เจอสาดโคลนป้าย “ความชิงชัง” ด้วยข้อกล่าวหานำผู้ชุมนุมเป่านกหวีดพังป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อหลายปีก่อน
ตะกอนคราบความแค้นยังไม่สามารถลบออกจากภาพความคิดของตำรวจหลายคน
เมื่อ จิตภัสร์ ตั๊น กฤดากร รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เสนอตัวลงมาทำหน้าที่กรรมาธิการการตำรวจ เหมือนสะกิด “แผลเก่า” เปิดสะเก็ดระเบิดอารมณ์อัดอั้นเหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์บางส่วนอีกครั้ง
ทำให้ ทายาทสาวไฮโซเจ้าของธุรกิจน้ำเมา ต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยความจริงใจล้างข้อครหาว่า ที่ผ่านมามันคืออะไร แล้วเหตุใดถึงตกเป็นเป้าโดนโจมตี
พาชีวิต “เปื้อนสี” แทบล้างไม่หมด
ปฐมบทบาทกรรมาธิการ เพื่อสานงานต่อเรื่องตำรวจชายแดน
“ปกติตั๊น ไม่ค่อยสัมภาษณ์อะไร ทำแต่งาน พูดไม่ค่อยเก่ง” จิตภัสร์ ตั๊น กฤดากรออกตัว ยอมรับกระแสที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบไม่น้อยเมื่อต้องเข้ามาทำงานร่วมกับตำรวจในบทบาทของกรรมาธิการการตำรวจ เธอบอกว่า หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมเราถึงอยากมาทำงานตรงนี้ ต้องชี้แจงก่อนว่า มีคนเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนเยอะ คิดว่า กรรมาธิการการตำรวจ คือ การเข้ามาเป็นคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร.ด้วยซ้ำ ทั้งที่ความจริงไม่ได้เกี่ยวข้องกัน เป็นระบบของรัฐสภาที่จะแบ่งกรรมาธิการกระจายไปหลายส่วน
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์อธิบายว่า ตอนแรกตัวเองอยู่กรรมาธิการการสวัสดิการสังคม ดูแลเรื่องของการศึกษา มีประเด็นเรื่องโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ปัญหาเกี่ยวกับปัญหาสวัสดิการครูและนักเรียน เห็นว่า กระทรวงศึกษาธิการมีงบประมาณมากสุดเป็นลำดับต้น ๆ ของกระทรวงทั้งหมด แต่ลงไปถึงโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนน้อยมาก
“ทีแรกตั๊นคิดว่า โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนอยู่ภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ แต่ที่จริงไม่ใช่ กลับขึ้นตรงสำนักงานตำรวจแห่งชาติเลย มีงบประมาณสนับสนุนไปบ้างบางส่วน แต่ทำไมไม่เท่ากับสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พอมาศึกษาเพิ่มเติมได้เห็นเป็นช่องโหว่ตรงนั้น มีความเหลื่อมล้ำ ตั๊นเลยหยิบยกขึ้นเอามาอภิปรายในที่ประชุมรัฐสภา ผู้ใหญ่หลายคนในพรรคอยากจะให้ผลักดันเรื่องนี้ต่อ เพราะสามารถของบประมาณให้ครูตำรวจตระเวนชายแดนได้”
ยอมรับกระแสร้อนสาดโคลนใส่ เอาเรื่องเก่ามาเติมเชื้อไฟใหม่
