ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วย พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ พ.ต.อ.ภาดล จันทร์ดอน ผู้กำกับการ 5 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ แถลงผลจับกุมเครือข่ายเงินกู้นอกระบบออนไลน์ “moneyday credit” พบยอดเงินหมุนเวียนกว่า 450 ล้านบาท จับกุมผู้ต้องหา 8 ราย ประกอบด้วย นายอนิวัฒน์ บัวใหญ่ อายุ 26 ปี นายอลงกรณ์ แสงสุธา อายุ 26 ปี นายธนพล ศรีภา อายุ 19 ปี นายนัฐวุฐ ภูมี อายุ 24 ปี นายพงศกร จุณศรี อายุ 26 ปี นายจิรพันธ์ พงษ์สุกรี อายุ 26 ปี นายอดิเทพ ลันละนา อายุ 31 ปี นายสมโชค อาจหาญ อายุ 25 ปีของกลาง โทรศัพท์มือถือ 54 เครื่อง โน้ตบุ๊ก 25 เครื่อง คอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง แท็บเล็ต 4 เครื่อง และซิมโทรศัพท์มือถือจำนวนมาก รวมของกลางกว่า 300 รายการ
สืบเนื่องมาจากมีผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจรายย่อย เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองกำกับการ 5 กองคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หลังจากกู้ยืมเงินจากเว็บไซต์ www.moneydaycredit.com ชำระค่าดอกเบี้ยที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด อัตราร้อยละ 1.5 ต่อวัน หรือร้อยละ 45 ต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 547.5 ต่อปี เมื่อไม่มีเงินในการชำระหนี้ กลุ่มนายทุนที่เปิดเว็บไซต์จะส่งชายฉกรรจ์มาข่มขู่ให้ชำระหนี้ ต่อมาตำรวจสืบสวนจนพบว่า เว็บไซต์ดังกล่าวมีการชักชวนให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปกู้เงิน เน้นเป้าหมายไปที่กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMES) ที่ขาดสภาพคล่องทางการเงิน และไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ถูกกฎหมายได้ ขั้นตอนการอนุมัติสินเชื่อของนั้นไม่จำเป็นต้องใช้หลักฐานยืนยันตัวตน หรือใช้คนค้ำประกัน ส่วนกรณีที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจ ทางเว็บไซต์จะไปสำรวจกิจการเพื่อประกอบการพิจารณา เมื่ออนุมัติสินเชื่อแล้วจะโอนเงินไปให้ผู้กู้ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้งไปยังบัญชีธนาคารของลูกหนี้ หักยอดเงินกู้เป็นดอกเบี้ยงวดแรกไว้ก่อน หากลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้จะใช้วิธีการข่มขู่ มีเงินหมุนเวียนถึง 450 ล้านบาท
เครือข่ายดังกล่าวถือเป็นการคิดดอกเบี้ยที่ผิดกฎหมาย ประกอบกับเป็นการเอารัดเอาเปรียบประชาชนในช่วงวิกฤติเชื้อโควิด-19 คาดว่ามีผู้เสียหายหลายร้อยรอย อีกทั้งบางรายมีความเครียดถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมสืบสวนหาเบาะแส กระทั่งนำกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านพัก และสำนักงานของเครือข่ายในพื้นที่จันทบุรี ปทุมธานี ขอนแก่น นครราชสีมา และกรุงเทพมหานคร รวม 5 จังหวัด จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 8 ราย และยังสามารถจับกุมผู้ร่วมขบวนการได้อีก 21 ราย รวมเป็น 29 ราย เตรียมขยายผลถึงนายทุนผู้อยู่เบื้องหลังต่อไป
