“อย่างน้อยโลกก็เปิดกว้างให้ผู้หญิงทัดเทียมกับผู้ชาย” 

 

ชีวิตคนเราถูกพรหมลิขิตขีดทางเดินไว้แล้วจริงหรือ

แม้ไม่ได้อยากเลือก แต่เหมือนถูกเลือกให้เป็นตามบัญชาของเบื้องบนแบบนั้นไหม

เรื่องราวของ ผู้กองปาล์ม ...หญิง ปิยาภรณ์ แก้วมณีโปรด รองสารวัตร (สอบสวน) กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม ถึงไม่ต่างกับการเดินตามความฝันที่มันไร้ความจริง

จำเป็นต้องอยู่กับปัจจุบันและมองไปข้างหน้าเพื่ออนาคต

อนาคต ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แบบอย่าง ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เยี่ยง ผู้บังเกิดเกล้า 

ลูกสาวอดีตนักรบชายแดน นักเรียนแลกเปลี่ยนบินไปต่างแดน

นายตำรวจสาวสวยนัยน์ตาคม ผิวเข้มผู้นี้เป็นชาวเมืองสตูล ทายาท ร.ต.อ.พิภพ แก้วมณีโปรด นายร้อย 53 อดีตตำรวจนักรบป่าวันเกษียณสังกัดกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 436 กับครูสาวิตรี แก้วมณีโปรด ประจำโรงเรียนอนุบาลทักษิณสยาม  เป็นลูกคนที่ 3 ของบ้านในบรรดาพี่น้อง 4 คน มีความใฝ่ฝันวัยเด็กอยากเป็นหมอ หรือเภสัชกร

จบมัธยมโรงเรียนจุฬาภรณ์วิทยาลัย จังหวัดสตูล สมัยอยู่ชั้นมัธยม 5 มีโอกาสไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเยาวชนตามโครงการเอเอฟเอส ได้รับทุนนักเรียนมุสลิม  (YES) ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา บินข้ามโลกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์อยู่รัฐเซาท์แคโรไลนาเป็นระยะเวลา 1 ปี  เจ้าตัวเล่าว่า มีแค่ 20 ทุนในแต่ละปีทั่วประเทศ  ที่ได้โอกาสเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกคนเดียว ถือเป็นประสบการณ์ทำให้เรากล้ามากขึ้น ไปอยู่ครอบครัวชาวอเมริกัน เรียนไฮสคูลราว 11 เดือน

“อยู่ที่อเมริกาเรียนรู้หลายอย่าง ได้ใช้ชีวิตตามแบบของตัวเอง แต่ต้องปรับตัวให้อยู่กับพวกเขาได้ ด้วยความที่เราไม่เคยออกต่างประเทศ ต้องไปอยู่กับคนแปลกหน้า มักจะมีกิจกรรมให้ทำเสริมไประหว่างเรียน  ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหาร เหมือนว่าต้องหาเงินเป็นรายได้เสริมไปในตัวด้วย” ผู้กองปาล์มย้อนอดีต

 

กลับมาพร้อมกับความฝันใหม่  คิดไกลอยากทำงานสถานทูต

ห้วงระยะเวลาในต่างแดนอีกซีกโลกของบ้านเกิดผ่านไปอย่างรวดเร็ว นักเรียนสาวทุนแลกเปลี่ยนบินกลับมาเมืองไทยทว่าต้องเรียนซ้ำชั้นมัธยมปีที่ 6 อีกครั้ง  เนื่องจากตัวเองเรียนสายวิทยาศาสตร์ ไม่เหมือนสายศิลป์ที่พาสจบได้เลย ถึงกระนั้น เธอสามารถโอนเกรดจากที่อเมริกามาเทียบบางตัวเพื่อจะจบการศึกษาให้ทันพร้อมเพื่อนร่วมรุ่นในปีเดียวกัน

