“ถ้าจะกลับต้องหาเงินมาไถ่ตัวแสนบาท” เขาถึงกับตะลึงในคำพูดตะคอกใส่ของขาใหญ่คุมบ่อน เมื่อตัวเขาไม่มีเงินติดตัวสักบาท
เพียงเพราะเผลอ ตกเป็นเหยื่อ ด้วยความคิดว่าจะมีอาชีพที่สร้างรายได้จุนเจือปากท้องเลี้ยงตัวเองและครอบครัวถึงพลาดท่าไป ตกนรก อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน
ชะตากรรมของเขาไม่ต่างคนไทยหลายชีวิตที่ถูกบังคับให้ร่วมขบวนการหลอกลวงคนไทยด้วยกันเองเข้าไปอยู่ในเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลางเมืองสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา
เขาตัดสินใจส่งข้อความถึงเพื่อนในเมืองไทยระบายความทุกข์ทรมานต้องการขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รัฐ
เรื่องราวทั้งหมดถึงมือ ชุดลาดตระเวนออนไลน์ กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 รวบรวมข้อมูลนำเสนอ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 เจ้าของฉายา “ฉลามร้ายแห่งชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก”
เหยื่อนรกในเขมรระบุว่า ได้รับการติดต่อจากนายบอม อายุประมาณ 27 ปี อยู่หมู่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ชักชวนให้ไปเป็นพนักงานกาสิโนในประเทศกัมพูชาร่วมกับพวกอีก 5 คน เสนอรายได้ให้ 20,000 บาทต่อเดือน ออกทางช่องทางธรรมชาติ
ต่อจากนั้น มีรถมารับ แต่ไปถึงแล้วกลับไม่เป็นไปตามข้อตกลง
เขาถูกบังคับให้ไปทำงานร่วมขบวนการหลอกลวง มีคนจีนเป็นหัวหน้า ให้แสดงบทเป็นผู้หญิงหลอก “คนไทยหัวอ่อน” เพื่อโอนเงิน
เจ้าตัวยืนยัน ไม่สมัครใจ และไม่อยากทำ ต้องการจะกลับบ้านที่ประเทศไทย แต่ไม่สามารถกลับได้เนื่องจากหัวหน้าที่เป็นคนไทยขาใหญ่คุมที่นั่นชื่อ “นายปอ” ข่มขู่
“ถ้าจะกลับต้องหาเงินมาไถ่ตัวแสนบาท”
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 รับทราบข้อมูลจัดแจงวางแผนด้วยการหาวิธีช่วยเหลือไถ่ตัวผู้เสียหายออกมาจากนรกประเทศเพื่อนบ้านสำเร็จ ทำให้รู้ข้อมูลและสายสนกลในของเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์แก๊งนี้เพิ่มเติม
พิสูจน์ทราบมี น.ส.อ้อยใจ โคตรรัมย์ อายุ 38 ปี กับ นายณัฐกร หรือ บอม ควงวงศ์ อายุ 28 ปี สามี หวานล้อมจะพาไปทำงานกาสิโนในประเทศเพื่อนบ้านฟรี รายได้ดี ก่อนมีรถมารับที่บ้านพักแล้วพาเดินเท้าออกจากประเทศไทยผ่านทางช่องทางธรรมชาติในเวลากลางคืน
เมื่อถึงพรมแดนชายขอบประเทศ มีคนกัมพูชา 3 คนนำเข้าไปพักที่บ้านหลังหนึ่ง กระทั่งเช้ามีรถยนต์เข้ามารับไปปอยเปตเพื่อต่อรถโดยสารไปยังเมืองสีหนุวิลล์ ถูกให้ทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกคนไทย มี นายสุคนธนารักษ์ หรือ ปอ นาคจันทร์ อายุ 34 ปี หรือ “ปอ หนวดงาม” เป็นนักเลงคอยคุม
หากหลอกคนไทยได้ พวกคนจีนที่ดูแลระบบจะมาแสดงความยินดีพร้อมมอบของรางวัลให้ คนไทยที่ทำอยู่ก่อนมีรายได้เป็นเงินกว่าแสนบาทต่อเดือน
กระนั้นก็ตาม ห้องพักที่ผู้เสียหายทำงานมีการล็อกกุญแจจากได้ในแล้วใช้โซ่คล้องไว้อีกชั้นไม่สามารถออกไปไหนได้ ไม่สามารถใช้โทรศัพท์ได้ ทำงานวันละ 15 ชั่วโมง
อาหารการกินมีแค่ข้าวใส่กาละมังมาให้ยืนกิน ไม่มีโต๊ะนั่ง
ถ้าไม่ทำงานจะถูกทำร้ายหรือไม่ก็ขายต่อไปให้กับนายทุนคนอื่นที่ทำคอลเซ็นเตอร์เหมือนกัน
“ผมไม่อยากทำงานหลอกลวงคนไทยและไม่ได้ตั้งใจมาทำงานคอลเซ็นเตอร์” เขายังคงย้ำคำเดิมเป็นเหตุผลให้เพื่อนช่วยติดต่อขอความช่วยเหลือพากลับประเทศไทยและเข้าแจ้งความดำเนินคดี
ชุดปฏิบัติการพิเศษบูรพา 491 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ถูกเรียกตัวมาติวเข้ม พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ นายพลนักสืบหนุ่มผู้นำหน่วยซักซ้อมแผนเรียบร้อย ก่อนรายงาน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2
หลังจากนั้นบูรณาการทีม พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 1 ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สนธิกำลัง พล.ต.ต.ณัฐพงษ์ สัตยานุรักษ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว พ.อ.ชัยณรงค์ กาสี รองเสธนาธิการกองกำลังบูรพา
นัดกำหนดดีเดย์เปิดนำร่องตามแผน “ปฏิบัติการบูรพา 491” ปูพรมตะเข็บชายแดนสระแก้วทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตัดวงจรส่งคนไทยข้ามแดนไปกัมพูชา บุกจับกุม นายณัฐกร หรือ บอม ควงวงศ์ อายุ 28 ปี และ น.ส.อ้อยใจ โคตรรัมย์ อายุ 38 ปี สามีภรรยาตัวการชักชวนคนไทยไปทำงานในเขมร
พร้อมออกหมายจับอีกยกแก๊ง 17 ราย และเตรียมขยายผลออกหมายจับ “เจ้าของบัญชีม้า” อีกกว่า 10 ราย
มี “ปอ หนวดงาม” คนไทยขาใหญ่อิทธิพลตัวแสบเป็นเป้าหมายสำคัญ
ที่ต้องถูกตาม “ล่าหัว” !!!
