“ผมไม่ต้องวิ่งเต้นอะไรเลย เอางานไปแลกมาอย่างเดียว”

 

 

มีประสบการณ์สืบสวนคดีสำคัญในพื้นที่ภูธรมาเกือบตลอดชีวิตรับราชการ

พล.ต.ท.ภาณุ บุรณศิริ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังคงรักในอาชีพตำรวจและย้อนนึกรำพึงรำพันวันเก่าในยุคสมัยนักสืบเฟื่องฟูเต็มไปด้วยยอดฝีมือระดับตำนานหาคนเทียบได้กับปัจจุบัน

เจ้าตัวเป็นคนกรุงเทพมหานคร พบจบโรงเรียนเซนต์คาเบรียลเลือกสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ทั้งที่ชอบทหาร บิดาก็เป็นทหาร แต่ด้วยความที่ชอบดูหนังเรื่องสายลับเจมส์บอนด์ น่าจะตรงกับบุคลิกของตัวเขาเองมากที่สุด “อาจเพราะอยู่กับพ่อมานาน รู้สึกจำเจ ตื่นเช้าเข้าไปกรมกอง เย็นกลับบ้าน ไม่มีอะไรตื่นเต้น แค่ฝึกทหารใหม่ ตรวจพล สาบานตน วงจรรับราชการน้อยเกินไป ดูแล้วเวลาส่วนใหญ่มันไม่ได้ทำงาน สมองไม่ได้พัฒนา”

เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 37 บรรจุครั้งแรกเป็นรองสารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองพิษณุโลกช่วงกำลังเกิดสงครามร่มเกล้า  เปิดยุทธการรบต้องการหาหมวดจบใหม่ขึ้นไปทำหน้าที่ หลังจากหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษถูกยิง เขาเล่าว่า ไม่ได้วิ่งเต้น เพราะไม่รู้เรื่อง หวยถึงมาออกที่เรา ยังคงว่าทำไมสรรเสริญเรา เพื่อนแซวว่า มีความสามารถ กลายเป็นว่า ต้องวางตำราสอบสวนไปหยิบหนังเกี่ยวกับกี่ต่อสู้เพื่อป้องกันเปราบปรามเพื่อความสงบของตำรวจตระเวนชายแดนใส่เป้ไปนั่งอาจในฐาน

ไปอยู่ไม่นานย้ายเป็นรองสารวัตรป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองลำปาง แบบไม่รู้ตัว แต่กลับกลายเป็นจุดหักเมื่อไปเจอ ร.ต.อ.สุเทพ เดชรักษา เป็นหัวหน้าชุดเฉพาะกิจเรียกมาเป็นรองหัวหน้าชุด สอนงานสืบสวนนับตั้งแต่นั้นจุดประกายนักสืบให้เขา หลังจากได้ตำราการหาข่าวเมื่อขึ้นฐานรบประเมินสถานการณ์รายงานกองทัพจนเป็นที่น่าพอใจ หลังจากนั้นได้เป็นหัวหน้าเฉพาะกิจแทนนายตำรวจรุ่นพี่ที่ย้ายเป็นสารวัตรสถานีตำรวจภูธรตำบลแม่ท้อ จังหวัดตาก

ทำงานสืบสวนมาเรื่อยจน “ไกรสุข สินสุข รองผู้บัญชาการตำรวจภูธร 3 โยกเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธร 1 ชวนกลับมาเป็นรองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนนทบุรี ทำสำนวนคดีมากมายทำให้เกิดความชำนาญ และไม่กลัวงานสอบสวน เข้าตา “เฉลิมชาติ สิตานนท์” ให้เป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เนื่องจากระหว่างเป็นร้อยเวรสอบสวนยังออกไปสืบสวนเอง อาทิ คดีปล้นทรัพย์ย่านถนนติวานนท์ เป็นคดีอุกฉกรรจ์ ทำสำนวนเสร็จแล้วลงไปสืบสวนตามจับได้ยกแก๊งที่เมืองกาญจนบุรี

