เส้นทางมือปราบพระกาฬ “ชลอ เกิดเทศ” ตอนที่ 22 หลวงพ่อแสนทองหาย

ขื่อนภูมิพล เขื่อนอเนกประสงค์แห่งแรกในประเทศไทย เริ่มก่อสร้างเมื่อพุทธศักราช 2496 เดิมชื่อ เขื่อนยันฮี สร้างปิดกั้นลำน้ำปิง ที่บริเวณเขาแก้ว อำเภอสามเงา จังหวัดตาก

วันที่ 25 กรกฎาคม พุทธศักราช 2500 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระปรมาภิไธยให้เป็นชื่อเขื่อนว่า เขื่อนภูมิพล

นอกจากจะผลิตพลังงานไฟฟ้าแล้ว ยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืด อีกทั้งมีทัศนียภาพที่สวยงาม เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวต่างแดน

เป็นประจำทุกปี “สมเด็จย่า” สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีจะเสด็จมาประทับแรมที่เขื่อนภูมิพล ภายหลังออกเยี่ยมเยียนพสกนิกรในป่าเขาห่างไกลความเจริญ

พันตำรวจเอกชลอ ในฐานะเจ้าของพื้นที่ ต้องจัดกำลังถวายความอารักขา พร้อมเข้าเวรรับเสด็จอันเป็นภารกิจสำคัญเหนืออื่นใด

จนกระทั่งสมเด็จย่าเสด็จพระราชดำเนินกลับ พันตำรวจเอกชลอจึงเดินทางกลับจังหวัดเพื่อไปพักผ่อน แต่พอเข้าถึงตัวเมือง สงสัยทำไมบ้านช่องผู้คนดูมันเงียบเหงา คนหายไปไหนหมด

นายตำรวจหนุ่มนึก พร้อมบอก จ่าแป๊ะ คนขับรถ

“ไปจวนผู้ว่ากุศล …”

ไม่นานรถบีเอ็มดับลิว พาหนะหัวหน้าตำรวจจังหวัดตากก็มาถึง

“อ้าว…เฮ้ย ทำไมคนมันแน่นจวนผู้ว่าจังวะ…”

ชลอถามจ่าแป๊ะ โดยไม่ได้ต้องการคำตอบ

กุศล ศานติธรรม พ่อเมืองตาก ยืนอยู่ต่อหน้ากลุ่มคนจำนวนมาก เมื่อหันมาเห็นชลอเดินเข้ามาพอดี จึงรีบเอ่ยปากทัก

“อ้าว…ผู้กำกับจังหวัดมาพอดี มาคุยกับชาวบ้านหน่อย….”

เสียงคนฮือกลับมาที่นายตำรวจหนุ่ม..เพราะรู้กิตติศัพท์ความเป็นนายตำรวจมือปราบที่เอาจริงเอาจังกับงานในหน้าที่

หลวงพ่อแสนทอง พระประจำจังหวัดหาย

ชลอ ใจหายวูบ

“อะไรนะ พระแสนทองหาย”

หลวงพ่อแสนทอง พระพุทธรูปเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองเมืองตาก ลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสมัยเชียงแสน สิงห์สาม ประดิษฐานอยู่ ณ พระอุโบสถวัดมณีบรรพตวรวิหาร หรือวัดเขาแก้ว ตำบลหนองหลวง อำเภอเมืองตาก

มีตำนานที่ชลอพอรู้ว่า  สมัยหลวงพ่อห้อน อินทสโร พระเกจิดังในจังหวัดตาก เกิดนิมิตขณะเจริญกรรมฐานภายในวัดถึงองค์พระพุทธรูปตั้งอยู่ในวิหารร้างเมืองโบราณแห่งหนึ่งชื่อว่า เมืองตื่น อยู่ในป่าทางเหนือของเขื่อนภูมิพล มีพญาเสือ  2 ตัว คอยปกป้องวนเวียนดูแลพระพุทธรูปดังกล่าวอยู่ไม่ไกล