ร.ต.อ.หญิง ปิยาภรณ์ยอมรับว่า หลังจากกลับเมืองไทยความฝันและความตั้งใจยังเหมือนเก่า  อยากเรียนหมอ หรือเรียนเภสัชกร ที่เพิ่มมา คือ อยากเรียนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไปทำงานสถานทูต เพราะมีรุ่นพี่ในโครงการแลกเปลี่ยนสมัครสอบเข้าสถานทูตได้ ทำให้รู้ว่า มีช่องทางตรงนี้เหมือนกันถึงเกิดแนวคิดจะหาที่เรียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในมหาวิทยาลัย จบออกมาจะได้เลือกสมัครงานในสถานทูต ไม่ได้มีความคิดอยากเป็นตำรวจแม้แต่น้อย ทั้งที่พ่อเป็นตำรวจตระเวนชายแดน

“ปาล์มมองว่าไปทางนี้ได้ก็น่าสนใจ ถ้าไม่วิทยาศาสตร์สอบหมอ สอบเภสัชกรศาสตร์แบบสุดโต่งก็จะไปทางศิลป์  ด้วยเพราะมีประสบการณ์ด้านภาษา งานสถานทูตเหมือนออกแนวศิลป์ภาษาไปเลย แต่สุดท้ายพลิกผัน มาสอบตำรวจให้พ่อก่อน เนื่องจากพ่อแอบไปซื้อใบสมัครโรงเรียนนายร้อยตำรวจแถมทำเรื่องยื่นให้เสร็จสรรพ ชีวิตที่ปาล์มไม่กล้าขัดความตั้งใจของพ่อ”

เธอว่า นี่คือ จุดพลิกผันของชีวิต  พ่ออยากให้ลูกสาวเป็นตำรวจ เพราะตัวพ่อไม่ได้เป็นชั้นสัญญาบัตรมาก่อนเลยอยากให้ลูกมาสอบดู แม้เราไม่อยากเป็น แต่ก็สอบติด เพราะเราทำเต็มที่ ตั้งใจสอบจริงจังไม่ได้ทิ้ง หรือกามั่ว สอบแบบว่า เอาไว้ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ เตรียมสอบคณะเภสัชศาสตร์ ทำไปทำมาต้องมาสอบตำรวจ ไม่ได้อ่านแนวสอบนักเรียนนายร้อยตำรวจด้วยซ้ำ

ชีวิตพลิกผันสู่รั้วสามพราน ส่วนหนึ่งของตำนาน นรต.หญิง

ติดเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 69 เทียบเท่านักเรียนนายร้อยตำรวจหญิงรุ่นที่ 4 ในประวัติศาสตร์รั้วสามพราน เธอต้องทิ้งทางเดินตามฝันที่จะสอบเข้าเภสัชศาสตร์เปลี่ยนแปลงตัวเองไปหันฟิตร่างกายเข้าสวมเครื่องแบบนักเรียนนายร้อยตำรวจหญิงร่วมชีวิตอยู่กับนักเรียนนายร้อยตำรวจชายหลายร้อยนายภายในอาณาจักรแดนดาว

“ไม่เคยออกกำลังกาย ไม่เคยฝึกอะไรเลย เล่นกีฬาบ้างตอนแรกช็อกอยู่เหมือนกันว่า ทำไมฝึกอะไรขนาดนี้ ทั้งวิชาการ แล้วก็ออกกำลัง ตื่นเช้ามาวิ่ง เย็นวิ่ง  มีธำรงวินัย ฝึกบุคคลท่ามือเปล่า กับอาวุธ ยิงปืน เหนื่อยนะ ถามว่า แรกๆ ถอดใจไหม ไม่นะ แค่อยากกลับบ้าน  ไม่ได้อยากลาออก เหนื่อยเฉย ๆ พอผ่านช่วง 1 เดือนแรกที่ทดสอบจิตใจ  เริ่มทนได้ ระยะเริ่มต้นเหมือนให้ไปรู้ก่อนว่าจะต้องเรียน ต้องฝึกอะไร”

