นาฏกรรมชีวิต คมความคิดบนปลายปากกา ผ่าเรื่องราวสารพัดมากมายในบทนักข่าวอาชญากรรม
ไม่รู้ว่า สนุกน่าติดตาม หรือจะถูกตั้งคำถาม ฉงนสงสัย บันทึกแต่ละก้าวยืดยาวไปเพื่ออะไร
ความจริง ผมต้องการพ่นอัตชีวประวัติส่วนตัว เพราะกลัวถึงเวลางานศพแล้วจะพบกับความผิดหวังแก่แขกที่มาร่วมวางดอกไม้จันทน์ ไม่มีอะไรมัน มัน ติดมือเก็บไว้เป็นที่ระลึก
เขียนจากประสบการณ์ตัวเอง ดีกว่าให้เหล่านักเลงบรรเลงผิดคีย์ ขยี้เนื้อหาที่ไม่ได้มีมากกว่าบทสวดมนต์ ตำราอาหาร หรือปทานุกรม
เอาเป็นว่า เหมือนกระดกเหล้าขมผสมน้ำหวาน คิดเสียว่า เป็นตำนานคนข่าวชีวิตหนึ่งที่อาจไม่ได้น่าทึ่ง มีชื่อเสียงอะไร
ย่างก้าวสู่เดือนมีนาคม 2539 ลูกสาวคนแรกลืมตาดูโลก นางฟ้าตัวน้อย อีกชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ ค่าใช้จ่ายแต่ละวันเริ่มต้องขบคิด ค่านม ค่าเพรมเพิส ผ้าอ้อมอนามัยเด็กสมัยใหม่ พาเอาเครียดได้เหมือนกัน ลำพังเงินเดือนชักหน้าถึงหลัง แต่ต้องระวังจะหายใจไม่ทั่วท้อง
ผมเคยฝันอยากมีธุรกิจของตัวเองเป็นรายได้เสริม อยากเปิดร้านเหล้า ในฐานะชอบเมาตามผับ เอาเงินไปถลุงให้ผู้ประกอบการคนอื่น ตื่นขึ้นมาหายแฮงก์ รู้สึกว่า ทำไมเราไม่คิดหาสุราแสงโสม มาประโคมเปิดร้านขายเองบ้าง
แล้วค่ำคืนของวันหนึ่ง บัญญัติ เทียนสวัสดิ์ เพื่อนนักเรียนร่วมห้องชักชวนผมไปเดินดูบรรยากาศบริเวณถนนรอยัลซิตี้อเวนิว พระราม 9 เปิดใหม่เป็นโซนผับบาร์ เกลื่อนกันเต็ม 2 ฝั่ง มี จุฑาพจน์ ยุทธบรรดล เพื่อนนักเรียนต่างห้องร่วมหุ้นชิมลางไปก่อนแล้ว
วัยรุ่นหนุ่มสาวฮาเฮเดินกันขวักไขว่ ดนตรีดังอึกทึกแทบทุกร้าน เนรมิตภาพในฝันของผม ร้านเหล้าสไตล์ไม้เก่าตามแบบฉบับโรงเตี้ยมโบราณ ยุคนั้น ผมนึกถึง “โอลด์เล้ง” ก่อนหน้าเปิดอยู่ริมถนนรัชดาภิเษก ผมเป็นลูกค้าขาประจำ แต่ก็เกือบโดนรุมยำ เพราะเพื่อนเมาแล้วรั่วจีบสาวข้างโต๊ะ
กระทั่งโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินตัดผ่านถนนรัชดาภิเษก เจ้าของร้านโอลด์เล้ง ตัดสินใจย้ายถิ่นฐานมาเปิดประเดิมโรงเหล้าใหญ่โตกว่าร้านเก่าที่รอยัลซิตี้อเวนิว บรรยากาศชิล ชิล จนวัยรุ่นนักเที่ยวสมัยนั้นเรียกกันติดปากว่า “อาร์ซีเอ”
บัญญัติ พาผมเดินทอดน่องหาข้อมูล มองทำเลห้องว่างที่ส่วนใหญ่ถูกจับจองราวกับเป็นทำเลทองของนักลงทุนรุ่นใหม่แน่นเอียดเต็มไปหมด
