“ชีวิตไม่เคยคิดว่าจะต้องเป็นนักโทษหญิง”

   

ชีวิตที่เคยเป็นเหมือนนกพิราบพุ่งรุ่งโรจน์อิสระเสรีกลับต้องร่วงตกไปอยู่ในกรงขัง กลายเป็น “นักโทษหญิง” กับวิบากกรรมที่ตัวเองไม่เคยคิดจะเกิดขึ้นมาก่อน

รัตติ้วณัฐชา ทองย้อย อดีตคนข่าวสาวขาลุยทนทุกข์ทรมานอยู่ในเรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์นาน 3 ปีกว่าจะพ้นออกมาจากกำแพงคุก

เสมือนบทเรียนล้ำค่าเรียกน้ำตาทุกครั้งที่คิดถึงวันนั้น

เจ้าตัวเป็นชาวอำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วัยเด็กไปอยู่กับป้าที่กรุงเทพมหานคร ก่อนกลับมาเข้าโรงเรียนวังไกลกังวล หัวหิน ขยับเข้ามหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรีนาน 2 ปี โอนย้ายไปที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต คณะนิเทศศาสตร์ เอกประชาชนสัมพันธ์ ไปต่อปริญญาโทคณะบริหารธุรกิจต่างประเทศ สถาบันเดียวกัน

เธอยอมรับว่า ตอนเด็กไม่ได้ตั้งเป้าหมายอยากทำงานอะไร กระทั่งมีโอกาสเข้าฝึกงานสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ด้านประชาสัมพันธ์ ก่อนกลับมาอยู่ที่บ้าน สักพักไอทีวีตามตัวขึ้นไปทำงาน เข้าวงการข่าวอย่างเป็นทางการ ไม่นานสถานีจอดำ ถูกสั่งปิด ต้องย้ายไปทำงานบริษัทร่วมผลิตข่าวให้กับสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ประมาณ 2   ปี สปริงนิวส์เปิดสถานีข่าวถึงเปลี่ยนสังกัดทำงานยาวเลย

“รู้สึกมันมาก ยังไม่มีภาระ ไม่มีครอบครัว กำลังมีไฟ ไปทำข่าวที่ไหนก็ไป อยู่เป็นเดือน เช่นข่าวน้ำท่วมใหญ่ ไล่ตั้งแต่ต้นน้ำมาถึงปลายน้ำ เกาะติดสถานการณ์อยู่เดือนกว่า รายงานสดไปด้วย ทำให้เราประทับใจหลายเรื่อง เพราะอยู่ในเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมือง” ณัฐชารำลึกความหลังเมื่อครั้งอยู่บนสมรภูมิข่าวทีวี

 เธอเล่าว่าเป็นช่องแรกที่เข้าไปทำข่าวเฮลิคอปเตอร์ทหารตกที่ป่าแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ได้ไปทำข่าวการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงปะทะกันดุเดือด หลายข่าวที่ไปทำอาจเพราะต้นสังกัดมั่นใจในตัวเราถึงส่งลงภาคสนามสามารถเจาะข่าวได้ทุกแง่มุม เอามาลงเฟซบุ๊กส่วนตัวด้วย ทำให้คนรู้จักเราในชื่อ รัตติ้ว ผู้หญิงบินได้ ที่มีรุ่นพี่ให้ฉายาไว้ เนื่องจากถูกส่งไปทำข่าวตั้งแต่เหนือจรดใต้ อยู่เหตุการณ์ภาคใต้ 2-3 อาทิตย์ก็ต้องบินไปขึ้นเหนือทำข่าวแผ่นดินไหวจังหวัดเชียงรายแล้วบินกลับมาอีก

“เราจะบินไปนู่นไปนี่ โผล่ที่โน่นที่นั่นประจำ กลายเป็นผู้หญิงบินได้อย่างนี้ล่ะมั้งที่รุ่นพี่ตั้งฉายาให้” เจ้าตัวหัวเราะแต่นัยน์ตาปนเศร้าเล่าต่อว่า แทบไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ นอกจากมีเวรนั่งอ่านข่าวเท่านั้น ส่วนใหญ่จะแลกเวรด้วยซ้ำ เพราะชอบการออกไปทำข่าวข้างนอกมากกว่า การลงพื้นที่เราว่า ได้หลากหลาย ได้พบอะไรใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ ๆ เราถึงอยากอยู่ตรงนั้น จะให้อยู่สตูดิโอนั่งอ่านข่าวอย่างเดียวไม่ใช่สไตล์ของเรา

ทำงานอยู่สปริงนิวส์มีแฟนคลับติดตามต่อเนื่อง ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าทีมแอร์โรอายส์ กำกับภาพข่าวมุมสูง ณัฐชาว่า ยังไม่ชอบมานั่งออฟฟิศสั่งการลูกน้อง แต่จะลงไปกับทีมเก็บบรรยากาศได้มากกว่า สนุกกว่า ได้พบเจอแหล่งข่าว เจออะไรหลากหลาย กระทั่งดวงชะตาพลิกผัน อนาคตที่กำลังรุ่งกลับดับวูบทันทีที่ศาลฎีกาพิพากษาตัดสินให้จำคุก 6 ปี 8 เดือน ในข้อหาร่วมกันพยายามฆ่า