ร้อยตำรวจเอกหญิงเล่าอีกว่า ช่วงนั้นในรุ่นมีนักเรียนนายร้อยตำรวจหญิงทนไม่ไหวลาออกไป 2 คน มือถลอกปอกเปิก พ่อแม่ไม่โอเค แต่สำหรับเราไม่มีปัญหา เพราะพ่ออยากให้เป็นอยู่แล้ว ประกอบกับเราไม่ได้ยื่นสมัครสอบที่อื่นไว้ด้วย จำเป็นต้องไปต่อ อย่างน้อยมีอนาคต ได้รับข้าราชการ ไม่ต้องกังวลว่า จบมหาวิทยาลัยแล้วจะมีงานทำหรือไม่

 

อดทนฝึกหนักไม่นานปรับตัว แม้การเป็นตำรวจไม่เคยอยู่ในหัว

ผู้กองปาล์มสารภาพว่า  ก่อนหน้าไม่ได้ถามเรื่องชีวิตการเป็นตำรวจจากพ่อ มีแค่สมัยตอนเด็กได้สัมผัสที่ค่ายตำรวจตระเวนชายแดนในป่าซาไกกับพ่อบ้าง ไม่เคยรู้ว่า เรียนตำรวจยังไง ฝึกยังไง เพราะไม่ได้สนใจทางนี้ตั้งแต่ต้น มุ่งในทางที่เราสนใจที่วาดหวังวางผังอนาคตไว้ การเป็นตำรวจไม่เคยอยู่ในหัวมาก่อน  อยู่โรงเรียนนายร้อยตำรวจพอปรับตัวได้ก็เริ่มชิน แม้เหนื่อยบ้าง

“ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจหลักสูตรบางหลักสูตรในมหาวิทยาลัยไม่มี อาทิ วิชาป้องกันตัว การฝึกยุทธวิธี การยิงปืน มีฝึกสวนสนาม ปาล์มรู้สึกว่า เหมือนได้อะไรมากกว่าคนทั่วไปที่ไม่ได้โอกาสเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และไม่ได้รู้สึกแปลกที่เป็นผู้หญิงอยู่ในกลุ่มผู้ชาย  ใหม่ ๆ ยังไม่ชิน คิดว่า ทำไมอยู่กันอย่างนี้ แต่หลังๆ ก็ชิน กลายเป็นติดนิสัยผู้ชาย มาบางครั้งด้วย ไม่ได้อะไรแบบผู้หญิง เครื่องสำอางบำรุงผิวก็ไม่ได้ใช้”

ตลอดระยะเวลา 4 ปี ในชีวิตนักเรียนนายร้อยตำรวจ ผู้กองสาวไม่เคยลืมความทรงจำที่ได้ฝึกหลักสูตรมากมายในแต่ละภาคเรียน นับว่ามีความแตกต่างกับสถาบันอุดมศึกษาอื่น เพราะต้องอยู่ประจำอยู่โรงเรียนที่สำหรับสร้างบุคลากรตำรวจให้ครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นวุฒิศึกษา พลศึกษา และจริยศึกษา ได้ทั้งความรู้ในวิชาชีพตำรวจ ด้านร่างกาย บุคลิกภาพ คุณลักษณะ และทักษะที่เหมาะสมกับอาชีพตำรวจ  ตลอดจนคุณธรรมจริยธรรมในอาชีพตำรวจ

 