“แม่งคงแพงน่าดู” ผมกังวล “แล้วจะอยู่ได้หรือ บูมแป๊บเดียว เดี๋ยวดับขึ้นมาก็ฉิบหาย”
สหายร่วมชั้นเรียนยังคงเดินเข้าร้านโน้น ออกร้านนี้ มันเป็นการลงทุนที่สูง แต่อัตราการเสี่ยงก็สูงเช่นกัน
สรุปแผนการเปิดผับบนถนนอาร์ซีเอพับ ผมจัดแจงเก็บพับความฝันใส่ไว้ในลิ้นชักสมอง แทบไม่ได้เปิดออกมามองอีกเลย
“ถ้ามึงเอาจริง กูก็คงไม่มีเงินลงหุ้นหรอก” ผมคิดในใจ
วันเวลาผ่านมาหลายเดือน บัญญัติ เทียนสวัสดิ์ หนุ่มจากอำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ดันมาไขกุญแจลิ้นชักความฝันออกจากหยักสมองอีกครั้ง
“สนใจไหม หุ้นกัน เขาจะเซ้ง”
การสนทนาประโยคนี้เริ่มต้นตอนผมเผลอตัวไปนั่งอยู่ร้านอาหารชั้นลอยของห้างมาบุญครองเซ็นเตอร์ที่ข้างล่างเป็นโซนขายกางเกงยีนส์ที่มันลงทุนกับชลเทพ ทองเสริม เพื่อนร่วมห้องอีกคน และกีรติ เรียนเมฆ ลูกชายสารวัตรโรงพักลุมพินี
“ถ้ามันดีจริง เขาจะเซ้งทำไมวะ”
“ลูกสาวเจ๊เขาไม่มีเวลา”
เจ๊เจ้าของร้านรายนี้เป็นเจ้าของสัมปทานร้านในห้างมาบุญครองเซ็นเตอร์เต็มพื้นที่ เรียกได้ว่าเป็นเสือนอนกินไปแล้ว แต่ผมชักลังเล เนื่องจากวันนั้น ร้านอาหารดูเงียบเหงาวังเวง บรรยากาศอึมครึมโหรงเหรง “ถ้าจะทำ คงต้องปรับอีกเยอะเลยนะมึง” ผมว่า “แต่เขาเซ็งเท่าไหร่ล่ะ”
“ล้านห้า” เพื่อนตอบทันควัน
“อะไรนะ ล้านห้า” ลิ้นชักความฝันเปิดออกรอชักกลับอีกครั้ง
“ลงคนละสองแสนห้า มึงเอาหรือเปล่า”
“ใครบ้าง”
“มึง กู ไอ้เทพ” สำเนียงเหน่อรักษาเอกลักษณ์ของมันไม่เปลี่ยน “อาจจะมีไอ้ซิน ไอ้จุ แล้วพี่กี้ รุ่นพี่ที่รามอีกคน”
“กูต้องให้คำตอบเมื่อไหร่”
เส้นตายถูกกำหนดในเวลาไม่กี่เดือน เงินสองแสนห้าหมื่นบาท เวลานั้นมันหายากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นดอย แต่เพื่อนยังรอคอยคำตอบเป็นระยะ ผมปรึกษาหาทางกับครอบครัว แม่ยอมให้ยืมโฉนดที่ดินในจังหวัดนครนายกไปค้ำประกันเงินกู้จากอาสะใภ้
“แน่ใจหรือ ทำธุรกิจกับเพื่อน” เมียเตือน แต่ผมดึงดัน ไม่ฟังคำทัก
กรรมสิทธิ์ 3 ปี ภายใน “ร้านต้นถั่ว” ห้างมาบุญครอง กำเนิดขึ้นจากเด็กโรงเรียนผู้ชายล้วน 6 คน ประกอบด้วย ชนาธิป กฤษณสุวรรณ บัญญัติ เทียนสวัสดิ์ ชลเทพ ทองเสริม วิศิษฎ์ ชัยวิชาชาญ สาธิต นันทปรีชา และร้อยตำรวจเอกวรรษิษฎ์ บำรุงราษฎร์ พวกเราเลือกสวมบท “แจ็ค” ปีนต้นถั่วขึ้นไปหา “ไข่ห่านทองคำ” กับภารกิจหนักที่ไม่ต่างเผชิญยักษ์ใหญ่