“ไม่ได้ยากเย็นอะไร เราได้ตำหนิ รูปพรรณ ภาพสเกตช์ เอาไปตระเวนตามโรงแรมม่านรูด หรือโรงแรมในเขตเมืองนนทบุรี สมัยก่อนมีไม่เยอะ ไปเจอโรงแรมหนึ่งให้ข้อมูลคล้ายคนร้ายมากเลย ผมมั่นใจแล้วว่ามาถูกทางแล้ว ไปเช็กใครเปิดห้องพัก ปรากฏว่า ไม่ได้มาโรงแรมเดียว มาหลายโรงแรม แสดงว่าคนร้ายมาดูต้นทางไว้เสร็จแล้วแต่ก่อนทะเบียนราษฎร์ไม่มี ต้องมานั่งพิมพ์ ขอที่อำเภอถ่ายเอกสารให้ทีละใบๆ แล้วถึงจะออกหมายจับ ผมไปทำเอง คดีนี้ศาลประหาร อัยการเบิกตัวผมขึ้นให้การ เป็นผู้สืบสวนด้วย ผู้สอบสวนด้วยในคนๆ เดียวกัน ผู้พิพากษาเป็นผู้หญิงฟังเหมือนผมเล่านิทานให้เรื่องหนึ่ง อธิบายว่า ทำอะไรมาบ้างๆ ศาลถึงตัดสินโดยไม่กังขา” พล.ต.ท.ภาณุละเมียดความหลัง

ย้ายไปลพบุรีสักพักกลับมาเป็นสารวัตรใหญ่โรงพักบางแม่นาง จังหวัดนนทบุรี “เฉลิมชาติ สิตานนท์” ขยับขึ้นรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เขาถูกคัดเข้าไปเป็นรองผู้กำกับการ 4 กองปราบปราม มี พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสนับสนุนในการคัดคนเข้าไปทำงาน เป็นช่วงจังหวะคนขับรถพัวพันเรื่องสินบนโยกย้ายตำแหน่ง

พล.ต.ท.ภาณุอยู่ในคณะกรรมการสอบสวนแสดงความคิดเห็นขัดแย้งรองผู้บังคับการปราบปรามคนหนึ่งที่พยายามจะให้ออกหมายจับคนขับรถเสธหนั่น เขาขอเวลาสืบสวนให้ได้มากกว่านี้ เพราะมีบางตอนขาดช่วง ทำให้ถูกไล่ตะเพิดออกจากห้องประชุมเป็นข่าวดัง เพราะสื่ออยู่หน้าห้องเต็มไปหมด สุดท้ายคนขับรถของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ก็ไม่เกี่ยวข้องในสำนวนเพราะมีพยานยืนยันที่อยู่วันเกิดเหตุ

ใช้เวลาแค่ 4 ปีตำแหน่งรองผู้กำกับแล้วขึ้นเป็นผู้กำกับการอำนวยการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ เป็นช่วงประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดพอดี พล.ต.ท.ภาณุบอกว่า ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองผู้อำนวยการเฉพาะกิจปราบปรามเครือข่ายยาเสพติด ไล่จับเป็นจับตาย ส่งไปเกิดใหม่บ้าง อะไรบ้าง ชนิดผู้บังคับการจังหวัดยังไม่รู้เรื่อง  กระทั่งผู้ว่าต้องบอกผู้การว่า ท่านไม่ดูประวัติลูกน้องเลยหรือ ที่ตัดสินใจเอามาทำงานเพราะเคยเป็นรองผู้กำกับกองปราบมาก่อน แม้จะเป็นผู้กำกับการอำนวยการ เห็นจากประวัติหน่วยก้านแล้วถึงเลือกเอามาใช้งาน

