เมื่อ 3 ปีก่อน ตำรวจอีสานเหนือ จำนวนไม่น้อยตกอยู่ในสภาพเป็น “ลูกหนี้” ของสถาบันการเงิน บางรายถูกให้ออกจากราชการ
เพราะโดนฟ้องล้มละลาย
ต้นสังกัดได้รวบรวมข้อมูลพบ 13,000 นายเป็นหนี้กับสถาบันการเงินวงเงินถึง 9,000 ล้านบาท
มีปัญหาเริ่มขาดส่งชำระหนี้อยู่ราว 2,500 นาย ยอดเงินกว่า 2,000 ล้านบาท และจ่อถูกฟ้องล้มละลายถึง 600 นาย ส่วนใหญ่เป็นตำรวจชั้นประทวน
ผู้บังคับบัญชาสมัยนั้นจึงทำโครงการแก้ปัญหาหนี้สินข้าราชการตำรวจขึ้นมา เชิญตัวแทนจากสถาบันการเงินขอปรับโครงสร้างนี้ชะลอการฟ้องล้มละลายที่จะเสี่ยงต่อคำสั่งให้ออกจากราชการ
ปลดล็อกวิกฤติหนี้เสียได้พอสมควร
แต่กลับมี กองบังคับการตำรวจภูธรแห่งหนึ่ง นายพลผู้นำหน่วยหัวใสเสนอแก้ปัญหาให้กู้เงินสหกรณ์ออมทรัพย์เพื่อ “โปะหนี้เสีย” ที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงิน ก่อนชักชวนนายตำรวจระดับผู้กำกับถึงชั้นประทวนร่วมลงทุนระดมเงินไว้ในสหกรณ์เป็นกองทุนหมุนเวียนคอยช่วยแก้ปัญหาความเดือดร้อนเรื่องหนี้สิน
หลายคนเห็นด้วยยอมกู้เงินสหกรณ์ไปปิดหนี้สถาบันการเงิน และชักชวนกันลงทุนไว้ในสหกรณ์แลกดอกเบี้ยเป็นเงินปันผลตอบแทนอีกด้วย
ปรากฏว่าผ่านไป 4 เดือนแล้ว ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยหาย
หายไปพร้อมกับนายพลที่ทำตัวเป็นโต้โผระดมเงินสหกรณ์มูลค่า 200 กว่าล้านบาท ทันทีที่มีคำสั่งย้ายดำรงตำแหน่งใหญ่ขึ้น
เดือดร้อนถึงตำรวจเกือบ 200 ชีวิต ที่ค้างค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ บัตรเครดิต จนสถาบันการเงินเตรียมยึดบ้านและรถ
ชั้นประทวนบางรายเครียดจนถึงอยากฆ่าตัวตาย
สอบถามการช่วยเหลือก็ยังไม่ได้รับคำตอบชัดเจนจากผู้เป็นนาย
เหยื่อของนายพลอดีตเจ้าของสหกรณ์ออมทรัพย์เล่าว่า ผู้บังคับบัญชารวบรวมหนี้เสียของข้าราชการตำรวจที่มีปัญหาเรื่องหนี้สินกับกับธนาคารและสถาบันการเงินจนเกือบถูกยึดบ้านและฟ้องล้มละลายจำนวนเกือบ 200 นาย ให้มากู้เงินสหกรณ์ออมทรัพย์รายละ 1,000,000- 3,000,000 บาท ก่อนชักชวนให้ลงทุนเสนอราคา 1,000,000 บาท ได้ดอกเบี้ย 5,000 บาท ต่อเดือน
หลายคนสนใจร่วมลงทุนยอมผิดสัญญาของสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ต้องนำเงินกู้ไปปิดบัญชีหนี้สถาบันการเงินเท่านั้น แต่กลับนำมาลงทุนหมุนเอาดอกเบี้ยในสหกรณ์ตัวเอง
“4 เดือนแรกไม่มีปัญหา จนมา 4 เดือนหลังไม่มีใครได้เงินต้นและดอกเบี้ยที่เคยได้รับตามข้อตกลงของนาย” เหยื่อชั้นผู้น้อยรำพัน
สูญเงินไปมูลค่านับ 200 กว่าล้านบาท
พวกเขาไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป ครั้นจะแจ้งความดำเนินคดีผู้เป็นนายก็กลัวอิทธิพลตำแหน่งที่สูงขึ้น เลยตกลงกันจะทำหนังสือมายื่นร้อง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในเร็ววันนี้
ก่อนที่เรื่องราวจะลุกลามบานปลายเน่ากันทั้งองค์กร