อดีตนักข่าวสาวคนดังสีหน้าหมองย้อนความว่า เหตุเกิดตอนหยุดปีใหม่ 2556 ได้กลับบ้านสามร้อยยอด เตรียมกลับไปทำงานกรุงเทพฯอยู่แล้ว บังเอิญน้องชายมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับเครือญาติบ้านติดกันเกี่ยวกับที่ดิน บานปลายถึงขั้นใช้ปืนยิงใส่คู่กรณีบาดเจ็บ เราไม่รู้เกิดอะไรขึ้น รีบวิ่งไปดูและยังช่วยนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล ทำไปทำมาตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกันพยายามฆ่า

ณัฐชาเล่าต่อว่า ตำรวจมาสอบปากคำเสร็จเราก็กลับกรุงเทพฯ ไม่ได้คิดอะไร เพราะไม่ได้ก่อเหตุ เป็นพลเมืองดีอีกต่างหากในการเรียกรถพยาบาล เอาคนเจ็บส่ง มาทำงานตามปกติได้ราว 2-3 สัปดาห์ตำรวจสามร้อยยอดโทรศัพท์มาให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา ตอนนั้นยังงง ทำไมต้องไป มั่นใจว่า เราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ตำรวจบอกคู่กรณีแจ้งว่า เราร่วมกันก่อเหตุด้วย ก็ยังยืนกรานว่า ไม่ไป และติดต่อหาทนายความแนะนำให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาแล้วไปสู้คดี

เธอพยายามแก้ต่างมาตลอด ปรากฏว่าศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก 6 ปี ณัฐชาสารภาพว่า ช็อกมาก ประกันตัวออกมาอุทธรณ์ลดโทษจำคุกเหลือ 2   ปีไม่รอลงอาญา จนมาถึงศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น คือจำคุก 6   ปี 8   เดือน งงกับชีวิตเลยตอนนั้น “ทำอะไรไม่ได้ สู้คดีมาตลอดจนวันนัดไปฟังคำพิพากษาศาลฎีกา เย็นอ่านข่าวจนถึงเที่ยงคืนแล้วตีรถกลับมาประจวบคีรีขันธ์รอฟังคำพิพากษาตอนเช้า ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย ชุดยังใส่ชุดสูทอยู่ ไม่ได้เตรียมตัวว่า เราจะต้องเข้าคุก เพราะทนายมั่นอกมั่นใจว่า เราสู้ได้”

“ชีวิตมันทรุดเลย เหมือนปิดสวิตช์ตัวเอง พูดอะไรไม่ถูก ได้แต่ร้องไห้ คือตัวเองต้องเข้าไปเรือนจำแล้ว ยังคิดในใจ เราติดคุกแล้วหรือ เครียดมากน้ำหนักลงไป 10กว่ากิโล กินข่าวไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ คิดไปเรื่อยว่า เรามีอะไรต้องทำอีกมาก ต้องรับผิดชอบอีกเยอะ มีแม่ มีครอบครัว เราเป็นเสาหลักของบ้าน แล้วเพิ่งซื้อบ้านที่ดอนเมือง  แล้วจะทำยังไงดีกับชีวิต มันแย่มาก ๆ” เจ้าตัวน้ำตาคลอเบ้า

หลังจากนั้น “รัตติ้ว” ผู้หญิงบินได้หายไปจากโลกโซเชียล ไร้ความเคลื่อนไหวในเฟซบุ๊กทำเอาหลายคนสงสัย เธอต้องยอมรับสภาพในสิ่งที่ไม่ได้วางแผนไว้ ทั้งหน้าที่การงานไม่ได้ติดต่อบอกต้นสังกัด หายนานกว่า 2 เดือน หลายคนพากันตามหา แม่กับน้องชายไม่ยอมบอกความจริงอ้างว่า ไปทำงานเมียนมาบ้าง อะไรบ้างเท่าที่จะยกเหตุผลให้น่าเชื่อถือ ทุกคนไม่มีใครรู้เลยว่า นักข่าวสาวคนเก่งเวลานั้นอยู่ในเรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

กระทั่งน้องชายเข้าไปเยี่ยมหารือกันว่าจะทำอย่างไร เนื่องจากต้นสังกัดตามหนักมาก เพราะต้องทำเรื่องเอกสารเกี่ยวกับเงินประกัน และประกันสังคม เอกสารอื่น ๆ จิปาถะ เธอถึงตัดสินใจบอกน้องชายให้โพสต์ความจริงที่เกิดขึ้น ณัฐชาระบายความอัดอั้นว่า เข้าเรือนจำช่วงแรกไม่มีอารมณ์คิดอะไรแล้ว เจ้าหน้าที่ยังดีเห็นว่าเป็นนักข่าวให้ไปพักห้องผู้ช่วยเหลือเพื่อปรับสภาพจิตใจเหมือนเรายังปรับตัวไม่ได้ประมาณสัปดาห์ถึงเปลี่ยนไปอยู่แดน เจ้าหน้าที่ถามว่า พร้อมหรือยัง เราตอบไปตามตรงว่า ไม่พร้อมหรอก แต่ด้วยเวลานั้นต้องเปลี่ยนสถานะแล้ว