ทั้งนี้ทั้งนั้น เธอลงพื้นที่ไปคลุกคลีโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาตั้งแต่ปี 2557 เพื่อช่วยเหลือมอบสิ่งของที่ขาดแคลน บำรุงขวัญแก่ครูและนักเรียนบนสมรภูมิเสี่ยงภัย เป็นจุดเริ่มต้นที่พรรคเห็นควรว่า เธอน่าจะเหมาะกับคณะกรรมาธิการการตำรวจมากกว่าถึงได้เข้าไปทำหน้าที่ในโควตาของพรรคประชาธิปัตย์ นั่งตำแหน่งรองประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ปรากฏเกิดเสียงสะท้อนต่อต้านกลับมาทันทีตามโลกโซเชียล
“มันเป็นกระบวนการบิดเบือนข้อมูล พอได้มีโอกาสคุยกับคนที่อาจจะเข้าใจตั๊นผิด ยังยอมรับกับตั๊นว่าเขายังไม่รู้เลยว่ากรรมาธิการการตำรวจ คือ อะไร แค่อ่านแล้วนึกว่าเป็นคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ไปนั่งประชุมอยู่ในคณะกรรมการข้าราชการตำรวจใหญ่ มีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอยู่ด้วย หลายคนไม่เข้าใจ ตำรวจก็ไม่ใช่ทุกคนจะรู้นะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สภาผู้แทนราษฎร มีกรรมาธิการ หรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับองค์กรตำรวจอย่างไร”
กระแสร้อนที่เกิดขึ้น เจ้าตัวมองเป็นเรื่องเดิม ๆ ที่ปะทุขึ้นมาช่วงมีชื่อเข้ารับการสัมภาษณ์ในตำแหน่งรองสารวัตรฝ่ายอำนวยการ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ทำให้ตำรวจส่วนหนึ่งไม่พอใจ หยิบเอาภาพเหตุการณ์กระทบกระทั่งตำรวจในการชุมนุมคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. จนตำรวจแสดงออกด้วยการติดริบบิ้นสีดำบนเสาวิทยุสื่อสารและรถจักรยานยนต์เพื่อคัดค้าน กระทั่งเธอต้องแถลงข่าวประกาศถอนตัวสมัครเป็นตำรวจ
ยืนยันคำเดิมไม่มีเอี่ยวด้วย อยากช่วยทำงานทว่าเจอขบวนการสกัด
ทายาทสาวเจ้าสัวบริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ จำกัดสารภาพว่า อดทนกับเรื่องที่เกิดขึ้นมานาน 6-7 ปี เราไม่ใช่บุคคลในภาพ ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น เพราะตัวเองประจำอยู่เวทีถนนราชดำเนิน ไม่ได้เป่านกหวีดไล่ตำรวจ ตอนเกิดเหตุหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติแรก ๆ ก็ไม่ได้มีข่าวเป็นเราทำลายทรัพย์สิน แต่กลับมาบิดเบือนตอนที่จะสมัครเข้ารับราชการตำรวจ หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้วถึง 2 ปี
เธอระบายความใจใจว่า อยากเป็นตำรวจ เพราะเป็นอาชีพที่ใกล้ชิดประชาชน ได้ทำงานเพื่อสังคม ได้ทำงานรับใช้ประชาชน เหมือนปัจจุบันที่มาเป็นนักการเมือง เพราะมีจิตอาสา จิตสาธารณะ ไม่ได้แตกต่างกับที่อยากเป็นตำรวจ กระแสที่เกิดขึ้น เรารู้ว่า เป็นขบวนการบิดเบือนข้อมูลให้คนเข้าใจผิด พยายามจะปั่น ใครเป็นคนทำ เราก็รู้ “ขบวนการนี้เริ่มมาจากใครในการบิดเบือนข้อมูล ตั๊นเชื่อว่า เป็นคนมีสีนะ ที่เราเห็นหลังอยู่ไว ๆ เป็นคนทำ ตอนแรกก็ปล่อยไป เพราะความจริงมันไม่ใช่ตั๊น แต่เขาจะสกัดตั๊นทำไม อันนี้ไม่ทราบ มันคงมีเหตุผลของเขา ตั๊นไม่ได้อะไร เพราะมั่นใจในตัวเราว่า เราไม่ได้เป็นคนทำ”