หลังจากนั้นเขาถึงได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าชุดปราบปรามยาเสพติดของตำรวจภูธรจังหวัดควบเก้าอี้ผู้กำกับการอำนวยการนาน 2 ปี ได้ พล.ต.ท.อำนวย ดิษฐกวี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 หยิบมาเป็นผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 3 “ ผมไม่เคยรู้จักกับท่านอำนวยเลย ท่านบอกว่าเห็นชื่อผมที่มหาดไทย พูดกันว่า ไอ้ห่า ตำรวจแม่งโง่ มีคนไม่ใช้ ท่านอำนวยเล่าว่า ผมท่องชื่อคุณตั้งแต่กรุงเทพฯ ถึงโคราช เลยนะ  ผมจดชื่อคุณเลย ผมให้นายเวรจดชื่อคุณ ท่องชื่อคุณมาตลอด”

รับบทนักสืบอีสานใต้พาลโดนมรสุมมะรุมมะตุ้มจากพิษของผู้ใหญ่ไม่ถูกกัน ถูกย้ายเป็นผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา เสร็จแล้วได้ขึ้นเป็นรองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 3 เลื่อนเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพะเยา โดนสาดโคลนข้อหาฝักใฝ่เสื้อแดง เด้งเป็นผู้บังคับการอำนวยการตำรวจภูธรภาค 6 เกิดคดีตำรวจถูกฆ่าในอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก คนร้ายชิงปืนไปหนีไปหลบไปในป่ามัน ยิงกันตอนห้าโมงเย็น พอเวลาห้าทุ่ม พล.ต.ท.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 โทรศัพท์หา ตามด้วย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น

เจ้าตัวได้รับคำสั่งให้ไปตามล่าตัว ทั้งที่ตำแหน่งเป็นผู้บังคับการอำนวยการปิดป่าล่ากันข้ามคืนยันเช้ามีวิทยุบอกว่า คนร้ายเดินอยู่หลังโรงเรียนวังทอง “ผมไปกับนายเวรและคนขับรถ รถเข้าไม่ได้ ต้องลงเดินกลางทุ่งคนร้ายถูกล้อม หันปืนส่ายไปส่ายมา พอหันปืนจะมายิงรองผู้การพิษณุโลก ผมเลยยิงเข้าสะโพกจนมันล้มแล้วชาร์จจับ นึกขำตัวเองเป็นผู้การอำนวยการยิงคนร้ายเจ็บตอนเช้าต้องกลับมาที่ภาคเตรียมงานวันตำรวจ เชิญพระกี่รูป แขกกี่คน ผ้าปูโต๊ะเป็นยังไง  ใครรับแขก ที่จอดรถหน้าที่ผมหมด”

ผลพวงจากการตามปิดคดีโจรฆ่าตำรวจทำให้ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจเสนอชื่อเขาเป็นผู้บังคับการสืบสวนสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 6 หลังจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ไปรายงาน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีให้ทราบถึงนายพลยิงโจรฆ่าตำรวจเป็นผู้การอำนวยการไม่ใช่ระดับผู้กำกับการ นายกฯเลยขอดูประวัติถึงรู้เป็นนักสืบเก่า นับเป็นวิกฤติเปลี่ยนเป็นโอกาสเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา  “ผมโชคดีอยู่อย่างตรงที่ว่า ในโลกของความที่ต้องวิ่งเต้นสูง กลับกลายเป็นว่า ผมไม่ต้องวิ่งเต้นอะไรเลย เอางานไปแลกมาอย่างเดียว” พล.ต.ท.ภาณุว่า

เป็นนายพลหัวหน้านักสืบภูธรอยู่ 3 ปี คืนถิ่นเก่าเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 รับผิดชอบงานจเรตำรวจเจอเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับจราจรเยอะมาก ก่อนเจอโศกนาฏกรรมเทอร์มินอล 21 กลางเมืองโคราช ถูกให้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนทำสำนวนคดีทั้งหมด และเป็นวิทยากรบรรยายถอดบทเรียนที่เกิดขึ้นบานปลายเพราะขาดผู้บัญชาการเหตุการณ์ที่มีประสบการณ์สั่งการได้จริงจนเกิดความสับสนอลหม่าน เนื่องจากประเทศไทยไม่เคยเจอมาก่อน “ผมมองไปในเรื่องการจัดระบบต้องไม่มีคำว่า อีโก้ ฟังผู้นำที่จัดหน่วยอรินทราช ฟังคำสั่งใครคนเดียวพอ อย่าเสือกไปสั่งซ้อน ตำรวจไทยมักเป็นอย่างนี้ อีโก้สูงมาก ไม่รู้เก่งมาจากไหน  คุณจะสั่งคนกวาดบ้าน คุณต้องกวาดบ้านเป็นก่อน คุณจะสั่งคนทำงานสอบสวน คุณต้องสอบสวนเป็นก่อน”

