“หมดแล้วอาชีพตำรวจที่ดูเหมือนศักดิ์สิทธิ์” ชั้นผู้น้อยสะบักสะบอมระบายความเห็น
ครบ 1 เดือนกับอีก 1 วันจาก “แยกปทุมวัน” ลามสู่ “แยกเกียกกาย” ฉากท้าทายผู้รักษากฎหมายแตกพ่ายย่อยนับ
เกมกลศึกควบคุมสถานการณ์ชุมนุมล้มเหลวไม่เป็นท่า
ราวกับเอาน้ำมันไปราดบน “กองไฟ” ผสมใส่แก๊สน้ำตา
ตำรวจไม่พ้นข้อครหาทำร้ายประชาชน จุดชนวนความเกลียดชังจากผู้ชุมนุมที่บ้าคลั่งตามอารมณ์เคียดแค้นขาดสติ
“ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็เป็นหนังหน้าไฟ” ชั้นผู้น้อยคนเดิมรำพัน
เพราะคำว่า “หน้าที่” พวกเขาต้องทำ
“ท้าวมาลีวราชสีกากี” โดนเพลิงพิฆาตคากองความขัดแย้งทางความคิด
ไม่ว่าสีไหน ฝ่ายไหน ตำรวจไม่เคยพ้นมิลทินถูกละเลงเปื้อนเครื่องแบบ
พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แถลงสรุปผลการปฏิบัติงานในการควบคุมการชุมนุมตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่หน้าอาคารรัฐสภา เกียกกาย ยืนยันตำรวจปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
มีการเจรจา ประกาศแจ้งเตือน ผ่านแกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมตลอดการปฏิบัติการ
แต่พบว่ามีความพยายามจากกลุ่มผู้ชุมนุมในการกระทำผิดกฎหมาย ฝ่าแนวกั้นตำรวจ ขว้างพลุควัน รื้อแบริเออร์ ตัดรั้วลวดหนาม และพยายามทำร้ายตำรวจ ทำให้ตำรวจจำเป็นต้องปฏิบัติตามขั้นตอนตามยุทธวิธี
เจ้าตัวย้ำว่า ตำรวจไม่ได้ใช้กระสุนยางหรือกระสุนจริงในการปฏิบัติการ
ส่วน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติแจงเหตุผลเช่นกันว่า ตำรวจมีความพยายามในการเจรจาขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมยุติการกระทำผิดกฎหมายแต่ไม่เป็นผล
“ถึงมีความจำเป็นต้องปฏิบัติงานตามขั้นตอนโดยมีการประกาศแจ้งเตือน และฉีดน้ำผสมแก๊สน้ำตา” รองโทรโข่งสำนักปทุมวันอธิบาย
กลายเป็นที่มาของ “ทัพแตก”
สถานการณ์ทวีความรุนแรงและตึงเครียดช่วงเปลี่ยนกำลัง
คำสั่งแรกให้กองร้อยควบคุมฝูงชนเตรียมพร้อมเป็นแนวก่อนถึงแยกเกียกกายเพื่อสกัดกั้น ไม่ให้ผู้ชุมนุมผ่านมายังหน้ารัฐสภาได้
แต่กำลังพลสุดจะต้านทานฝูงชน
“แตกต่างจากยุทธวิธีที่เคยฝึกซ้อมกันมา ของจริงมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง” ขุมกำลังควบคุมฝูงชนชั้นผู้น้อยละเหี่ยใจ
หลังจากผู้ชุมนุมฝ่าแนวกันกผ่านแยกเกียกกายได้เข้าปล่อยยาง พ่นสี ทำลายรถจีโน่ฉีดน้ำแรงดันสูง 2 คันมูลค่าหลายสิบล้านบาทของกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชนเสียหาย อีกทั้งทุบรถตำรวจตราโล่ทุกคันที่จอดอยู่บริเวณนั้นพังเสียหายนับสิบคัน
“ ตำรวจควบคุมฝูงชนมีแค่กระบองกับโล่ไต้องถอยร่นมาอยู่หน้ารัฐสภา ผู้ชุมนุมขึ้นได้ปราศรัยเยาะเย้ยเหมือนประกาศชัยชนะต่อหน้านายตำรวจผู้ใหญ่ที่นั่งบัญชาการอยู่ในห้องหน้ารัฐสภา” เขารำพันไม่หยุด
น่ารนทดใจที่ตำรวจควบคุมฝูงชนถูกการ์ดผู้ชุมนุมไล่ บางคนถือมีดขู่ให้รีบเดิน
“ศักดิ์ศรีตำรวจของพวกผมหายหมดแล้ว”
เขาบอกจะหลบเลี่ยงไปอยู่ในค่ายทหารกลับโดนปิดประตูไล่ให้พ้น “เผือกร้อน”
มอเตอร์ไซค์ตราโล่บางคันโดนน้ำอัดลมหยดไปในน้ำมันเครื่อง ทรัพย์สินข้าวของในรถโดนม็อบทุบกระจกเอาไปหมด
ชั้นผู้น้อยนั่งน้ำตาตกใน เขาไม่ได้เป็นคนยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม แต่ไม่อาจปฏิเสธข้อครหา
“ทุกคนก็คนไทยด้วยกัน ทำไมไม่รับฟังเหตุผลกันบ้าง”
ล่วงเลยเวลาราชการมานานร่วมเที่ยงคืน เขาถอดเครื่องแบบชุดฟาติกขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านกับภาพติดตาไปหาครอบครัวลูกเมีย
น้ำตายังคงท่วมใจ
อรุณรุ่งของวันใหม่ก็ต้องตื่นมาทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
ทำหน้าที่ “ท้าวมาลีวราชสีกากี” ศักดิ์ศรีแทบไม่มีแล้ว !!!