เก็บตัวเงียบหายไปจากวงการนานเกือบ 9 เดือนเต็ม
นับตั้งแต่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล นายพลหนุ่มดาวรุ่งพุ่งแรงกลายเป็น “ดาวอับแสง” ร่วงหล่นพ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หลุดชายคาสำนักปทุมวัน ปรับโอนย้ายไปเป็นข้าราชการพลเรือน นั่งเก้าอี้ที่ปรึกษาพิเศษสำนักนายกรัฐมนตรี
ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุผลใน “คำสั่งฟ้าผ่า” ต่าง ๆ นานา
เท็จจริงอย่างไรเจ้าตัวไม่เคยปริปาก กระทั่งเกิดเหตุการณ์มือปืนยิงถล่มรถเก๋งของเขาขณะจอดอยู่ตรงข้ามร้านนวดสาริกา ถนนสุริยวงศ์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร กระดอนให้อดีตนายตำรวจคนดังขึ้นมาอยู่หน้าฉากอีกครั้ง
เป็นฉากสำคัญเดิมพันด้วยการเปิดศึกฟัด พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ท้อแท้ถอดใจ แต่มีวินัย มาไกลเป็น “พลตำรวจโท” บุญแล้ว
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ยอมระบายหมดเปลือกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเผชิญวิบากกรรมเด้งออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติผ่านนิตยสาร COP’S ว่า ตั้งแต่ถูกคำสั่งครั้งนั้นไม่ทราบมาก่อน ไม่มีวี่แวว ไปทำงานทุกวันตามปกติ ครั้งแรกโดนไปช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติยอมรับว่า งง และท้อแท้เหมือนกัน แต่เรามีวินัย ให้ไปช่วยก็ไป ไม่ได้ถามเหตุผลให้ทั้งนั้น ตอนไปรายงานตัวก็มีข่าวว่าจะให้ย้ายเป็นผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระหว่างรอคำสั่งก็โดนปรับโอนย้ายไปขึ้นตรงสำนักนายกรัฐมนตรี
“ผมรับปฏิบัติ คิดว่า ในเมืองนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งอย่างนี้ เราเป็นข้าราชการต้องพร้อมปฏิบัติตาม วันนี้ผมถือว่า มาไกลมากแล้ว ผมลูกนายดาบ ผมมาได้เป็นถึงพลตำรวจโทก็เป็นบุญของผมแล้ว ผมไม่ได้คิดเยอะ หรือคิดหวังว่าจะได้เป็นอะไรมากมาย วันนี้ต้องเรียนตรง ๆ ว่า เมื่อก่อนมีคนแนะนำเรื่อยแหละ ว่า โจ๊ก อายุยังน้อยอยู่ ไม่ต้องไปทำงานเยอะ เก็บเนื้อเก็บตัวไว้ ทำงานเยอะเดี๋ยวจะเจ็บตัว แล้วจะได้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ”
“ผมคิดว่า ถ้าผมจะได้เป็น ผู้นำโดยที่ไม่ได้ทำงานให้ประชาชน ผมสู้ไม่เป็นดีกว่า ผมอยากทุ่มเททำงานให้ชาวบ้านรู้สึกว่า ตำรวจมีความน่าศรัทธา องค์นี้เป็นที่พึ่งได้ ผมอยากให้ตำรวจทุกคนขยัน ช่วยกัน ทำให้ดี ผมมองว่า ถ้าตำรวจขยับตัวรุนแรงแบบนี้ โจร ผู้ร้าย มันจะหายไป บ้านเมืองมันจะดีได้ ผมมีทีมงานที่จะขับเคลื่อน แน่นอนว่า เมื่อเราทำงาน ย่อมมีผลกระทบ แต่ถ้าเราไม่ทำงาน เอาแต่เดินตามหลังผู้ใหญ่ไปเรื่อย มันไม่มีความภาคภูมิใจหรอก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ว่าถึงมุมมองในอดีตที่ยังทำงานอยู่องค์กรเก่า
ปัดข่าวลือโดนค้นรัง ถูกยึดสตางค์นับพันล้านบาท