ลงสนามฝึกประสบการณ์ ประเดิมสถานการณ์จริงบนโรงพัก

ตอนอยู่ปี 3 นายร้อยตำรวจสาวมีโอกาสไปลงสนามฝึกงานสายป้องกันปราบปราม และสืบสวนในพื้นที่ภูธรจังหวัดเพชรบูรณ์ นำยุทธวิธีที่ร่ำเรียนมาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจประยุกต์ใช้กลับสถานการณ์จริงที่บางครั้งไม่ได้ตรงตามแบบตำราเรียน ยกตัวอย่าง ออกปฏิบัติการตรวจค้น การควบคุมผู้ต้องหา ในทฤษฎีมีแค่หลักการ แต่จำเป็นต้องใช้หลักจิตวิทยา หลักปฏิบัติเฉพาะหน้าเสริมเข้าไปด้วย

“ตื่นเต้น แต่สนุก คิดว่า ชีวิตตำรวจที่แท้จริงอันตรายเหมือนกัน ออกไปจับผู้ร้าย พวกคดียาเสพติดที่เพชรบูรณ์ ขณะเดียวกันยังได้ฝึกงานจราจร อำนวยความสะดวกบนท้องถนนไปฝึกทุกหน้างาน กระทั่งขึ้นปี 4 ฝึกงานสายสอบสวนโรงพักบางยี่เรือ ทำสำนวนคดีที่หัวหน้ามอบหมาย ส่วนหนึ่งยังได้ประสบการณ์สอบปากคำคดีประมงผิดกฎหมายที่คณะทำงานสืบสวนสอบสวนของกองบัญชาการตำรวจนครบาลรับผิดชอบอยู่ด้วย” ร.ต.อ.หญิง ปิยาภรณ์ว่า

เรียนจบออกมาบรรจุลงเป็นพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลสุทธิสาร ทำคดีทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทำร้ายร่างกาย ยาเสพติด ฉ้อโกง ยักยอกทรัพย์ รวมถึงฆาตกรรม ลัก วิ่ง ชิง ปล้น แม้ไม่ได้มีคดีใหญ่โตมากนัก เธอรู้สึกว่า การเป็นพนักงานสอบสวนได้เรียนรู้ชีวิตคนแต่ละคนที่มีปัญหาแตกต่างกันไปให้ได้ช่วยแก้ไข บางรายไม่ได้เจตนามาแจ้งความ แค่ขอคำปรึกษา บางทีหนุ่มสาวทะเลาะกันจะเลิกรากันก็เข้ามาปรับทุกข์

 

ไม่มองแบ่งแยกหญิงชาย ก่อนย้ายติดอาร์มกองปราบปราม

แบบฉบับนายตำรวจสาวอย่างเธอสะท้อนภาพในเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์หญิงตามมุมที่เห็นว่า ด้วยความเป็นตำรวจ ชาวบ้านขึ้นโรงพักมาไม่รู้หรอกว่า วันนี้พนักงานสอบสวนจะเป็นผู้หญิงเข้าเวร ส่วนเราก็ไม่มีสิทธิเลือกเช่นเดียวกัน บางทีเจอผู้ต้องหาเมายาเสพติด เราต้องเรียนรู้ว่า จะควบคุมสถานการณ์อย่างไร บางวันยกพวกตีกันวัยรุ่น 3-4 คน เด็กไม่ยอมกลับบ้าน พ่อแม่มาตาม ทำให้ได้เห็นมุมมองของสังคม หลากหลายแบบ เป็นพนักงานสอบสวนรับหมดทุกคดี ไม่ได้รับแต่คดีทางเพศ เพราะคนน้อยต้องทำหมด

“การเป็นตำรวจหญิงปรับตัวเข้ากับตำรวจผู้ชายไม่เป็นปัญหา เพราะถูกฝึกและเรียนมาเหมือนกัน เพื่อนที่ทำงานอยู่ที่เดียวกันมักมาแชร์ความรู้ บางทีมาแชร์ปัญหาว่า แบบนี้ต้องทำอย่างไร บางทีเราก็ถามเขา ไม่ได้แบ่งว่า เราเป็นผู้หญิงแล้วจะด้อยกว่า หรือมีความรู้น้อยกว่า เขาอาจจะรู้เยอะกว่าในบางเรื่อง และเราก็อาจจะรู้เยอะกว่าเหมือนกันในบางเรื่อง อย่างน้อยโลกก็เปิดกว้างให้ผู้หญิงทัดเทียมกับผู้ชาย”

