“ถ้าหากมัวแต่จะจมปรักที่จะหยุดหัวรบ 10 ปีก็ไม่มีทาง”

พื้นเพเป็นคนนราธิวาสตั้งแต่กำเนิด ทำให้ ไพศาล ตอยิบ ผู้จัดการโรงเรียนอัตตัรกียะห์อิสลามียะห์ สถาบันสอนศาสนาอิสลามใหญ่ที่สุดกลางเมืองนราธิวาส รู้เห็นความเปลี่ยนแปลงและการแก้ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่น้อยกว่าใคร

เขามีวุฒิปริญญาตรี เอกรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มีประกาศนียบัตร ทางการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ ดูแลกิจการโรงเรียนของตระกูลตั้งแต่ตาเป็นผู้บุกเบิก เจ้าตัวเล่าว่า ไม่ได้คิดอยากเป็นข้าราชการ ยกเว้นเป็นข้าราชการการเมือง เพราะชีวิเกิดมาถูกสอนให้เป็นผู้นำ ไม่ได้ถูกสอนให้เป็นผู้ตาม ถ้าเป็นข้าราชการทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ก็คือผู้ตาม ไม่มีอะไรได้คิดเอง ต้องนายสั่งอย่างเดียว แต่ความคิดของเราไม่ได้คิดแค่ตามกรอบของกฎหมาย นี่คือความลำบากของทางราชการ ต้องรายงาน นายมา ถ้านายมา เที่ยว กิน เราก็ต้องรับรอง แต่เราไม่ใช่

“ผมต้องการแบบว่า ไปไหนก็ได้แล้วไม่ต้องมีใครมาเดือดร้อนอะไรกับผม เพราะเราดูแลตัวเองได้ ขณะเดียวกัน เราก็ต้องดูแลคนอื่น ผมเป็นคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจระดับจังหวัด แต่ลูกน้องตำรวจ ผมก็ดูแลตลอด” ไพศาลว่า

ก่อนหน้านั้น ตอนเรียนจบมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ เขาไปทำงานธนาคารทหารไทย สำนักงานใหญ่ ได้ 4 เดือนย้ายมาอยู่สาขา แล้วลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว พักสมอง 2 ปี ก็กลับมาบ้านเกิดช่วยงานบิดาดูแลกิจการโรงเรียน เพราะตอนนั้นไม่มีใคร “จากนักรัฐศาสตร์การศึกษา คือ มีหน้าที่ปกครองคนที่มีความรู้ ผมไม่ได้มีหน้าที่ปกครองคนที่ปราศจากความรู้ คุณค่ามันต่างกันเยอะ เพราะที่เราอยู่สถานการณ์มันไม่ได้รุนแรง พอปี 2547 ก็รุนแรง โรงเรียนข้างๆ โรงเรียนเมืองก็โดนเผา มีคนตั้งคำถามเยอะแยะเลยว่า ทำไมของท่านไม่โดน แล้วทำไมเราจะต้องโดนด้วยหรือ”

        ผู้จัดการโรงเรียนอัตตัรกียะห์อิสลามียะห์มีมุมองว่า การแยกแยะโรงเรียนความแตกต่างระหว่างระบบการศึกษาโรงเรียนไทยพุทธ กับโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามใช้ตัววัดไม่เหมือนกัน เราเป็นประธานยกร่าง พระราชบัญญัติการศึกษาเอกชนใหม่ มีหน้าที่ดูแลมาตรฐานการศึกษา สมมติว่าโรงเรียนในกรุงเทพฯ ได้ความรู้จากห้องเรียนกี่เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือไปได้จากติวเตอร์ ถ้าลงนโยบาย ลงงบประมาณ แต่เด็กก็ยังไปเรียนติวเตอร์อยู่ดี ถ้าแบบนั้นก็ปิดโรงเรียน ไปเปิดติวเตอร์ดีกว่าไหม

ไพศาลอธิบายว่า คนไทยเป็นสองความคิดที่ไม่สามารถไปด้วยกันได้เลย เหมือนรางรถไฟที่ขนานกันไป คือ ความคิดเห็นไม่ตรงกัน เหมือนการวัด เขาวัดค่าโอเน็ต แล้ววันนี้ตากใบ เมื่อวานเจาะไอร้อง เด็กจะไปโรงเรียนยังต้องผวา แม้กระทั่งปิดเทอมก็ยังผวา กรุงเทพฯ มีอะไรต้องผวาไหม แล้วมันจะเอาค่าโอเน็ต มาวัดเด็กที่นี่ได้ยังไง น้ำขึ้นที่ยะลาจะมาบอกว่าที่แม่น้ำบางนรา ลดได้ยังไง ใช่หรือไม่ นี่คือสิ่งที่พวกเราพยายามแก้ไข