นายพลหนุ่มนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 47 ยอมรับว่า อยากกลับไปเป็นตำรวจเหมือนเดิม แต่เราเลือกไม่ได้ ถ้าจะอยู่สำนักนายกรัฐมนตรีจนเกษียณอายุราชการก็ไม่เป็น ปัจจุบันมีงานอะไรที่ต้นสังกัดมอบหมายก็ทำหมด ไม่เคยเกี่ยงงอน ไม่สร้างปัญหา แต่ที่หายหน้าไปหลังจากโดนสั่ง ไม่ได้ตั้งใจหลบหน้าหลบตา แค่ไม่อยากเป็นข่าว ไปทำงานศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ใกล้บ้าน เช้าไปเย็นกลับ รถขับเอง ไม่มีลูกน้องเหมือนสมัยเป็นตำรวจ
สำหรับกระแสข่าวลือที่ว่าถูกบุกค้นเซฟเฮาส์โรงแรมพูลแมน รางน้ำ และโดนยึดทรัพย์ เจ้าตัวยืนยันว่า ไม่มี ยิ่งยึดทรัพย์เงินเป็นพันล้าน ยิ่งไม่มีแน่นอน จะไปมีเงินเก็บมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร ถ้ามีขนาดนั้นต้องไปตั้งพรรคการเมืองแล้ว วันนี้ใช้ชีวิตสบาย ปกติ เราไม่มีอะไร เราต้องอยู่ให้ได้ เพราะเป็นข้าราชการประจำ ไม่ได้คิดอะไรมาก เรามีสปิริต ถ้าเป็นคนอื่นอาจเครียด หากมีเวลาว่างจะไปทำบุญส่วนใหญ่ เพราะชอบทำบุญอยู่แล้ว ไปที่ที่เราสบายใจ
เขาเล่าว่า ชอบไปไหว้พระทำบุญที่วัดชนะสงคราม บางครั้งไปวัดพระแก้ว ศาลหลักเมือง และวัดโพธิ์ ขณะเดียวกันยังบริจาคเงินกองทุนพระสงฆ์อาพาธที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธในนามสมาคมหักพาลที่ตั้งไว้นาน 4-5 ปีแล้ว ทำมาแบบนี้ตั้งแต่รับราชการตำรวจ ไม่ได้มีอะไรที่ไปทำให้มันดูผิดปกติทั้งสิ้น และมีกำหนดไปบวชอุทิศให้พ่อกับแม่ที่วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย เป็นความตั้งใจนานแล้ว แต่ตอนเป็นตำรวจภารกิจเต็มมือ ทำให้ไม่มีเวลา พอว่างเว้นช่วงนี้จึงตัดสินใจไปกับน้องชาย
สัมพันธ์ “พี่แป๊ะ”ไม่เหมือนเดิม เผชิญสถานการณ์หลังชนฝา
ย้อนกลับไปถึงเรื่องความสัมพันธ์กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ที่เคยสนิทสนมนับถือกันมานาน นายตำรวจรุ่นน้องรับว่า ความสัมพันธ์ไม่เหมือนเดิม ไม่มีโอกาสได้คุยกัน ตั้งแต่เรื่องโครงการจัดซื้อเครื่องไบโอเมทริกซ์ที่ไปทำหนังสือยกเลิก มั่นใจอาจไปกระทบใครบางคน ทำให้ท่านผู้มีอำนาจอาจไม่พอใจ ไม่ขอบอกชื่อถึงใคร เอาเป็นว่าเป็นผู้มีอำนาจก็แล้วกัน บอกผ่านผู้ใหญ่หลายคนจะขอเจรจา ขอเคลียร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ “ผมก็ปฏิเสธทุกครั้ง จนกระทั่งสุดท้ายมานัดผ่านผู้ใหญ่ที่ผมเคารพมากท่านหนึ่ง ผมก็ตอบปฏิเสธไปอีก ส่งสัญญาณไม่ชอบมาพากล”
“ ผมเรียนตรง ๆ ว่า ผมเป็นตำรวจเก่า ลูกน้องรายงานว่า มีการสั่งเช็กรถผมทุกคัน ทะเบียนอะไรบ้าง มีการตามรถผม ผมเฉยๆ นะ แล้วก็มีคนย่านร้านนวด เตือนผมด้วยว่า พี่โจ๊ก อย่ามานวดที่นี่นะ เขาเตรียมคนมาตามพี่โจ๊กอยู่ แต่ผมไม่ได้คิดอะไร ผมไปปกติ ตอนเกิดเหตุ ผมนอนนวดอยู่ ผมหลับ มีหมอนวดตกใจวิ่งขึ้นมาบอกรถโดนยิง แต่ผมไม่ได้ตกใจ รู้แล้วว่าใครทำ เพราะมันมีสัญญาณบอกมาก่อนอยู่แล้ว ทำให้ผมกล้าฟันธง เพราะได้ข่าวมาก่อน” เหยื่อกระสุนปืนยิงใส่เก๋งส่วนตัวว่า