ในนิมิต พระพุทธรูปได้เปล่งแสงลอยข้ามฟ้าจากป่าเมืองร้าง มาลอยวนเหนือตัวเมืองตาก ก่อนมาหยุดสถิตอยู่เหนือเขาแก้ว ที่ตั้งของวัดมณีบรรพตวรวิหาร หรือวัดเขาแก้ว

หลวงพ่อห้อนเชื่อว่า นิมิตที่เห็นน่าหมายว่าพระพุทธรูปองค์นี้ จะเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองตากสืบไป  จึงสืบหาเมืองร้างจนรู้ว่ามีอยู่จริง รวบรวมสานุศิษย์เดินเท้าเข้าป่าเหนือลำแม่น้ำปิง ถ่อแพไปตามลำห้วยแม่ตื่น ลำน้ำสาขาของแม่น้ำปิง เข้าป่าลึก

กว่า20 วัน จึงค้นพบ เมืองตื่น เมืองโบราณที่ถูกทิ้งร้าง มาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีวิหารร้างสภาพปรักหักพัง ภายในมีพระพุทธรูปทองสำริด ลักษณะดังเช่นที่หลวงพ่อนิมิตถึง จึงอัญเชิญล่องแพมาตามลำน้ำแม่ตื่น

ระหว่างทางเกิดแพแตก องค์พระพุทธรูปจมน้ำ ต้องดำน้ำงมขึ้นมาใหม่ถึง 3 ครั้ง ใช้เวลาเดินทางล่องมาตามลำน้ำแม่ปิงถึง 7 วัน 7 คืน ผ่านอุปสรรคนานานัปการ

กระทั่งมาถึงท่าโพธิ์ ชุมชนตัวเมืองตาก (ปัจจุบันท่าโพธิ์ถูกถม สมัยจอมพลถนอม กิตติขจร เพื่อขยายตัวเมือง สภาพเป็นถนนร้านค้า ช่วงบริเวณหน้าธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาตาก) เป็นเวลารุ่งเช้า แสงอาทิตย์จับต้องที่องค์พระสะท้อนแสงสีทองงดงาม

คณะอัญเชิญ และชาวเมืองตากที่รอรับ พร้อมใจตั้งชื่อพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่อัญเชิญมาจากเมืองตื่น ว่า หลวงพ่อแสงทอง ต่อมา เรียกเพี้ยนเป็น หลวงพ่อแสนทอง

“เอาอย่างนี้ครับพี่น้อง….รับประกันพี่น้องชาวจังหวัดตาก ถ้าเอาพระกลับคืนมาไม่ได้ ผมจะไม่ขออยู่ดูหน้าประชาชนอีกเลย….”

พันตำรวจเอกชลอพูดให้ความหวังชาวเมืองตากด้วยความมั่นใจ

สร้างความพอใจให้กับชาวบ้านที่พร้อมกันปรบมือ พ่อเฒ่าแม่แก่บางคน ถึงกับยกมือไหว้ท่วมหัว สาธุ

“ชลอ คุณแน่จริงๆ คุยแป๊บเดียว กลับหมด ว่าแต่จะตามเจอนะ…..”

ผู้ว่ากุศล เอ่ยปากชม พร้อมกับตั้งคำถาม

นายตำรวจหนุ่มวัยเฉียดสี่สิบยิ้มให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตากแทนคำตอบ

ชายหนุ่มเชื่อว่า เรื่องนี้พอจะมีเบาะแสให้ตามได้ เพราะมีประสบการณ์ความรู้ในเรื่องแก๊งลักพระมาไม่น้อยสมัยเป็นผู้บังคับกอง สถานีตำรวจภูธรพระนครศรีอยุธยาเมื่อครั้งยังวัยละอ่อน