ทำสำนวนอยู่โรงพักนครบาลนาน 3 ปี มีนายตำรวจรุ่นพี่เห็นแววจึงชวนย้ายมาติดอาร์มกองปราบปรามตำแหน่งพนักงานสอบสวน กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามที่กำลังขาดแคลนพนักงานสอบสวนประเดิมทำสำนวนคดีแอบอ้าง พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช สมัยยังเป็นผู้บังคับการปราบปราม นั่งทำหน้าที่ร้อยเวรคดีแรก มีนายตำรวจรุ่นพี่ช่วยประคองสอนทักษะในการทำงานสอบสอบตามสไตล์ของกองบังคับการปราบปรามที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน

 

ย้อนผลัดแรกเผชิญคดีใหญ่ ภาพความทรงจำประทับใจไม่ลืม

คดีดังกล่าวแถลงข่าวใหญ่ดังครึกโครม แม้เป็นฟันเฟืองเล็กในสำนวนการสอบสวน แต่ร้อยตำรวจเอกหญิงกองปราบปรามไม่ลืม หลังจากมีการติดตามจับกุมผู้ต้องหารายหนึ่ง พร้อมของกลางปืนออโตเมติกหลายกระบอก เงินสดอีก 7 ล้านบาท ยาไอซ์อีกจำนวนหนึ่ง ยึดได้จากรถเบนซ์ ป้ายแดง บริเวณอาคารจอดรถสนามบินดอนเมืองนำตัวมาสอบสวนขยายผลได้ข้อมูลก่อนหน้าว่า มีผู้ต้องสงสัยแอบอ้างตัวเป็นผู้การกองปราบขับรถเบนซ์ป้ายแดงไปฝากจอดที่อาคารจอดรถสนามบินดอนเมืองสงสัยน่าจะมีสิ่งผิดกฎหมายซุกซ่อนอยู่

พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผู้บังคับการปราบปรามในสมัยนั้นทราบเรื่องรีบสั่งการให้ชุดสืบสวนตรวจสอบทันที ก่อนเฝ้าสังเกตการณ์ทราบต่อมาเป็นรถติดทะเบียนแดงกำลังขับออกมาจากอาคารที่จอดรถ ภายในประเทศ เจ้าหน้าที่แสดงตัวเข้าตรวจค้นพบของกลางดังกล่าว  สอบสวนเบื้องต้นให้การปฏิเสธ อ้างทำธุรกิจเกี่ยวกับซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ส่งให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่จังหวัดเลย นอกจากนี้ยังทำธุรกิจเกี่ยวกับรถตู้โดยสารประมาณ 50 คัน  ทำให้เวลาไปไหนมาไหนต้องมีปืนไว้เพื่อป้องกันตัวและทรัพย์สิน  และเพิ่งไปรับเงินที่ขายสลากจากลูกค้ามา

ส่วนสาเหตุที่อ้างตัวเป็นผู้การกองปราบ ผู้ต้องหารับเพื่อความสะดวกต่อการพกพา หรือขนย้ายสิ่งผิดกฎหมาย พล.ต.ต.จิรภพจึงมอบหมายให้พนักงานสอบสวนกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม ที่มีผู้กองปาล์มเข้าเวรวันแรก ผลัดแรก สวมเครื่องแบบติดอาร์มรวมอยู่ในคณะขอหมายค้นศาลอาญาและศาลจังหวัดมีนบุรี เข้าตรวจค้นบ้านพัก บริษัท และคอนโดมิเนียมของผู้ต้องหารวม 4 จุด ยึดของกลางที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมไปประกอบสำนวนคดี

 