“ถ้าผมไม่มีเรื่องเชื่อมโยงอย่างนี้ ผมไม่ไปพูดอย่างนั้นหรอก ผมเก็บเนื้อเก็บตัวมานานแล้ว การกระทำแบบนี้ เหมือนดันให้ผมมันหลังชนฝา ผมไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เล่นอย่างนี้ มันไม่ไหวแล้ว ต้องพอสักที เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้ ผมต้องแฉบ้างว่า เรื่องอะไรๆ รู้อยู่แล้วว่าผมต้องไปให้การกับคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในสัปดาห์นั้นพอดี”
จำเป็นต้องออกมาสู้ เพื่อให้สังคมรู้ตัวเองว่าไม่เกี่ยว
“มันไม่ทำให้ผมกลัว อย่ามาทำกับผมเหมือนทำกับนักข่าวเมื่อ 2 ปีก่อน ผมไม่ได้เอ่ยถึงใครนะครับ แต่ว่าการเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย ต้องเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่ไปทำผิดกฎหมายเสียเอง อีกอย่างคือ ผมออกมาจากตำรวจแล้ว ผมก็เหมือนเป็นประชาชนคนหนึ่ง เพราะฉะนั้น เมื่อถูกกระทำอย่างนี้ ผมต้องออกมาสู้ ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมบ้าง ให้สังคมเห็น เพราะที่ผ่านมา ผมต้องทนทรมาน เรื่องไบโอเมทริกซ์ ก็บอกไอ้โจ๊ก ทำ รถไฟฟ้าก็ไอ้โจ๊กทำ ไอ้ตึกของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็บอกไอ้โจ๊ก หรือหลายเรื่องไม่ดีก็บอกไอ้โจ๊กทำ ทั้งที่ไม่เกี่ยวกับผมเลย”
อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองตั้งข้อสังเกตถึงเผือกร้อนที่ไปลงกับตัวว่า หลายกระแสที่ออกไปคนเชื่อด้วยเพราะเราเป็นผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และมองว่าเราอยู่กับผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จทุกอย่าง ให้สังคมเชื่อได้ว่า อยู่เบื้องหลังทั้งหมด ทั้งที่ความจริงไม่ได้ทำสักอย่าง เป็นเรื่องเก่าตั้งแต่ยังไม่ได้มาเป็นผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผู้มีอำนาจเอางบประมาณไปจัดซื้อจัดจ้างเองไม่ได้ให้ผู้บัญชาการทำ
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ยกตัวอย่างเครื่องไบโอเมทริกซ์ซื้อแพงกว่าท้องตลาดหลายเท่าแล้วตอบสังคมไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะมาให้เซ็นตรวจรับ เราเซ็นไม่ได้ ถึงต้องทำหนังสือสวนขึ้นไป ไม่อย่างนั้นในฐานะผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองต้องโดนอยู่ดี สุดท้ายถึงรู้ว่า เราเหลืออายุราชการตั้ง 11 ปี มีคนจ้องเล่นงานหมด ปัจจุบันตำรวจตรวจคนเข้าเมืองคงเข้าใจมากขึ้นว่า เราไม่ได้เกี่ยวด้วย วันนี้เดือดร้อนกันหมด “สมัยก่อนผมบอกผู้มีอำนาจแล้วว่า เอาบริษัทไหนได้หมดแหละ แต่ขอให้เอาของดีมาให้ผม มาให้หน่วยใช้ เพราะถ้าไม่เอาของดีมาให้ เดี๋ยวผมก็ซวยอีก เพราะผมเป็นผู้นำหน่วย”
ไม่แปลกใจลูกน้องเจอย้าย แนะอย่าตีโพยตีพาย ฟ้องร้องใคร