“ ผมไม่ได้บอกว่า ความสันติสุขจะเกิดขึ้น แต่อย่างน้อยความเท่าเทียมกันมันมีมากขึ้น ผมไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย มีคนถามว่า มันจะจบไหม สถานการณ์มันก็เหมือนขีปนาวุธที่ถูกยิงออกไป ให้ติดหัวรบ จุดหัวรบ แต่จะมีใครที่บอกว่าพอแล้ว และระหว่างที่จุดหัวรบออกไป มันก็เกิดไซส์เอฟเฟ็กซ์ ก็กระทบกระเทือนไปหมด เช่น พ่อแม่โดนยิง ลูกก็ไม่รู้ทำไง นี่คือไซส์เอฟเฟ็กซ์ ที่เกิดขึ้นจะแก้ยังไง ไม่มีใครหยุดได้ แต่เราต้องมีโปรแกรมเมอร์อีกชุดหนึ่ง คือ คนรุ่นใหม่ที่จะหันหัวรบให้ไปที่อื่น อย่าให้มาลงตรงนี้”

“ ผมหมายถึงว่า ถ้าหากมัวแต่จะจมปรักที่จะหยุดหัวรบ 10 ปีก็ไม่มีทาง เราต้องไปสร้างแนวบังเกอร์ใหม่ ให้กับคนรุ่นใหม่ ลบล้างสิ่งที่คนรุ่นเก่าคิด และเป็นสิ่งที่ผิดๆ ถ้าบอกว่าเริ่มจากศาสนา เราก็เรียนด้านศาสนา ทำไมไม่รู้เรื่อง แล้วเป็นตัวแทนศาสนาทำอย่างนี้ได้หรือ มดเขายังไม่ให้ฆ่า แล้วมึงฆ่าชีวิตได้ยังไง คือแล้วแต่เขาคิด หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง ทำไม ไม่คิดว่าสี่ลบสอง ก็เท่ากับสองใช่ไหม ทำไมไม่คิดบวก ผมถามพวกนี้ว่า หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง แล้วทำไมสองขาดไปหนึ่ง เหลือศูนย์ล่ะ เขาก็รำคาญเราแล้ว เมื่อมีฉันและเธอ รวมกันเป็นคู่ พอขาดไปหนึ่ง ชีวิตที่นี่ไม่เหลือแล้ว เห็นไหม นี่คือหลักการ เล็กๆ ที่เราพอจะปลูกฝังอะไรใหม่ๆ ได้” ไพศาลชี้หลักคิดและยืนยันว่า “ ผมไม่ได้พยายามแก้สิ่งที่มันเกิดขึ้น แต่ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นมาใหม่”

ตามทัศนะของเขายังมองว่า แม้จะมีกฎหมาย แต่ก็ทำให้คนมีโอกาสทำผิดอยู่ จุดเริ่มน่าจะเป็นการมองเจเนอร์เรชั่นหน้า น่าจะเป็นที่การเริ่มต้นตรงนี้เป็นส่วนสำคัญ ไม่มีใครที่จะเป็นผู้การตำรวจได้โดยไม่ต้องเรียนอนุบาล ไม่มีใครเป็นนายกรัฐมนตรีได้โดยที่ไม่ต้องเรียนประถม 1 ที่มีพวกเราอยู่ในปัจจุบัน เพราะเราได้เรียนกันมา หลักสูตรที่เราต้องการเรียน หลักสูตรที่เราต้องเรียนกัน เหมือนกัน แต่ไปมองอะไรกัน ไปมองสิวที่เกิดขึ้นนิดหน่อย จะบีบจะบีบอยู่นั่นแหละ รัฐอาจมองว่า โรงเรียนปอเนาะเป็นที่สร้างปัญหา ทำให้เกิดปัญหาไม่จบ ก็คิดถูกของเขาบางส่วน แต่โจรคิดของเขาว่า มีหน้าที่สร้างปัญหาความวุ่นวายลงในสังคม ไม่งั้นก็ทำหน้าที่ผิดจากโจร ไม่ได้เงินเคลื่อนไหว วิธีการมองของเรากับเขาก็ผิดกันแล้ว