เจ้าตัวยังโชว์เอกสารคำยืนยันจาก พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ขอทราบผลการสืบสวนสอบสวนกรณีเกี่ยวกับการทำลายป้ายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2557 ระบุแล้วว่า ไม่พบพฤติการณ์แห่งคดีที่เธอไปมีส่วนร่วมในการกระทำผิด ไม่มีภาพถ่ายอยู่ในสำนวนการสอบสวนคดีอาญาของสถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน และไม่พบภาพที่ระบุว่าเธอเป็นผู้ร่วมกระทำผิดแต่อย่างใด
เงียบหายกันไปพักใหญ่ เหตุผลกลใด ทำไมเพิ่งมาปั่น
อย่างไรก็ตาม เธอตัดสินใจไม่สวนกระแสที่ลุกลามไปกระทบคนอื่นในครอบครัว ไม่ต่างกับสมัยการชุมนุมที่ถูกบิดเบือนข้อมูลใส่ร้ายสร้างความแตกแยกในสังคมจนโดนคนร้ายลอบปาระเบิดเพลิงใส่บ้าน เป็นเหตุผลให้จิตภัสร์เปลี่ยนนามสกุลจาก “ภิรมย์ภักดี” เป็น “กฤดากร” ของผู้เป็นตาที่มีต้นตระกูล คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ มีพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 17 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงวางรากฐานกิจการตำรวจกรมกองตระเวนพัฒนามาเป็นตำรวจนครบาลในปัจจุบัน มีพระอนุสาวรีย์อยู่หน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล วังปารุสวัน
แม้ล้มเลิกความคิดที่จะรับราชการตำรวจ จิตภัสร์เล่าว่า ยังได้มาคลุกคลีร่วมงานกันบ้าง ลงไปเป็นจิตอาสาช่วยดูแลสวัสดิการความเป็นอยู่ของตำรวจตระเวนชายแดนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตำรวจตระเวนชายแดนก็ยอมรับ ไม่ได้มีความคิดเกลียดชัง จนเกิดปรากฏการณ์เดิมอีกรอบเมื่อมาเป็นกรรมาธิการการตำรวจหลังเงียบหายไปพักใหญ่ ในทันทีที่กลับมาเกี่ยวข้องกับงานตำรวจ มีการปั่นกระแสขึ้นมาและน่าจะจากคนกลุ่มเดิม
เธอว่า ไม่ได้คิดจะฟ้อง อดทนมาตลอด เพราะคิดว่า ไม่ใช่เรา เราก็ไม่ได้อยากไปทะเลาะกับใคร ทุกวันนี้ออกไปพูดมักถูกปั่นจนเราต้องยืนในจุดที่ความขัดแย้งทางการเมืองหนักหนา เลือกเป็นกรรมาธิกาการตำรวจยังหวังว่าจะทำหลายอย่าง ได้ท่านนิโรธ สุนทรเลขา ประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจให้ความไว้วางใจ แต่งตั้งให้เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจมอบหมายให้ดูและรับผิดชอบหลายเรื่องที่เราคิดว่า น่าจะทำได้
รับภารกิจปัดฝุ่นชุมชนแก้ยาเสพติด คิดโครงการสร้างเครือข่ายนักสืบสีขาว
นักการเมืองหญิงคนดังปัดฝุ่นโครงการชุมชนสีขาวปลอดยาเสพติดขึ้นมาอีกครั้ง ประสาน พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล นำร่องชุมชนในพื้นที่รับผิดชอบ 88 โรงพักทั่วเมืองหลวง เพราะเป็นห่วงเรื่องพิษภัยของยาเสพติดกระจายไปถึงเด็กและเยาวชนอนาคตของชาติ ผลักดันงบประมาณไปสนับสนุนโครงการครูแดร์ ต่อยอดแนวคิดดึงโซเชียลมีเดียเข้ามาปรับใช้เป็นโครงการ “นักสืบสีขาว” เสนอความเห็นชอบจาก พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชากาตำรวจแห่งชาติ เรียบร้อยแล้ว
รองประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจอธิบายเพิ่มเติมว่า เราต้องเข้าถึงเยาวชนให้มากขึ้นโดยการใช้แพลทฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น ทวิตเตอร์ สสร้างบัญชีผู้ใช้คำว่า นักสืบสีขาว ก่อนเปิดอบรมนักเรียนตามโรงเรียนช่วงเช้า ให้ครูแดร์ถ่ายทอดเรื่องยาเสพติดตอนเช้า ช่วงบ่ายจะใช้โซเชียลมีเดียเข้าไปแนะนำวิธีการทำงานให้เกิดประโยชน์ในการป้องกันยาเสพติด อาทิ แจ้งเบาะแสเรื่องแหล่งซื้อขายยาเสพติด บุคคลเฝ้าระวัง สามารถส่งข้อมูลผ่านทวิตเตอร์และจะช่วยสงวนแหล่งข่าวได้ด้วย
“บางทีเรามองว่า เด็กจะเข้าหาตำรวจ หรือเดินไปโรงพักเกิดขึ้นยาก โดยเฉพาะชุมชน ทุกคนสนิทกันหมดในชุมชน พ่อ แม่ พี่น้อง ลุง ป้า น้า อา ถามว่าใครจะบอกหลานไปเล่นยาเสพติด หรือถ้าบอกแล้วรู้ว่า ใครเป็นคนให้เบาะแสก็อันตรายอีก ตั๊นคิดว่า การใช้ทวิตเตอร์เป็นทางที่จะเชื่อมโยงให้เข้าถึงเยาวชนได้ง่ายขึ้น เป็นโครงการของกรรมาธิการตำรวจจับมือกับตำรวจนครบาลนำร่องให้ครบ 88 โรงพัก เพื่อนขยายออกไปตามภูธรทั่วประเทศ”
ลุยเป็นที่ปรึกษาของบประมาณ ท่ามกลางความขาดแคลนของตำรวจ
โครงการต่อมาของคณะกรรมาธิการการตำรวจที่เธอลงช่วยบูรณาการคือ สวัสดิการความเป็นอยู่ของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ล่าสุดเพิ่งประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบรถกระบะให้โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บ้านยางโพรง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บ้านคลองวาย ตำบลปากฉลุย อำเภอวิภาวดี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ขาดยานหนะในการเดินทาง
เธอให้เหตุผลว่า นอกเหนือตำรวจตระเวนชายแดนต้องดูแลเด็กนักเรียนแล้ว ยังต้องดูแลประชาชน พ่อแม่พี่น้องที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงโรงเรียน ส่วนใหญ่ครูตำรวจตระเวนชายแดนจะต้องใช้รถของตัวเอง น้ำมันตัวเอง เบิกหลวงไม่ได้ เราเลยคิดว่า ต้องมีรถ เบื้องต้นได้ 2 คัน จึงลงแค่ 2 โรงเรียนก่อน ทั้งหมดมี 100 กว่าโรงเรียน จำเป็นต้องปรึกษากับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นแม่งานเขียนของบประมาณปี 2565 ให้ชัดเจนไปถึงรัฐบาล
จิตภัสร์ยืนยันว่า ยุคนี้เราคุยกันแล้วในฐานะกรรมาธิการการตำรวจ เชิญกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนมาพูดคุยว่า สิ่งที่ขาดแคลน หรือสิ่งที่ต้องการคืออะไร จะมานั่งรอให้คนบริจาคอย่างเดียวเหมือนในอดีตคงไม่ได้ เท่าที่สังเกตจะเห็นว่า บางหน่วยงานเขียนของบประมาณไม่เป็น ดังนั้น ในฐานะคณะกรรมาธิการการตำรวจจะช่วยผลักดัน แต่ต้องมาคุยกันว่า ขาดแคลนอะไร แล้วตรงไหนที่เราจะเสนอแนะให้เขียนไปในการของบประมาณ
ศึกษาเรื่องการปฏิรูปองค์กรสีกากี ทางที่ดีควรปล่อยคนในแก้กันเอง
