ายคนต่างด้าว อยู่บริเวณภายในตลาดตาบา ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ จว.นราธิวาส จึงเข้าตรวจสอบพบเห็นคนต่าง อยู่บริเวณหน้าอาคารพาณิชย์ จึงได้ขอตรวจสอบ โดยคนต่างด้าวดังกล่าวแจ้งว่าหนังสือเดินทางของตนอยู่ในตัวอาคารพาณิชย์หลังดังกล่าว แลยังมีบุคคลต่างด้าวอยู่ภายในตัวอาคารพาณิชย์หลังดังกล่าวอีก เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงให้พาเข้าไปตรวจสอบ เมื่อเข้าไปภายในตัวอาคารพบคนต่างด้าวอยู่ภายในอีกจานวน 18 คน โดยผลการตรวจสอบหนังสือเดินทาง ทั้ง 19 คน พบว่ามี แผ่นปะตรวจลงตรา (Visa) มีลักษณะผิดปกติ หลังจากตรวจสอบไม่ปรากฎข้อมูลการเดินทางเข้าราชอาณาจักรแต่อย่างใด จึงจับกุมไว้ได้ดังกล่าว จากการสอบถามชาวบังกลาเทศทั้ง 19 คน รับว่าพวกตนได้เดินทางมาจากประเทศบังกลาเทศและพักอาศัยอยู่ประเทศกัมพูชา โดยมีชาวบังกลาเทศที่อยู่ในประเทศกัมพูชาคอยช่วยเหลือสนับสนุนที่พัก รวมทั้งเอาหนังสือเดินทางของพวกตนไปดำเนินการประทับรอยตราประทับขาเข้าประเทศไทยให้ ก่อนที่จะพาลักลอบข้ามพรมแดนมายังประเทศไทยเพื่อจะเดินทางไปยังประเทศมาเลเซียแต่ถูกจับกุมเสียก่อน โดยได้จ่ายค่าเดินทางพร้อมค่าใช้จ่ายการประทับตราขาเข้าประเทศไทยให้กับนายหน้าแล้วทั้งหมดที่ประเทศบังกลาเทศ เป็นเงินจานวนคนละ 400,000 – 500,000 ทากา คิดเป็นเงินไทยประมาณ 145,000 บาท จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ตากใบ ดำเนินคดี พร้อมขยายผลหาผู้ร่วมกระบวนการต่อไป

“ส่วนคดีที่ 4 ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ต จับกุม MR.OUSSAMA ACHMAL อายุ 37 ปี ลูกครึ่งโมร็อกโก/เบลเยี่ยม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 878/2566 ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2566 ข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, พกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต, ครอบครองเครื่องกระสุนปืน ชิ้นส่วนอะไหล่หรืออุปกรณ์เสริม ซึ่งติดตั้งบนอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต” สืบเนื่องจาก สานักงานอัยการสูงสุด ได้มีหนังสือถึง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ทำการจับกุมแล้วนำตัวส่งให้พนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ ดำเนินการตาม พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551 ซึ่งศาลอุทธรณ์แห่งกรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยม ได้ตัดสินให้จาคุกผู้ต้องหารายนี้เป็นเวลา 10 ปี โดยผู้ต้องหารายนี้ได้ใช้หนังสือเดินทางประเทศเบลเยี่ยมเดินทางเข้า-ออก ประเทศไทยหลายครั้ง ภายหลังพบว่ามีการเปลี่ยนมาใช้หนังสือเดินทางของประเทศโมร็อกโก และแจ้งที่พักอาศัยไม่เป็นหลักแหล่งทั้งกรุงเทพฯ ศรีสะเกษ และภูเก็ต สลับกันไป กระทั่งเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมสืบทราว่า ได้หนีกบดานในพื้นที่ตำบลป่าตอง จังหวัด และแฝงตัวทำงานเป็นดีเจในสถานบริการแห่งหนึ่งในพื้นที่ป่าตอง จึงนำกำลังเข้าจับกุมได้ดังกล่าว จึงนำตัวส่งพนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศ ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป” พล.ต.ต.พันธนะ รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกล่าว

RELATED ARTICLES