หลังจากเกิดเรื่องลอบยิงรถเก๋งส่วนตัวโยงไปถึงปมร้อนไบโอเมทริกซ์ พล.ต.ท.สุรเชษฐว่า ไม่ได้คุยกันกับพล.ต.อ.จักทิพย์ ชัยจินดา และคงไม่คุยแล้ว เช่นเดียวกับท่านนายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับท่านประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ไม่ได้คุย ไม่ได้โทรมาถามเลย เชื่อว่า ท่านนายกฯ กับท่านรองฯ ประวิตร คงต้องปล่อยให้ไปแก้ปัญหากันเอง เพราะเป็นเรื่องภายในองค์กร วันนี้ใครเป็นเจ้าขององค์กรก็ต้องไปแก้ไขปัญหา วันนี้ถ้าผมเป็นผู้รับผิดชอบองค์กร ผมต้องไปสั่งตรวจสอบ ใครทุจริตต้องไปดู ทำให้ชาวบ้านหายสงสัยให้ได้ ไม่ใช่เงียบกันไปอย่างนี้
เจ้าตัวยังไม่แปลกใจในการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งใหญ่ที่ผ่านมาเพื่อนร่วมรุ่นและลูกน้องในทีมทำงานส่วนใหญ่โดนย้ายระแนนระนาด “ผมเข้าใจ แต่วันนี้ผมต้องให้กำลังใจลูกน้องว่า ต้องอดทน เราเป็นตำรวจ เราต้องพร้อมโยกย้ายตลอดเวลา เพราะตำแหน่งมันน้อย วันนี้เมื่อเราไม่มีโอกาส ไม่มีกำลังที่ดี ก็ไม่เป็นไร โดนย้าย เราก็ต้องไปทำหน้าที่ ไกลก็ต้องทำให้ดี การย้ายไปก็ย้ายกลับได้ ต้องยกตัวอย่างผมเองก็โดนมาเยอะแล้ว”
“ดังนั้น วันนี้ไม่ต้องไปเสียใจ ไม่ต้องไปร้องเรียน ตีโพยตีพาย ทำหน้าที่ให้ดี เดี๋ยวย้ายไปก็ย้ายกลับได้ ไม่ต้องไปว่าใคร ผมสอนลูกน้องไปอย่างนี้ ส่วนที่ว่า เป็นเกมที่มีการเลื่อยขาพี่แป๊ะ ต้องเข้าใจนะว่ามันต้องมีคนมองหลายกระแส เรื่องผมจะกลับไม่กลับ กี่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็เอาผมกลับไม่ได้ คนจะเอาผมกลับอยู่ที่นายกรัฐมนตรี เนื่องจากท่านเป็นคนโอนผมไป เพราะฉะนั้นคนอย่างผมไม่มีสร้างสถานการณ์ ไม่รู้จะทำไปทำไม ถ้าจะทำ ต้องทำตั้งแต่แรกๆ แล้ว เอาม็อบมา แต่ผมเงียบ ผมไม่เคยร้องเรียน ไม่เคยไปฟ้องเลย”
อนาคตขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี ที่ผ่านมาพอใจได้ช่วยเหลือคน
อดีตนายพลคนดังบอกว่า ตัวเองมีวินัย ไม่เลือกจะฟ้องร้อง ทั้งที่มีตัวอย่างจากกรณีท่านถวิล เปลี่ยนศรี ฟ้องแล้วได้คืนความเป็นธรรม อย่างกรณีตัวเองเป็นข้าราชการตำรวจโอนย้ายจากหน่วยตัวเองไปนอกหน่วยต้องสมัครใจ เราไม่ได้สมัครใจ ถูกโอนย้าย แต่ไม่คิดฟ้องตามระบบ ถามว่าคิดจะกลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือไม่ ตอบได้เลยว่า อยากอยู่แล้ว แต่การจะกลับไม่กลับ อยู่ที่นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชา เราเลือกไม่ได้ เราอาจจะคิดได้ แต่เราเลือกไม่ได้ เมื่อเราเลือกไม่ได้ เราก็ต้องทำงานให้ดีที่สุด
ถึงกระนั้นก็ตาม ที่ผ่านมาเขาถูกมองอยู่เบื้องหลังทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายปั่นป่วนไปหมด เรื่องนี้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์แจงเหตุผลว่า มีโอกาสได้พิจารณาร่วมในส่วนของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และทีมงานที่อยู่นอกหน่วย มีโอกาสฝากเรียนขอผู้มีอำนาจ เพราะต้องเอาคนมาทำงาน เมื่อเราใช้เขาทำงานต้องแทนเขา เพราะงานออกมาเป็นรูปธรรม ถ้าเราไม่ตอบแทน แล้วใครจะมาทำงานให้เรา “การที่พวกเขาทำงาน ย่อมหวังความเจริญก้าวหน้า ผมต้องดูแล ไม่อย่างนั้นงานจะออกได้อย่างไร แกะรอยตามจับคนร้ายในต่างประเทศ ได้ผลงานเยอะแยะไปหมด”