อีกเรื่องเป็นปัญหาหลักที่จิตภัสร์เห็นว่า ตำรวจกำลังประสบ คือ อัตรากำลังพลไม่เพียงพอ และเบี้ยเลี้ยงที่ยังน้อยอยู่ กรรมาธิการการตำรวจได้ศึกษาเพิ่มเติมพบว่า ขาดแคลนจริง อยากริเริ่มโครงการ 1 ตำรวจ 1 โรงเรียน ให้ตำรวจดูแลรับผิดชอบพื้นที่ครอบคลุมมากกว่าปัจจุบัน แต่ต้องไปหารือกับสำนักงานข้าราชการพลเรือน เนื่องจากเป็นนโยบายภาพรวม สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำเองไม่ได้ คณะกรรมาธิการการตำรวจถึงรับเรื่องมาทำแทน
สุดท้ายเป็นเรื่องการปฏิรูปตำรวจที่กำลังพิจารณาจริงจังในที่ประชุมรัฐสภา เธอบอกว่า อาจต้องมีการตั้งคณะกรรมการศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องการปฏิรูปตำรวจ เรายังไม่ได้เข้าไป ส่วนตัวเชื่อว่า ไม่น่าจะต้องปฏิรูปอะไรมาก องค์กรของใครคงไม่อยากให้คนอื่นเข้ามาวุ่นวาย
“จริง ๆ เราควรต้องปล่อยให้คนในองค์กรเดียวกันทำเองดีที่สุด คิดว่าควรจะเป็นอย่างนั้น เราอาจเป็นปากเสียงช่วยรับฟังในสิ่งที่ตำรวจต้องการมากกว่า” รองประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจว่า
วาดฝันเป็นนายกรัฐมนตรีหญิง แต่ความจริงต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม ห้วงเวลากระแสที่ผ่านมา จิตภัสร์มั่นใจอย่างหนึ่งว่า จะสามารถเปลี่ยนความคิดของตำรวจไม่ให้มีอคติกับเราได้ เพราะเราอาสามาทำงานในจุดนี้ ทว่าจะเปลี่ยนความคิดหมดทุกคนได้หรือไม่ คงไม่ได้เช่นกัน เนื่องจากยังมีขบวนการใส่ร้ายป้ายสี หรือบิดเบือน มองว่า มีทุกวงการ การเมืองก็มี ตำรวจก็มี ทุกสังคมมีหมด เพียงแค่เราพยายามจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับองค์กรตำรวจให้ได้มากที่สุด ทำให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนด้วย
“ไม่ได้เสียใจที่ถูกมองด้านลบ มองเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ตั๊นอยู่กับการเมืองมาตั้งแต่อายุ 20 กว่า กลายเป็นเรื่องการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมืองที่มันล้างยังไงก็ไม่หมด เพราะนี่คือ การเมือง นี่คือ สีสันของการเมือง พาลไปถึงองค์กรตำรวจและเกี่ยวข้องกับตัวเรา ถึงทางบ้านเรา แต่ตั๊นตั้งมั่นแล้วว่า อยากจะทำงานเพื่อประชาชน เฉกเช่นความฝันวัยเด็กที่อยากเป็นนายกรัฐมนตรี ทุกคนย่อมมีความฝันได้ แต่ต้องพยายามทำวันนี้ให้ดีที่สุด ให้เต็มที่ อยู่กับปัจจุบัน ทำงานเพื่ออนาคต” เจ้าตัวน้ำเสียงจริงจัง
จะว่าไปแล้วชีวิตของเธอสนใจเรื่องการเมืองมาตั้งแต่วัยเด็ก หลังจากไปศึกษาต่อที่โรงเรียนเวสตันเบิร์ต โรงเรียนประจำหญิงล้วนที่ประเทศอังกฤษจนจบชั้นมัธยมศึกษา ก่อนต่อระดับปริญญาตรีสาขาวิชาภูมิศาสตร์จากคิงส์คอลเลจ ลอนดอน “อาจเป็นคนคิดแบบเด็ก ๆ ที่ตั๊นเห็นความแตกต่างระหว่างบ้านเมืองที่อังกฤษกับเมืองไทย พอกลับมาถึงมีแนวคิดอยากทำงานเพื่อสังคม อยากเกิดความเปลี่ยนแปลง เชื่อในความฝัน ความทะเยอทะยาน ความคิดที่อยากจะเปลี่ยนแปลงให้สังคมดีขึ้น น่าอยู่ขึ้น พัฒนามากขึ้น”
ดีใจในฐานะผู้แทนราษฎร ได้สะท้อนมุมมองของชาวบ้าน