ยังรับเก็บเกี่ยวงานสอบสวน แต่มีคนชักชวนร่วมหน่วยหนุมาน

หลังจากคดีนั้น เธอเข้าไปส่วนหนึ่งของทีมสอบสวน และยังร่วมทำสำนวนคดี พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ ผู้ต้องหาคนสำคัญพัวพันฆาตกรรมอำพรางหลายศพ ผู้กองสาวทายาทอดีตนักรบชายแดนคิดว่า การได้มาเป็นตำรวจกองบังคับการปราบปราม ทำให้เห็นศักภาพการทำงานของบุคลากรในหน่วยที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้านไม่น้อย ตั้งแต่การสืบสวนที่ลงลึกไปในรายละเอียด เป็นวิทยาทานสอนเราได้ ถ้าเราอยากรู้แค่เดินไปหา รุ่นพี่จะแนะนำ สอนเรา ส่วนงานสอบสวนก็มีคนเก่ง เหมือนกันว่า กองปราบปราบคนมีฝีมือทุกด้าน อยู่ที่เราจะมุ่งไปด้านไหน อยากเดินไปทางใด

ร.ต.อ.หญิง ปิยาภรณ์คาดหมายบนเส้นทางอาชีพของตัวเองว่า ปัจจุบันยังศึกษาและเก็บเกี่ยวงานด้านสอบสวนอยู่ อนาคตไม่แน่นอน ยิ่งตำรวจหญิงน้อยรายจะไปอยู่สายงานหลักคุมกำลัง เช่น เติบโตในงานสืบสวน ปราบปราม แม้เคยโดนทาบทามให้ไปอยู่หน่วยหนุมาน กองกำกับการสนับสนุน กองบังคับการปราบปรามเหมือนกัน แต่ยังไม่ได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ

เจ้าตัวเชื่อว่า อาจด้วยเพราะชอบยิงปืน มีโอกาสไปงานยิงปืนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่จัดขึ้นแต่ละปี ตั้งแต่จบมาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ พอมาเจออาจารย์ดีอย่างครูอุ้ม-พล.ต.ต.ภาสกร สถิตยุทธการ ที่มีความรู้และทักษะการยิงปืนมากมาย เห็นว่าเราตั้งใจก็คอยสอน คอยให้คำปรึกษา ตั้งแต่เรายังยิงปืนไม่ค่อยดี ทำให้เริ่มหันมาชอบที่จะยิงปืน ซ้อมสม่ำเสมอ อยากรู้อะไรตรงไหนก็ถามครู

 

วาดแผนศึกษาต่อเมืองผู้ดี  มีบิดาคอยห่วงใยไถ่ถามความรู้สึก

ความที่ชอบเหนี่ยวไกปืนเป็นชีวิตจิตใจในเวลาต่อมา เธอเริ่มมีความชำนาญเชี่ยวชาญในการแม่นปืนติดอันดับของหน่วย เพียงแต่ยังไม่ได้โอกาสลงสนามดวลเป้าทำคะแนนชิงถ้วยรางวัลในรายการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นอกจากทำหน้าที่เป็นกรรมการตัดสิน กระนั้นก็ตาม นายตำรวจสาวได้ชิงลางสนามยิงปืนของเอกชนอยู่บ้างในรายการที่กองพลทหาราบที่ 11 ครั้งแรกและครั้งเดียวคว้ารางวัลมาครองได้สำเร็จ พอเตรียมตัวจะเดินสายกลับเจอสถานการณ์ไวรัสโควิดแพร่ระบาดต้องหยุดชะงักไป

สำหรับเป้าหมายต่อไป ร.ต.อ.หญิง ปิยาภรณ์กำลังเตรียมบริหารเวลาเพื่อสอบเรียนปริญญาโทเกี่ยวกับงานตำรวจที่ประเทศอังกฤษ ปัจจุบันมุ่งมั่นอ่านหนังสือในเวลาที่ว่างเว้นไม่ได้เข้าเวรพนักงานสอบสวน ไม่ได้เรียกนัดพยานมาสอบปากคำ ทำให้แบ่งเวลาไปอ่านหนังสือเตรียมสอบได้เต็มที่ เป็นการสอบชิงทุน ขอทุนการศึกษาไปเรียนต่อปีเดียวจบ หากไม่ได้ค่อยเดินทางอื่นต่อ