“วันไปขึ้นศาล ทนายความหลายคนยังเดินมาขอบคุณ ฟังแล้วภาคภูมิใจ เราได้ทำบุญให้แผ่นดิน ทำบุญให้ประชาชน ไม่ได้คิดอะไรมาก มองว่าที่ยังดีอยู่ได้ทุกวันนี้ อยู่รอดมาได้ เพราะบุญกุศลที่ทำอยู่ การทำบุญที่ดีที่สุด คือการทำบุญในหน้าที่ในอาชีพของตำรวจเอง ไม่ต้องไปวัดไปวา ทำบุญในอาชีพ คือการช่วยเหลือประชาชนก็ทำบุญทุกวันอยู่แล้ว และผมก็ชอบทำอย่างนี้อยู่แล้ว มันสนุกนะ” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ย้ำว่า บัญชีแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจส่วนใหญ่ในภาพรวม ไม่เกี่ยวกับเขา แต่โยนให้เขาหมด วันนี้พูดไป สังคมอาจจะเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง ต้องรอเวลา เวลาจะทำให้ทุก ๆ อย่างเห็นความเป็นจริงที่ชัดเจน
เสียดายไม่ได้สานต่องานเก่า ไม่ขอเอาอารมณ์โกรธแค้นใคร
ที่ปรึกษาพิเศษสำนักนายกรัฐมนตรียังอธิบายภารกิจใหม่ที่ต้องไปทำหน้าที่ในฐานะข้าราชการพลเรือนว่า ส่วนใหญ่รับมอบหมายงานเอกสาร งานบริหาร และบริหารศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชน นำมาประเมิน เรื่องของหนี้นอกระบบก็เข้ามาเยอะ ยังเสียดายไม่ได้สานต่อเหมือนเมื่อครั้งทำที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ไม่เป็นไร ถ้ามีโอกาสต้องทำให้ดี เราอาจไปดูช่องทางอื่นที่พอจะทำได้ว่ามีช่องทางไหนจะบูรณาการแล้วกลับมาทำให้ประชาชนอีกครั้งหนึ่ง เราเหลืออีก 10-11 ปี สิ่งที่จะอยู่คู่กับเราคือ ความดี เพราะฉะนั้น ทุกอย่างเราหลอกคนอื่นได้ แต่เราหลอกตัวเองไม่ได้ อย่างน้อยเราต้องยืนอยู่ได้
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์แสดงความคิดเห็นว่า สมมติมี 10 เรื่อง เราอาจจะไม่ดีสัก 8 เรื่อง แต่ 2 เรื่องที่เหลือต้องยืนอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีที่จะตอบประชาชนได้ ยกตัวอย่างชวน หลีกภัย ท่านเป็นคนดีมีคุณธรรม อยู่ยังไงก็อย่างนั้น เราก็ดูตัวอย่างผู้บังคับบัญชาแต่ละท่าน เอามาเลือกใช้ ไม่ต้องไปมีอะไรเยอะแยะ ถ้าไม่ได้กลับ ก็ไม่ได้กลับ เป็นเรื่องของบุญวาสนา อย่างน้อยยังมีสักเรื่องที่สามารถยืนแล้วตอบคำถามประชาชนได้อย่างชัดเจน อย่างมั่นใจ
“วันนี้ผมไม่ได้ไปโกรธใครทั้งสิ้น ผมเป็นคนอารมณ์ดีอยู่แล้ว อย่างสื่อมีหลายสื่อนะ ไม่พูดถึงไม่ได้ ผมให้เต็มที่ พี่ๆ น้อง ๆ กันทั้งนั้น ใครจะว่าอะไรผม ผมให้ฟรีสไตล์ ผมไม่เคยโทรไปว่าคนโน้นคนนี้ เมื่อก่อนผมทำงานหามรุ่งหามค่ำ ยังมีสื่อบางสื่อว่า ผมอยู่นั่นแหละ ผมก็ไม่ว่าอะไร พวกกันทั้งนั้น สื่อทำหน้าที่ไป ผมไม่ว่าอะไร เพราะสื่อต้องมองหลายมุม มีอะไรยังกินกันได้เหมือนเดิม คือ พวกกัน” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ว่า
เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม เห็นเวรกรรมมีอยู่จริง
ถามต่อไปว่าจะฝากอะไรถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา หรือไม่ นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นน้องยิ้มก่อนตอบปฏิเสธ และยืนยันว่า ส่วนตัวไม่มีอะไรกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เป็นพี่น้องกัน แต่เรื่องงานในหน้าที่ต้องเป็นแบบนี้ “ ถ้าใครไม่เป็นผมก็ไม่รู้ เพราะผมโดนมาเยอะ เอะอะก็ผมหมดแหละ บอกผมทำหมด ทุกอย่าง ไม่มีใครทำเลย วันนี้โชคดี ถ้าไม่โดนยิงรถ ผมคงไม่มีโอกาสมายืนเลยนะ ไม่มีเวที ตอนนี้สบายใจมาก ได้ตอบ ได้เห็นชัดเจนว่า ผมชั่ว หรือไม่ชั่วอย่างไร”
“ผมไม่ใช่คนดีเด่น 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เอาเป็นว่า เรื่องฉ้อโกง ฉ้อราษฎร์บังหลวง ผมไม่ทำ คิดว่า หลังจากนี้คงต้องให้คณะกรรมการป้องกันปราบปรามทุจริตแห่งชาติเป็นผู้พิจารณา ผมมั่นใจว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ผมไม่ได้มองว่า เป็นเรื่องชนะหรือไม่ชนะ ผมมองว่า เป็นเรื่องของการพิจารณาของบ้านเมือง ผมเชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรม เรื่องอย่างนี้มันมีเวรกรรม ผมเป็นตำรวจมาหลายที่แล้ว ผมเห็นหมด แล้วเราก็ไม่ได้เป็นคนแบบเถรตรง อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่ แต่ว่าสิ่งหนึ่งคือ เรื่องบ้านเมือง เรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวง ต้องไม่มี”
หากมีโอกาสคืนสู่เครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อีกครั้ง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์มีความตั้งใจอยากทำให้ตำรวจเป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาของประชาชน แม้วันนี้ตำรวจดีอยู่แล้ว สิ่งแรก โรงพักต้องดี อาจมีคนแย้งว่า พูดถึงโรงพักอีกแล้ว แต่ไม่ใช่ โรงพักห้องน้ำต้องสะอาด และห้องที่ดีที่สุด คือ ห้องที่ประชาชนมาแจ้งความ ห้องที่ไม่ต้องอะไรมาก คือ ห้องผู้กำกับการจะรกไม่เป็นไร เพราะไม่ได้มีใครมา เราใช้อยู่คนเดียว ส่วนพนักงานสอบสวนต้องให้กำลังใจ ให้อยากทำหน้าที่พนักงานสอบสวน ไม่ใช่แต่งครึ่งท่อนอยู่หลังโรงพักบ้าง เมื่อสำนวนเร็ว การบริการเร็ว ทุกอย่างจะรวดเร็วหมด
ถ้าทำได้ทั้งประเทศ ชาวบ้านจะรู้สึกมั่นใจตำรวจ ไม่ต้องฝาก ทั้งหมดอยู่ที่ผู้บังคับบัญชา ต้องลงไปจี้ ไกลแค่ไหนก็ต้องทำ อีกเรื่องเกี่ยวกับแฟลตตำรวจ ต้องปรับปรุงให้ดี ทาสียันห้อง ตำรวจมีงบประมาณเยอะแยะ ให้เขาอยู่ดี สบายดี ผมลูกตำรวจ อยู่แฟลตมาก่อน ตำรวจมา ต้องสดชื่น ตื่นเช้ามาเจออากาศบริสุทธิ์ น่าทำงาน ผมมองเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่ต้องเร่งปรับปรุง” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ทิ้งท้าย