เธอเริ่มต้นเป็นนักศึกษาฝึกงานอยู่แผนกข่าวการเมืองหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ประจำพรรคชายไทยพัฒนา ยุครัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้เกิดซึมซับเรื่องการเมือง พอมีโอกาสเข้าไปทำงานในพรรคประชาธิปัตย์ คลุกคลีสะสมประสบการณ์จนได้เป็นผู้แทนราษฎรเดินอยู่บนถนนสายการเมืองนับตั้งแต่บัดนั้น
“เวลาตั๊นได้ทำงาน แล้วได้เห็นจริงๆ ว่า สิ่งที่เราทำ มันทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ มันเป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกดี ที่ตั๊นได้ช่วย ได้แบ่งเบาภาระ ถึงแม้ว่าอาจจะเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ แค่จุดเล็กๆ แต่ตั๊นได้เห็นแล้ว ตั๊นก็ดีใจ เชื่อมั่นว่า ในฐานะผู้แทนราษฎร ทำงานอยู่ในสภาสามารถที่จะผลักดันหลายๆ ปัญหา ญัตติที่เสนอเข้าไป เพื่อจะแก้ไขกฎหมาย เพื่อประชาชน”
เจ้าตัวย้ำว่า บางอย่างเราได้เป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชน จะเห็นได้ชัดช่วงระยะเวลาที่มีรัฐบาลเกิดจากการปฏิวัติ ประชาชนจะไม่ค่อยมีช่องทางการสื่อสารกับผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันปัญหา หรืองบประมาณที่จะมาแก้ไขปัญหา พอเราในฐานะผู้แทนราษฎร เราสามารถเป็นปากเป็นเสียงให้
ยากหยุดความแตกแยก ต้องแลกกับนักการเมืองรุ่นใหม่
รองเลขาธิการพรรรคประชาธิปัตย์มองความแตกแยกระหว่างการเมืองกับความคิดเห็นของสังคมปัจจุบันว่า การจะทำให้หยุดความแตกแยกค่อนข้างยาก ยังมีระดับหัวๆ ไม่กี่คนปั่นกระแสอยู่เรื่อยๆ ทั้งที่ถ้าร่วมมือกันประเทศจะเดินหน้ามากกว่านี้ เชื่อว่า ทุกคนมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็น แต่ขอว่า อย่าให้เป็นการชักจูง ยิ่งเป็นการแสดงออก เรื่องความคิดเห็นทางการเมือง เป็นเรื่องดี ที่ทำให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์
นักการเมืองสาวเห็นว่า ปัจจุบันเด็กสนใจการเมืองกันมากขึ้น ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องสภา การประชุมสภา ญัตติที่ผ่าน เป็นสิ่งที่ดี ทำให้การเมืองเข้มแข็งขึ้น และไม่ใช่แค่การเมือง แม้แต่องค์กรไหนก็ตาม สมควรแล้วที่จะได้รับการตรวจสอบจากภาคประชาชนด้วย ไม่ใช่ว่าเราจะทำอะไรของเราไปก็ได้ พรรคการเมิอง นักการเมืองจะต้องปรับตัว เพราะยุคนี้เป็นยุคที่เด็กหน้าใหม่เข้ามาสภาเยอะมาก 70-80 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้แทนสมัยแรก
“เด็กรุ่นใหม่ที่เข้ามาจะมีไฟ ตั๊นก็ยังมีไฟที่จะทำงาน ที่จะลุยเชิงรุก ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี อย่างพรรคก้าวไกลที่เข้ามาแล้วอภิปรายได้ดีมีหลายคน เมื่อก่อนตอนตั๊นเข้าสภาสมัยแรก ผู้ใหญ่บอกว่า ไม่ต้องห่วงนะ ยังไม่ต้องอภิปรายอะไร เพราะปกติต้องรออย่างน้อยเปิดประชุมครั้งที่ 3 ถึงจะให้พูด พอก้าวไกลขึ้นปั๊บอภิปรายเลย ทำให้เราต้องฝึกตัวเอง ขึ้นไปพูดด้วย เราจะมานั่งให้ผู้ใหญ่พูด ไม่ได้แล้ว”
ขอเป็นปากเสียงให้ทัพปทุมวัน ร่วมผลักดันแก้ปัญหาอยู่เคียงข้างกัน