ไพศาลบอกว่า ทุกอย่างมันต้องมีวาระอะไรบางอย่างที่มันซ่อนเร้น คนไทยส่วนใหญ่ ถ้าไม่มีอะไร ก็จะรบกันเอง กรุงศรีอยุธยาล่มเพราะอะไร เพราะรบกันเอง ฉันใดก็ฉันนั้น มันจะเกิดสันติสุขได้ยังไง เมื่อมันเกิดตั้งแต่สมัยโน้น มีสงครามมาตลอด ต้องเข้าใจมันให้มากขึ้น มีความคิดที่ว่า เขาก็เพื่อนเรา ญาติเรา จะสร้างยังไงให้คิดว่ าเราคือญาติกัน ไม่จำเป็นต้องแก้ไขสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งโดยเอาตัวเองไปแลกกับสถานการณ์ ถ้าเราเข้าใจอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เราเข้าใจตรงกัน นี่แหละคือ การแก้ไขสถานการณ์ ไม่จำเป็นต้องให้ทุกอย่าง คือ ปัญหา เพราะถ้าเราคิดว่า ทุกอย่าง คือ ปัญหา เราก็ต้องแก้ปัญหาอยู่ดี

“ผมนั่งเป็นกรรมาธิการด้านความมั่นคงทางภาคใต้ เป็นกรรมาธิการการศึกษา ผมไม่เคยมองว่าใครเป็นคนสร้างปัญหา เพราะเชื่อว่า ไม่มีใครอยากสร้างปัญหา แต่ปัจจุบันเรามองไม่เหมือนกัน มองว่า ทำไมโจรต้องวางระเบิด แต่ไม่ได้มองว่า ทำไมเราเปิดโอกาสให้เขาวาง ทำไมคนเราต้องตายทุกวัน เพราะยังไงๆ คนเราก็ต้องตาย ไม่ต้องไปสนใจหรอกว่า ตะวันจะตกดิน เพราะตั้งกี่พันปีมาแล้ว ทุกวัน มันก็ต้องตกดินอยู่แล้ว มีน้ำขึ้นน้ำลง เพราะยังไงๆ มันก็มีน้ำขึ้นน้ำลงทุกวัน แต่เวลาที่น้ำลงแล้วเราจะเห็นอะไร เมื่อน้ำจะขึ้น เราจะไม่เห็นอะไร ก่อนที่อาทิตย์จะตก เราจะต้องเตรียมทำอะไร เมื่อพระอาทิตย์ตกแล้ว ในความมืดนี่ต่างหาก ที่เราต้องทำ ไม่ใช่ไปแก้ปัญหารั้งไม่ให้พระอาทิตย์ตกดิน ใครทำได้ เพราะฉะนั้นปัญหาการศึกษา คือ การแก้ปัญหาของประเทศ”

ผู้บริหารกิจการโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามยังเล่าด้วยว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เคยเสด็จมาโรงเรียน ก่อนพระองค์จะเสด็จกลับ ตรัสว่า เรามีเรื่องจะขอให้อาจารย์ช่วยอยู่ 3 เรื่อง ตนบอกว่า ทรงรับสั่งมาเถิดพระพุทธเจ้าข้า ข้าพพุทธเจ้าพร้อมจะปฏิบัติตามกระแสพระราชดำรัสนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พระองค์ว่า ข้อแรก ขอให้ช่วยดูแลคนนราธิวาสแทนเราด้วยนะ ข้อที่ 2 ให้อาจารย์ช่วยดูแลประเทศไทยแทนเราด้วยนะ ตนนั่งฟังอย่างตั้งใจ ส่วนข้อสุดท้าย อาจารย์จะปฏิบัติหรือไม่ก็ได้ อาจารย์ช่วยดูแลเรา และพระบรมวงศานุวงศ์ด้วย แค่นั้นแหละครับ น้ำตาไหลเลย มือไม้สั่น

“ผมบอกไปว่า ข้าพระพุทธเจ้าในฐานะตัวแทนอาจารย์และผู้ปกครอง ขอให้คำมั่นว่าพร้อมจะปฏิบัติตามกระแสพระรับสั่ง และข้าพระพุทธเจ้าจะสั่งสอนลูกศิษย์ให้เป็นคนดี เป็นพสกนิกรที่ดีของประเทศในอนาคต พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ ก่อนหน้าจะถึงเหตุการณ์นี้ ตอนที่เสด็จมา ปกติผมไม่เคยขอท่านก่อน ถ้าผมไม่ขอ ผมเดือดร้อนแน่ ผมกราบบังคมทูลใต้ฝ่าละอองพระบาท พระองค์ก็หันมามอง ตรัสว่า ปกติอาจารย์ไม่เคยเรียกเราก่อน ท่านก็รับสั่งว่า อาจารย์จะเอาอะไรหรือ ผมบอกว่าพระราชอาสน์ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงประทับเมื่อสักครู่ ในเมื่อใต้ฝ่าพระบาทรับสั่งให้ผมดูแลชาวบ้านให้ได้ใกล้ชิดพระองค์มากขึ้น ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชานุญาตให้ใช้ร่วมกับสามัญชนธรรมดา ได้หรือไม่พระพุทธเจ้าข้า ควรมิควรก็แล้วจะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระองค์ก็หันพระพักตร์มา ในเมื่ออาจารย์กล้าขอ เราก็กล้าให้ แต่มีข้อแม้ ต้องบอกคนที่ไปนั่งว่า ให้รักในหลวง นั่นคือคำสัญญา คือ ความภูมิใจในชีวิต ผมเป็น1 ในคนไทยที่พระองค์เคยปฏิสันธานด้วย”

