“ไม่มีปัจจัยอื่นมาแทรกแซง การพิจารณาเป็นไปตามหลักฐานพยาน” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติโต้ข้อครหาที่เกิดขึ้นจากลมปาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล
หลังจากนายพลตำรวจเอกรุ่นน้องโรงเรียนนายร้อยตำรวจเดินสายอาละวาดฟาดงวงฟาดงากล่าวหากระบวนการกลั่นแกล้ง “ป้ายมลทิน” ยัดข้อหาฟอกเงินสีเทาบ่อนพนันออนไลน์เครือข่ายใหญ่จนถูกคำสั่ง “ให้ออกจากราชการ”
ขู่ฟ้องเอาผิด พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้นำขัดตาทัพที่เป็นคนลงนามคำสั่งเชือด
เจ้าตัวระบุทุกขั้นตอนยึดถือปฏิบัติตามกฎหมาพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติปี 2565 และกฎคณะกรรมการข้าราชการตำรวจอย่างเคร่งครัด พิจารณาข้อเท็จจริงและความร้ายแรงแห่งคดี การนำมาตราใดมาปฏิบัติเป็นเรื่องฝ่ายอำนวยการฝ่ายกฎหมายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องประมวลเรื่องเสนอพิจารณาตามบทบัญญัติของกฎหมายทุกอย่าง
กระนั้นก็ตาม นายตำรวจรุ่นน้องมีสิทธิร้องเรียนต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ และเป็นสิทธิที่จะฟ้องร้องต่อศาลปกครอง
“ผมมีหน้าที่แก้ต่าง หรือชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น ขอย้ำว่า ผมเตรียมพร้อมรองรับอยู่แล้วไม่ได้ หนักใจด้วยซ้ำ”
เหตุที่ให้พักหรือออกราชการไว้ก่อนเป็นไปตามบัญญัติไว้ในกฎหมายทุกประการ
“ไม่มีการใช้ความรู้สึกส่วนตัวหรืออคติใดๆ” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐว่า “ไม่เคยเป็นคู่ขัดแย้งกับใคร แต่ใครจะมองอย่างไรก็ว่ากันไป”
ส่วนประเด็นปลดป้ายชื่อออกจากห้องทำงาน
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐยืนยันว่า มีเรื่องอื่นต้องทำมากกว่า ใครจะปลดเป็นเรื่องต้องพิสูจน์กันไป
“ไม่เอาสมองกับเวลามาทำเรื่องอย่างนี้”
ระบายความรู้สึกคำกล่าวหากระเหี้ยนกระหือรือจะเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติด้วยว่า การเป็นผู้นำองค์กรไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า อยากเป็นหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ การใช้อำนาจและการพิจารณาตามกฎหมายระเบียบที่เกี่ยวข้อง
“ผมไม่จำกัดความคิดของใคร “เขาสอนเชิงนายพลคู่กรณี
ฝากบอกว่า เรื่องศักดิ์ศรี เรื่องติดคุกติดตะราง เรามาเป็นตำรวจต้องเตรียมรับสถานการณ์อยู่แล้ว ทุกวันทุกเวลาคิดแต่เรื่องบำรุงดูแลขวัญตำรวจ ไม่คิดถึงเรื่องติดคุกเลย อยากใช้ชีวิตเหมือนตำรวจทั่วไป เราเป็นตำรวจที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่
ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดทำงานได้กับทุกคนไม่มีอคติ
ไม่คิดทางลบกับใครทั้งนั้น