เขายอมรับว่า เด็กรุ่นใหม่หาต้นแบบเป็นครูสอนไม่ได้ เพราะขาดประสบการณ์ ยุคก่อนสืบสวนทะลุไอ้โม่งพิสูจน์ทราบว่าเป็นใคร ทะเบียนราษฎร์ไม่มี ต้องหยิบดูจากแฟ้มทะเบียนประวัติอาชญากรรมที่เป็นอัลบั้ม เปิดดูว่ารูปไหน คือ คนร้าย แต่ปัจจุบันไม่มี แล้วมีแต่คนสั่ง คนปฏิบัติทำตามไม่ทัน เพราะคนสั่งไม่เคยทำ

“สำหรับผมตามจับส่วนใหญ่ไม่ได้จากโทรศัพท์เลย” นายพลนักสืบภูธรเก่ายกคดีสังหารดร.ทนง เหล่าวานิช คนสนิทของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ แกะรอยจากคนมาพักตามโรงแรม พบมีผู้กำกับการโรงพักหนึ่ง เอามายิง ลงบัญชีเข้าพักไว้  ทำภาพสเกตช์ไปให้ลูกดู และซักถามพยานพนักงานโรงแรม บอกว่า เสียงเหน่อ เหมือนคนราชบุรี เมืองกาญจนบุรี ทำให้แฟ้มเริ่มแคบลงแล้ว

เขาประสานไปทั้งสองประวัติสืบทราบประวัติมือปืน ไปได้เมียชอบขี้คุยว่า ผัวไปทำงานปากช่อง เอาเงินมาให้ 3-4 หมื่น เสร็จเรียบร้อย ออกหมายจับตามไปล็อกตัวรับสารภาพอ้างรับงานมาจากนายตำรวจ เพียงแค่ความแค้นส่วนตัวเกี่ยวกับคำพูดไม่เข้าหูในที่ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและบริหารงานตำรวจโรงพัก

“ความจริงผมเป็นคนที่ไม่ชอบออกสื่อ เพราะนักสืบควรจะอยู่เบื้องหลัง ผมเป็นครูสอนหนังสือ จะบอกเสมอว่า นักสืบต้องไปที่เกิดเหตุ  อย่าด่วนสรุป อย่าเพิ่งให้สัมภาษณ์ใด ๆ  และต้องจับผู้ร้ายที่ลัก วิ่ง ชิง ปล้น ทำร้ายประชาชน ข่มขืนผู้หญิง นี่คือ นักสืบที่จับกุมคดีอาชญากรรม ไม่ใช่นักสืบที่ไปตั้งด่านทำยอด” นายพลตระกูลดังยังเป็นห่วงระบบการแต่งตั้งเอาคนสอพลอขึ้นเป็นใหญ่จะได้คนที่สอพลอต่อ ๆ ไปเอาใจคนสอพลอคนแรก แล้วพวกคนทำงานจะถูกทอดทิ้ง

“อีกเรื่องที่บ่นกันมากว่า คนจะมาแจ้งความต้องมีโทรมารู้จักคนโรงพักนี้ไหม ช่วยฝากหน่อย ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ทำให้เหมือนประชาชนไปธนาคาร สวัสดีครับ มาติดต่อเรื่องอะไรครับ เดี๋ยวพี่นั่งก่อนครับ แป๊บหนึ่งนะครับพี่ มันต้องเป็นแบบนี้แล้ว ไม่ใช่ รถหายหรือ เมื่อวานนี้หายไป 3 คัน ยังจับไม่ได้เลย ไปแจ้งความแล้วได้ยินอย่างนี้ อยากจะตาย อยากสลบจะเป็นลม ผมจะพูดอยู่เสมอว่า คุณต้องทำให้คนที่เป็นทุกข์ที่มา ถึงแม้จะยังดับทุกข์ไม่ได้ แต่ต้องมีหัวใจที่ดีขึ้น มีรอยยิ้มที่โรงพัก ไม่ใช่ผัวเมียทะเลาะกันขึ้นโรงพัก ลงมาระบายว่า เห็นไหมบอกแล้ว ไม่น่ามาแจ้งเลย ถูกตำรวจด่าอีก”