ถามว่า การมาเป็นตำรวจพ่อแนะนำอะไรบ้างหรือไม่ ลูกสาวอดีตตำรวจตระเวนชายแดนบอกว่า ความรู้สึกของพ่อตั้งแต่เราสอบติด ดีใจมากกว่าเราด้วยซ้ำ  แต่พ่อไม่ค่อยได้พูดเยอะ พอเห็นเราเหนื่อย พ่อถึงจะถามด้วยความเป็นห่วงว่า ไหวไหม ต้องอดทนทำไปตามหน้าที่รับผิดชอบ บางทีเราเครียด พ่อจะให้คำปรึกษาบ้างว่า ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ด้วยความที่เราเป็นคนชอบเครียด คิดเยอะในแต่ละมุมของชีวิตที่เผชิญอยู่ พ่อจะบอกมาแล้วให้เราคิดต่อเอง

 

ชอบคิดแก้ปัญหาแทนคนอื่น อยากเอาความรู้อื่นมาช่วยคืนพัฒนาองค์กร

“เครียดเรื่องอะไรบ้างหรือ บางทีสมัยอยู่โรงพัก มีคนมาปรึกษาแล้วเราชอบคิดเรียบเรียงแทนเขาคิดจะคอยแก้ปัญหาให้ แรก ๆ ตอนลงไปทำงานถึงกับนอนไม่หลับ ต้องคิดว่า ทำอะไรให้เขาได้บ้างเพื่อคลายปัญหาได้สำเร็จเร็ว หรือติดขัดตรงไหน บางทีไปดูศพอุบัติเหตุรถชนตาย ชอบคิดว่า ลูกคนตายยังเล็กแล้วจะอยู่อย่างไร เก็บเอามาคิดอยู่ตรงนั้นว่าจะช่วยได้อย่างไรให้ได้ค่าประกัน ใช้หลักฐานอะไรบ้าง คิดเยอะ คิดแทนคนอื่น”

ผู้กองปาล์มบอกว่า ปัจจุบันดีขึ้นแล้ว เริ่มปล่อยวาง แต่มีเรื่องเครียดไปอีกแบบ มีเรื่องให้คิดตลอดเวลาในแต่ละหน้างาน คือ ไม่มีหน้างานไหนที่เราไม่ต้องคิดต่อ วางแผนต่อ เหมือนการวางเป้าหมายในอนาคต แค่ยังคิดว่าคงอยู่เป็นพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามไปก่อน ไม่อยากจะเปลี่ยนใจอะไรกว่าที่ทำอยู่เวลานี้

“จากที่ไม่เคยคิดจะเป็นตำรวจ แต่ตอนนี้มาเป็นตำรวจแล้ว ไม่อยากจะไปทำงานอื่น  เพราะไม่มีวุฒิอื่นแล้ว อันนี้ความจริง แต่ก็มีเป้าหมายที่เล็งเห็นไว้จากงานตำรวจ เป้าหมายระยะสั้น คิดว่าจะต้องไปเรียนต่อ แล้วพอกลับมาคิดว่า ความรู้ที่เราได้ตรงนั้น เราจะเอามาพัฒนาองค์กรยังไง เพราะเมื่อกลับมามันต้องได้ความรู้อยู่แล้ว หากปาล์มได้ทุนที่ตั้งใจ ต้องมีอะไรให้ทำต่อ เอามาต่อยอด” เจ้าตัวทิ้งท้าย

 

 

 

 

 

 

 

Reply, Reply All or Forward

RELATED ARTICLES