“ชีวิตไม่เคยคิดว่าจะต้องเป็นนักโทษหญิง  เราต้องปรับอะไรหลายอย่าง จิตใจอันดับแรก พอเราเข้าไป เราต้องเข้มแข็ง ต้องทำตามคนอื่นได้ เขาให้ไปช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ ทำร้านค้า ทำบัญชี ไปทำอะไรตามความถนัดของเรา ไม่มีวันไหนที่มีความสุขเลย คือ เราหัวเราะกับเพื่อน เหมือนให้กำลังใจตัวเองและเพื่อนๆ ด้วย ทั้งๆ ที่ เราก็ไม่ดี แต่ต้องช่วยกัน ต้องรับสภาพในนั้น ทุกคนก็แย่เหมือนกัน ต้องพยายามอยู่ให้ได้”

หลังจากข่าวแพร่กระจายออกไปว่า ณัฐชา ทองย้อย ติดคุกในคดีร่วมกันพยายามฆ่า มีทั้งรุ่นพี่และเพื่อนร่วมงานพากันมาเยี่ยมช่วยดำเนินการทุกอย่าง แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะคดีสิ้นสุดศาลฎีกาแล้ว ไม่มีเอกสารหลักฐานพยานใหม่รื้อฟื้นสู้คดีอีก เธอถึงต้องยอมรับสภาพกับชีวิตที่ดิ่งลงมาท่ามกลางความห่วงครอบครัวที่อยู่ข้างนอกมากกว่าตัวเอง นั่งนับวันจาก 6 ปีลดเหลือกึ่งหนึ่งแค่ 3 ปีกว่าจะได้อิสรภาพอีกครั้ง

ณัฐชาได้ข้อคิดว่า การเข้าไปอยู่ในเรือนจำ ทำใหเราต้องตั้งสติอยู่กับมัน มองไปข้างหน้า เรื่องอดีตผ่านไปแล้วเราต้องลืม แม้บางเสี้ยวเวลาคิดน้อยใจ ทำไมชีวิตต้องลงเอยแบบนี้ ไม่อยากก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรม หรืออะไรต่อมิอะไร หน้าที่ใครก็หน้าที่ใคร เราพ้นออกมามีชีวิตใหม่แล้ว ต้องคิดวางแผนต่อไปว่าจะทำอะไร แต่ไม่คิดกลับเข้าวงการข่าวแล้ว

“เรามาคิดว่า การที่เราไปทุ่มเทอะไร อย่างวงการข่าว มันเป็นอาชีพที่เรารักไหม เรารัก ชอบมาก  มันสอนอะไรเราหลายๆ อย่าง มันทำให้เราแข็งแกร่ง มันทำให้เรายืนได้ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว มันก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ เราอยู่กับครอบครัวดีกว่า ที่สุดเราก็ต้องมีครอบครัวที่อยู่กับเรา ทั้งๆ ที่เราเคยทำข่าว ช่วยเหลือคนอื่นไว้เยอะแยะ แต่เวลาเจอกับตัวเอง กลับช่วยตัวเองไม่ได้  ตำแหน่งหน้าที่การงานอยู่ที่สูงแล้ว แต่เราต้องทำตามคนอื่น ทำตามคำสั่ง โดยที่เราไม่ได้มีคนคาดหวัง เราไม่ได้ใส่ใจคนคาดหวัง  เราใส่ใจคนอื่นมากกว่า เงินดี หรืออะไรดี หน้าที่การงานที่ดี ในที่สุดแล้วใครที่อยู่กับเรา ก็คือ พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง ครอบครัวเรา”

เธอย้ำว่า มีรุ่นพี่ชวนกลับไปทำงานเหมือนเดิน ไม่ต้องกังวลกับอดีตของเราที่เคยคิดคุก แต่เราไม่ได้สนตรงนั้นแล้ว  อยากก้าวไปข้างหน้าเพื่อครอบครัวดีกว่า อยู่กับครอบครัว ดูแลคนที่เรารักดีกว่า ปัจจุบันถึงทำธุรกิจส่วนตัวรับซื้อขนุนขายส่งไปจีน ถ้ามีเวลาว่างจะไปเป็นอาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิสว่างเมธีธรรมสถานเป็นอีกมุมที่ได้ช่วยเหลือสังคม

“รู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งมากขึ้น อาจเป็นเพราะว่า เราได้ประสบการณ์จากในเรือนจำ ส่วนหนึ่งที่มันต่อยอดให้เรา ปรับสภาพจิตใจ ความคิด และตรรกะอะไรต่าง ๆ ให้ชีวิตก้าวเดินหน้าต่อ” ณัฐชาทิ้งท้าย

 

 

 

 

 

RELATED ARTICLES