ทิ้งท้าย จิตภัสร์อยากจะฝากถึงตำรวจด้วยว่า ขอเป็นกำลังใจให้ข้าราชการตำรวจทุกท่าน ทุกนาย ไม่ว่าจะชั้นสัญญาบัตร หรือชั้นประทวน เข้าใจในการทำงานที่เหนื่อย เสียสละ และทุ่มเทเพื่อประชาชน หวังว่า กรรมาธิการการตำรวจยุคนี้ จะสามารถช่วยเหลือได้ เป็นปากเป็นเสียงให้กับข้าราชการตำรวจ เพราะเราตั้งใจจะทำงานเชิงรุกแบบไม่เคยมีกรรมาธิการการตำรวจลงพื้นที่ไปรับฟังให้ถึงปัญหาแล้วแก้ไขปัญหาตรงจุดนั้น
รองประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจขยายความอีกว่า ในอดีตส่วนใหญ่จะนั่งแล้วเรียกมาตรวจสอบ ให้เข้ามาชี้แจง หรือมาตรวจสอบข้าราชการตำรวจ บางทีตำรวจไม่ค่อยชอบ สำหรับเรายืนยันว่า ไม่ได้มาจับผิด ทุกครั้งที่ลงพื้นที่จะบอกเสมอว่า ไม่ได้มาจับผิดกัน โชคดีได้รับความร่วมมือจากตำรวจส่วนใหญ่กรรมาธิการการตำรวจที่จริงมีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และกฎระเบียบของรัฐสภา ทำงานตรวจสอบเกี่ยวกับกิจการตำรวจทั้งหมด ช่วยกันผลักดันเรื่องต่างๆ ที่ยังเป็นปัญหา
“ ตั๊นรู้ว่าตอนนี้ตำรวจมีปัญหาเรื่องงบประมาณไม่เพียงพอ และกำลังพลที่ขาดแคลน พวกเราพยายามจะศึกษาเพิ่มเติม หาช่องทางให้ในทางนิติบัญญัติ ผลักดันให้เท่าที่ทำได้ แต่ต้องขอความร่วมมือจากตำรวจด้วย เรื่องการเขียนของบประมาณ ต้องเริ่มตั้งแต่ระดับกองบัญชาการขึ้นมาตามขั้นตอน ถ้าไม่ได้เรียกร้อง หรือเขียนขอขึ้นมา ในที่สุดก็ไม่ได้”
สยบข่าวลือพัวพัน “บิ๊ก ตร.” ขอใช้เวลาพิสูจน์ตัวเอง
ปิดด้วยคำถามคลายข้อกังขาของโลกโซเชียลที่มีข่าวลือพัวพันสนิทสนมอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เรื่องนี้ เธอตอบด้วยสีหน้าบ่งอารมณ์ดีว่า เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่นับถือกัน ทำงานร่วมกัน แต่มีคนไปสร้างกระแสข่าว สังเกตได้ว่า นักการเมืองผู้หญิงจะเป็นแบบนี้ โดนป้ายสีใส่ความ ทำลายชื่อเสียง ส่วนตัวคิดว่า อาจจะเป็นฝีมือกลุ่มเดียวกับที่ปล่อยภาพหญิงสาวถีบป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้วโยงเป็นเรา เชื่อมั่นว่า น่าจะเป็นขบวนการเดียวกัน ส่วนจะเป็นใคร คงไม่ต้องพูดหรอก ยิ่งคนในวงการ ยิ่งน่าจะรู้ว่าเป็นใคร
“ตั๊นคิดว่า น่าจะใช้ตั๊นเป็นทางผ่าน เพื่อจะไปถล่มนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ตั๊นว่ามันก็อาจจะเกี่ยวข้องกัน แค่อาจจะเป็นไปได้ ตั๊นคิดว่าอย่างนั้นนะ เข้าใจเรื่องแบบนี้ แล้วถ้าจะให้พูดภาพรวม ตั๊นก็ยังไม่เห็นนักการเมืองหญิงคนไหนที่จะไม่โดนเรื่องอะไรทำนองนี้ ไม่ว่าจะคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ หรือ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัฒน์ก็โดน”
“สำหรับตั๊น ขอทำงานในส่วนของตั๊น แล้วก็พิสูจน์ตัวเองไป ตั๊นว่า ถ้าไม่มีมาร บารมีอาจจะไม่เกิดก็ได้” จิตภัสร์ ตั๊น กฤดากร นักการเมืองสาวสวยอนาคตไกลมีความเชื่อแบบนั้น