“นี่พี่กี้” โต้โผตัวหลักแนะนำ “รุ่นพี่ เทพ จบราม”
ผมมองหน้าหุ้นส่วนรุ่นพี่แล้วจำได้แม่น “พี่จำผมได้หรือเปล่า พี่เคยช่วยพวกผม ตอนอยู่มัธยม 6 พวกผมอยู่มัธยม 3 ” เหตุการณ์ผ่านนานกว่า 12 ปี ภาพของนักเรียนรุ่นพี่เดินถือกระเป๋า กางเกงกากีขาสั้น ตัวผอม ผิวดำเข้ม ส่ายเข้ามาหลังวัดคนเดียวติดตาผม
“พี่ช่วยด้วย พวกผมโดนเด็กข้างกำแพงวัดหาเรื่อง”
นักเรียนรุ่นพี่รีบเดินปรี่บุกเดี่ยวไปตะโกนชี้หน้าเหล่าโจ๋ที่กำลังจะปีนกำแพงเข้ามาลุยพวกผมที่เตะบอลพลาสติกอยู่หลังกุฏิ “เฮ้ย …พวกมึงกลับออกไปเลยนะ อย่ามายุ่งกับน้องกู” ทำพวกนั้นหางจุกตูดเผ่นกันแทบไม่ทัน
“พี่จำได้ไหม” ผมย้ำ
ร้อยตำรวจเอกหนุ่มรองสารวัตรสืบสวนสถานีตำรวจนครบาลยานนาวา หัวเราะ “จำไม่ได้ว่ะ เอ็งจำได้ไงวะ”
“ผมประทับใจพี่ ไม่น่าเชื่อมาเจอกันได้อีกครั้ง”
“โอเคเลยน้อง”
กิจการร้านอาหารต้นถั่วเปลี่ยนมือผู้บริหารเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ขี้เหร่ มีลูกค้าทยอยเข้าลิ้มรสอาหารหนาตามากกว่าวันแรกที่ผมมานั่งลังเลจะตัดสินใจลงหุ้นทำร้านอาหารดีไหม
ผมหายใจโล่งปอดขึ้น ปลดความอึดอัด ตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ตระเวนข่าวต่อ สลับกับการเข้าไปดูร้านบ้างเวลาออกเวรเช้า
“เฮ้ย มึงอยู่ไหนว่ะ” บัญญัติโทนระส่ำโทรมา
“เข้าเวรดึกโว้ย” ผมว่า “ห่า ก็เพิ่งแยกกันที่ร้านเมื่อเย็นไง มึงลืมหรือ”
“พวกกูโดนกระทืบ”
“จริงสิ ที่ไหน”
“อาร์ซีเอ ตอนนี้แจ้งความอยู่โรงพักมักกะสัน”
สิ้นเสียงละล่ำละลัก ผมรีบบึ่งไปหา บัญญัติ นั่งอยู่ในห้องสอบสวน มี นภัทร เนตรภักดี รุ่นน้องอยู่ข้าง ๆ สภาพหน้าตาไม่ได้ปูดบวมสะบักสะบอมอย่างที่ผมวาดไว้ ร้อยตำรวจเอกธีรวุธ พิมพิสัย ร้อยเวรพิมพ์ดีดต๊อกแต๊ก ผมหยิบหนังสือพิมพ์ไปวางบนโต๊ะ ยกมือสวัสดี เจ้าของคดียิ้มเป็นมิตร “เพื่อนกันหรือ” แกเดาออก “ครับผู้กอง”
เวลาตีสามกว่าแล้ว การสอบปากคำลงบันทึกประจำวันได้ความเป็นข่าวพาดหัวยักษ์กรอบบ่ายหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันที่ 5 เมษายน 2539 ตีแผ่เหตุการณ์พนักงานรักษาความปลอดภัยตีนโหดรุมกระทืบนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงอ่วม ระบุปากคำจากเหยื่อว่า ไปดื่มกินเลี้ยงฉลองสอบเสร็จปลายภาคเรียน ต้นเหตุจากนภัทรไปเดินชนหญิงสาวนักเที่ยวคนหนึ่งระหว่างเดินเข้าห้องน้ำภายในร้านแคสเปอร์ผับ โซนเอ รอยัลซีตี้อเวนิว ตอนแรกคิดว่าจะไม่มีเรื่องอะไร เนื่องจากนภัทร ขอโทษขอโพยไปแล้ว