ขอให้ไปดูที่เกิดเหตุก่อนเถอะ จะได้รู้ว่าเป็นฝีมือใคร

หัวหน้าตำรวจจังหวัดตากคิดในใจ ก่อนวิทยุเรียก พันตำรวจโทธีรจิตร์ อุตตมะ สารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองตาก และพันตำรวจโทวสันต์ วัสสานนท์ สารวัตรสอบสวน โรงพักเดียวกัน นักเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน รุ่น 24 เดินทางไปดูที่เกิดเหตุ ณ วัดเขาแก้วทันที

ไม่นาน ที่วัดเขาแก้ว คลาคล่ำไปด้วยนายตำรวจน้อยใหญ่

ชลอ เดินนำกลุ่มนายตำรวจตรงไปที่โบสถ์ อันเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อแสนทองที่สูญหาย

เขากวาดตาไปรอบบานประตูโบสถ์ พินิจพิจารณาจนเห็นรอยเจาะเป็นรู 2 ช่อง เชื่อว่าคนร้ายใช้เป็นช่องเข้าไปสะเดาะสลักกลอนออก

นั่นคือแผนประทุษกรรมของคนร้ายที่ชลอ จำได้ดี และใช้เป็นเคล็ดลับส่วนตัวในการชี้ชัดเป็นฝีมือของคนร้ายแก๊งไหน

เท่านั้นก็เพียงพอกับการเริ่มต้นในการสืบหาตัวคนร้ายแล้ว

เจาะรูเดียว เป็นแก๊งที่มาจากจังหวัดลพบุรี เจาะสองรูเป็นแก๊งขโมยพระจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเจาะสามรูจะเป็นแก๊งจากจังหวัดสุพรรณบุรี

ชลอยิ้มกริ่มอีกครั้ง เพราะเขารู้จะต้องเริ่มต้นจากที่ไหน และจากใคร…

———————————————-

วันรุ่งขึ้น ชลอ ไปปรากฏกายอยู่หลังโรงพยาบาลประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แหล่งชุมชนขโมยพระ

ชลอต้องการเจอตัว “ไอ้ตุ๊หนวด”มือเซียนนักฉกพระ ไม่นานก็พบตัว

เมื่อรู้ถึงจุดประสงค์ ไอ้ตุ๊หนวด ถึงกับแช่งชักหักกระดูกคนขโมยพระหลวงพ่อแสนทอง

“ไอ้ห่า….เฮียอยู่ที่นั่น หมาที่ไหนยังกล้าไปเอาอีก โคตรเหี้ยเลย…”

ตุ๊หนวด ด่าซะจนชลอต้องบอกให้พอ ก่อนวานช่วยเช็กข่าวจากพวกนักขโมยพระในแวดวงเดียวกันด้วย

ถึงแม้จะผิดหวังจาก ตุ๊หนวด แต่นายตำรวจหนุ่มไม่ถึงกับเจอทางตัน ยังมีหนทางเดินต่อไปได้ เขาขับรถเข้ากรุงเทพฯ เพราะนึกถึง เสี่ยหยา นักค้าของเก่าย่านสุขุมวิทสายเก่าสมัยอยู่พระนครศรีอยุธยาให้ช่วยตามหาพระเชียงแสนสิงห์สามรุ่นนี้อีกแรง

“ได้ครับนาย…เดี๋ยวจะช่วยดูให้…”

นักค้าวัตถุโบราณรับปากกับนายตำรวจที่มาหา และขอตัวกลับไปพักผ่อนที่ให้ลูกน้องไปจองโรงแรมย่านสุขุมวิท เพราะเหนื่อยจากการขับรถตะลุยเรื่องนี้มาทั้งวัน

เช้าวันรุ่งขึ้น เสี่ยหยาโทรศัพท์มาหาชลอ ซึ่งพักอยู่ที่โรงแรมว่าได้เรื่องแล้ว…

ชลออาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวขับรถไปหา

ทว่า..ทางจังหวัดตากโทรศัพท์ด่วนกลับมาบอกว่า เจอพระหลวงพ่อแสนทองแล้ว

เป็นอันต้องขับรถตีกลับเข้าจังหวัดตาก โดยไม่ได้ทันพูดคุยอะไรกับเสี่ยหยา

ชายหนุ่มขับรถรวดเดียวถึงจังหวัดตากในเย็นวันนั้น เขาจ้ำเท้าไปที่ห้องทำงาน ในกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัด

เปิดประตูผลัวะเข้าไป ลูกน้องที่อยู่ในห้อง 2-3 คน ลุกทำความเคารพ

“ไหนวะ เจอพระแล้ว อยู่ที่ไหน…”

นายตำรวจหนุ่มเอ่ยปากถาม เพราะรู้สึกเก้อที่ต้องขับรถไกลไปถึงกรุงเทพฯเพื่อตามหาพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนองค์นี้

“ยังครับนาย ยังไม่เจอ พอดีพวกชาวบ้านเขาไปพบกับคนทรงเจ้า อ้างเป็นฤาษีตาไฟ แห่งป่าหิมพานต์ พากันเชื่อตามกันทั้งบางว่า หลวงพ่อแสนทองไม่ได้ไปไหน ถูกซุกอยู่ในดงกล้วย ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำโน่นครับ…”

“อ้าว…กูนึกว่าเจอแล้วซะอีก แล้วไอ้ฤาษีฤาเษอตอนนี้มันอยู่ที่ไหน….”

“ตอนนี้มันกับกลุ่มชาวบ้าน ไปทำพิธีอยู่ริมแม่น้ำปิงครับ….”

“ไป ไปดูมันหน่อย…”

พันตำรวจเอกชลอ ชวนลุกน้องในห้องไปที่ริมแม่น้ำปิงซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวกองกำกับการมากนัก

จากภาพที่ปรากฏต่อหน้า ชลอเห็นชายรูปร่างผอมสูง นุ่งห่มด้วยชุดขาว อายุราว 50 ปีเศษ ท่าท่างน่าเชื่อถือยืนนิ่งอยู่ริมแม่น้ำปิง  มีกลุ่มชาวบ้าน 40-50 คน นั่งยองๆอยู่ไม่ห่าง

สักพัก ฤาษีตาไฟที่อยู่ในชุดห่มขาว เปลี่ยนอิริยาบถ โดยใช้นิ้วชี้ไปที่ดงกล้วยฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ

“นั่น อยู่นั่น หลวงพ่ออยู่ในดงกล้วยนั่น…..”

เสียงทุ้ม ๆจากปากฤาษีดังขึ้น

ขณะที่ยังไม่มีคำตอบอะไร พันตำรวจเอกชลอถามลูกน้องที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

“ดงกล้วยฝั่งนั้น มันของใครวะ…”

เป็นพวกญาติของผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งครับ

เมื่อได้รับคำตอบ ชลอ ก้าวฉับๆไปหาฤาษีตาไฟทันที

หลังแนะนำตัว พันตำรวจเอกชลอถามยืนยันกับ ฤาษีตาไฟว่า ยืนยันได้ไหมว่าพระอยู่ที่นั่น จะไปรื้อดงกล้วยเขา ถ้าไม่เจอ โดนฟ้องตายแน่….

เมื่อคนทรงในชุดขาวยืนยัน ชลอสั่งให้กำลังหน่วยปฎิบัติการพิเศษ 20 กว่านาย ไปรื้อดงกล้วยฝั่งตรงข้ามแม่น้ำปิงจนเหี้ยนเป็นทาง แต่ทางผู้ใหญ่บ้านรู้ว่ามาตามหาพระ ไม่เอาเรื่อง เพราะต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจ ไม่เกี่ยวข้องกับการหายไปจากหลวงพ่อแสนทอง

หาจนค่ำมืดไม่เจอซะที ชลอจึงเชิญฤาษีตาไฟกลับมาที่ห้องทำงาน

เมื่ออยู่ด้วยกันโดยไม่มีชาวบ้านเข้ามาวุ่นวาย เสียงดังฟังชัดของนายตำรวจหนุ่มมือปราบเอ่ยปากซักทันที

 

 

 

 

RELATED ARTICLES