ท่ามกลางสถานการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น สิ่งที่ไพศาล ตอยิบ พยายามช่วยบรรเทาไม่ให้ลุกลามบานปลาย คือ ต้องสอนลูกศิษย์ทุกคนอย่าหลงเดินทางผิด เขาเล่าว่า เคยไปพูดคุยกับผู้ก่อความไม่สงบในค่ายอิงคยุทธ เปลี่ยนความคิดพวกนั้นว่า ทำอย่างนี้ทำไม ต้องตายเพื่อศาสนา เราต้องญิฮาด ไม่ต้องเพื่อศาสนาไม่ได้หรือ แล้วถ้าตายไป ลูก เมียก็เดือดร้อนใช่ไหม  ลูกศิษย์หลายคนพ่อเป็นโจร ก็ไม่ได้หมายความว่า ลูกต้องเป็นโจร เหมือนกับพ่อเป็นหมอ ทำไมลูกไม่ได้เป็นหมอ เพราะคนละคนกัน “ ผมถึงมองว่า คนที่มีความคิดไม่ตรงกันก็ให้มันตายๆ ไปเถอะ ไมโครชิฟ มันถูกสร้างขึ้นมาให้ใส่บนหัว แต่มันไม่ได้ถูกสร้างมาอยู่ในหัว มันสามารถเลี่ยงไปยังหุ่นยนต์ตัวไหนก็ได้ที่เราอยากใส่ แต่คนไม่ใช่หุ่นยนต์ วันหนึ่งถ้าไม่มีการสร้างเงื่อนไขเพิ่มเติม ก็ต้องดูว่าใครเป็นคนสร้าง ไม่ใช่ พูโล แต่พูเรานี่แหละสร้างเอง”

“มันก็หลายส่วนนะ อย่างหนึ่ง คือ เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ อย่างที่สอง คือ โอกาสในสังคม ส่วนหนึ่งก็พวกเรา การเรียกร้องขอให้ผู้ว่าฯ นายอำเภอเป็นมุสลิม ในเมื่อสอบเข้าปลัดยังไม่ได้จะเป็นผู้ว่าฯ ได้ไง ต้องไปตามขั้นตอน อยากเป็นตำรวจก็ไปสอบเข้านายร้อยตำรวจ ถ้าแน่จริง มีแต่ขอคนอื่นเขา เมื่อไหร่จะเลิกขอสักที ต้องยืนอยู่บนลำแข้งตัวเอง อย่าไปพึ่งโชค พึ่งดวง พึ่งอะไร ทำในสิ่งที่มีตรงหน้า คนช่วยก็มีข้อจำกัดในการช่วย อย่าไปถามคนรับ เพราะต้องการรับอย่างไม่มีที่จำกัด ถามว่า ถ้าจะให้มันสงบสุข จะทำยังไง คุณค่าของคนที่ดูแลประชาชน จริงๆ แล้วต้องทำอะไร ผมไม่สามารถตอบได้ เขาต้องคิดได้เอง ตอบได้เองว่าเขาต้องทำอะไร” ไพศาลน้ำเสียงจริงจัง

เจ้าตัวทิ้งท้ายว่า เราไม่ต้องแก้สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าเกิดแล้วจะทำอย่างไร เป็นเรื่องของยารักษา แต่ใช้ยาแล้วอาจจะเกิดแผลเต็มไปหมด เช่น อย่างกรณีกรือเซะ ตากใบ แก้แล้วมีแผลเต็มไปหมด คนที่ไปแก้ ทำให้มีแผลก็ถูกลงโทษอีก แต่คำถามของอีกฝ่ายหนึ่งก็ว่า ถ้าแก้ไม่เป็น เขาแก้เอง ความรุนแรงก็เกิดขึ้นอีก กลายเป็นวงจรอุบาทว์แบบนี้ ไม่จบเสียที

 

 

RELATED ARTICLES