พล.ต.ท.ภาณุได้เจอมากับตัวเอง ได้ยินผัวเมียคู่หนึ่งปรึกษากันจะแจ้งความดีไหมว่า ถูกหลอกเอาเงินไป ฝ่ายผัวบอกว่า มาแล้วก็แจ้ง สักพักพากันเดินลงมานั่งที่เดิมพึมพำว่า เห็นไหม บอกแล้วว่า อย่ามาแจ้งความ ร้อยเวรบอกโง่ที่ถูกหลอก “นายตำรวจรุ่นพี่ที่อยู่กับผมด้วยกันวันนั้นฟังแล้วถึงกับสบถคำ ไอ้เหี้ย ร้อยเวรระยำจริงๆ ไอ้ห่า เขาถูกโกงก็รับคดี ไปออกหมายจับ จับคนโกงมาก็แค่นั้นเอง มึงบ้าหรือเปล่า” เจ้าตัวส่ายหัว

         คร่ำหวอดในเส้นทางสืบสวนถึงปลายชีวิตรับราชการได้เลื่อนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติปีสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการ พล.ต.ท.ภาณุอยากฝากข้อคิดเปลี่ยนทัศนคติตำรวจปรับวงจรขององค์กรใหม่เลือกระบบส่วย ผู้ใหญ่ต้องเอาเงินมาส่งผู้น้อย อย่าให้ผู้น้อยไปรีดนาทาเร้นกับประชาชน ไม่ต้องไปส่งผู้ใหญ่ วิธีแก้ คือ การแต่งตั้งโยกย้าย ต้องเลิกวิ่งเต้น ระบบตั๋วต้องหมดไปจะตั๋วช้าง ตั๋วยักษ์ ตั๋วอะไรต้องไม่มี  ผู้บังคับบัญชาต้องมีหน้าที่ให้ ห้ามส่วยไม่ให้มี และข้างล่าง ห้ามรีดไถประชาชน ถ้าคุณรีดไถประชาชนแล้วมีร้องเรียน คุณโดน เพราะคุณได้รับจากข้างบนไปแล้ว และต้องพึ่งรัฐบาล หมายถึงว่า ตำรวจทำงานโอเว่อร์โหลดเกิน

อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติยกตัวอย่างพนักงานสอบสวน เงินอุดหนุนต้องให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วเมื่อได้ตรงนี้จะปฏิเสธการแจ้งความไม่ได้แล้ว ชาวบ้านมานั่งหน้าโต๊ะ คือ ลูกค้าต้องบริการให้ดี ทุกคดีที่จะต้องไปดูที่เกิดเหตุ เช่น คดีลักทรัพย์ งัดบ้าน ชิงทรัพย์ ข่มขืน ไม่ใช่จะนั่งอยู่ในห้องแอร์ อย่างเดียว ต้องออกแดด ถ้าไม่ดู จะมโนไม่ถูกว่า คนร้ายเข้าทางไหน ออกทางไหน

“ผมยังรักองค์กรตำรวจ เพราะมีบุญคุณกับผม แต่ผมต้องการจบเรื่องการแต่งตั้งที่มีตั๋ว ต้องเสียตังค์ ไม่อยากให้ตำรวจเสียตังค์ เพราะถ้าตำรวจเสียตังค์ ประชาชนจะเดือดร้อน ระบบส่วย ต้องหมดให้ได้ ถ้าไม่หมดชาวบ้านเดือดร้อนอีก” เขาย้ำทิ้งท้าย

ภาณุ บุรณศิริ !!!

 

 

 

RELATED ARTICLES