หลังจากเสร็จกิจในห้องน้ำ นภัทรเดินกลับมายังโต๊ะ ไม่ทันถึงที่ก็มีชายฉกรรจ์ไม่ต่ำกว่า 10 คน แต่งกายชุดซาฟารี ผมสั้นเกรียน เดินเข้ามาล้อมจะรุมอัดนภัทร กลุ่มเพื่อนเห็นท่าไม่ดี เข้าไปห้าม กลับโดน 1 ในจำนวนนั้นผลักหงายล้ม บัญญัติพยายามเจรจาอย่างสุภาพว่า พวกตนเป็นนักศึกษา บางคนจบเป็นบัณฑิตแล้ว น่าจะคุยกันได้ กลับถูกกลุ่มชายชุดซาฟารีแสดงอำนาจบาตรใหญ่ฮึกเหิมรุมกินโต๊ะทำร้ายชกต่อยล้มลุกคลุกคลานอย่างไม่มีทางสู้
เนื้อหาข่าวร่ายยาวด้วยว่า กลุ่มชายฉกรรจ์ทราบว่า เป็นนักเลงคุมผับมีอาวุธตุงอยู่ที่เอวข่มขวัญสำทับตามหลังอีกว่า “กูจะยิงกบาลพวกมึงเมื่อไหร่ก็ได้”
เป็นครั้งแรกที่ผมถ่ายรูปเพื่อนและรุ่นน้องลงภาพข่าวหน้า 1 หนังสือพิมพ์ ยกประเด็นความป่าเถื่อนของคนคุมผับรุมกระทืบนักเที่ยวที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ไม่ใช่แค่เจ้าของร้านอาหารหรือร้านขายกางเกงยีนส์ห้างบุญครองที่จะทำให้น้ำหนักข่าวเบาลง
คืนถัดมา ร้อยเวรเจ้าของคดีนัดบัญญัติ เทียนสวัสดิ์ นภัทร เนตรภักดี และเพื่อนนักศึกษาอีก 3 คนไปสอบปากคำเพิ่มเติม พร้อมนัดประทีป สมฤดี อายุ 31 ปี หุ้นส่วนผับ กับชุติมา พุ่มสว่าง อายุ 40 ปี กรรมการบริหารผับ นัทธี ทรัพย์ศิริ หัวหน้ารักษาความปลอดภัยของแคสเปอร์ และลักษณา ศิริกุล อายุ 21 ปี นักท่องเที่ยวสาวที่อ้างถูกอีกฝ่ายลวนลามก่อน มาพูดคุยกัน ปรากฏว่า ฝ่ายผับชื่อดังปฏิเสธคนที่ทำร้ายเป็นพนักงานของตัวเอง ทว่าเป็นนักเที่ยวกลุ่มทหารที่มาหาความสำราญที่มีหญิงสาวคู่กรณีเดินทางมาด้วย
เมื่อเป็นข่าวประโคมใหญ่โต พลตำรวจตรีบริบูรณ์ วุฒิภักดี ผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือ มีคำสั่งกำชับ พันตำรวจเอกวรศักดิ์ นพสิทธิพร ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลมักกะสัน ทำรายงานชี้แจง และให้ติดตามผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
ผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือยังสั่งให้จับกุมสถานบริการเปิดเกินเวลาบริเวณถนนรอยัลซิตี้อเวนิว ที่ได้รับการร้องเรียนมาช้านาน แต่ตำรวจท้องที่กลับรายงานผลจับกุมจำหน่ายสุราในเวลาห้ามเท่านั้น งัดเอาประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 294 ใช้ดำเนินการกับสถานบริการที่จำหน่ายสุราให้เยาวชนประเดิมก่อนเลย
ร้อยตำรวจเอกทรงพล กาญจนพันธ์ หัวหน้าสายตรวจ สถานีตำรวจนครบาลมักกะสัน ร่วมกับ ร้อยตำรวจตรีกฤษณะ สุกรรฒะ รองสารวัตรแผนกสืบและตรวจตรา กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและเยาวชน กองบัญชาการตำรวจนครบาล จึงนำกำลังกวดขันจับกุมนักท่องราตรีอายุต่ำกว่า 18 ปี อย่างละเอียดแทบทุกคน เช่นเดียวกับร้านที่เปิดให้บริการเกินเวลา ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาให้กวาดล้างสิ่งสกปรกที่ครอบงำเยาวชนไทย
ดินแดนที่ต่อมาถูกขนานนามเป็น “ถนนอเวจี”ถูกหนังสือพิมพ์รุมตี เดือดร้อนผู้ประกอบการและพยายามหาทางกลบข่าว
ผมเกาะติดทุกวันอยู่โรงพักเกือบอาทิตย์ ปั่นข่าวขึ้นหน้า 1 ต่อเนื่อง ทิ้งท้ายไว้ว่า กลุ่มผู้เสียหายล้วนวิตกกังวลหวาดเกรงจะเจออิทธิพลภัยมืด ทั้งจากสถานบริการในอาร์ซีเอ และคนในเครื่องแบบ นอกจากนี้ยังเป็นห่วงเรื่องคดีที่อาจจะถูกบิดเบือนเป็นประโยชน์กับคู่กรณีมากกว่า
“พ่อแม่กูเป็นห่วงว่ะ ร้องไห้ขอให้ยุติไม่ต้องเอาเรื่องกับใคร เลิกยุ่งกับคดีอย่างเด็ดขาดไปเลย กูก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แค่ต้องการความเป็นธรรมเท่านั้น” เพื่อนเครียดหนัก ผมเลยกระแทกข่าวอีกระลอกตอกลิ่มให้สังคมรับรู้ว่า เหยื่อผวาอิทธิพลผับย่านสถานบันเทิงดัง
“โต้งเปล่าครับ” มีโทรศัพท์เข้ามือถือ
“ครับ”
“นี่พี่นัดนะ”
“นัดไหนครับ” ผมสังหรณ์ชอบกล
“พี่นัด หัวหน้าข่าวบันเทิง”
“ครับ มีอะไรครับ” โทนเริ่มกระด้าง
“เรื่องที่อาร์ซีเออ่ะ เบาหน่อยได้หรือเปล่า” ปลายสายยิงเจตนาตรงเป้า “เรื่องจริง พวกนั้นมันไปลวนลามเขา ช่วยหน่อยเหอะพรรคพวกพี่เอง”
ผมฉุนกึก “พรรคพวกพี่ แต่ผู้เสียหายเป็นเพื่อนผม ผมคงให้พี่ไม่ได้ ขอโทษนะพี่” ผมตัดสายทิ้ง เหงื่อตก กังวลเกรงจะมีคนใหญ่กว่าโทรศัพท์มาเบรก รออยู่พัก ไร้ใครส่งสัญญาณ ผมรีบโทรไประบายกับรีไรเตอร์
“ไม่ต้องสนใจ ทำข่าวไปตามข้อเท็จจริง”
นั่งหยุดพักถอนหายใจ “ครับ”
นึกแล้วตลกสิ้นดี เคยวาดความฝันจะมาเปิดร้านเหล้าประเดิมกิจการอยู่ถนนอาร์ซีเอ สุดท้ายกลับกลายมาช่วยปิดฉากสถานบริการที่ต่อมาผันเป็นถนนอเวจี