“ใครบอกเป็นเจ้าพ่อผมไม่โกรธนะ อย่ามาว่าผมเป็นมาเฟีย”

ในยุทธจักรผู้กว้างขวางใจกลางเมืองหลวงคงไม่มีใครไม่รู้จัก “ชัช เตาปูน” บุรุษใหญ่เจ้าของภาพตำนานบ่อนพนันชื่อดังที่สังคมพากันมองเขาเป็น “เจ้าพ่อ” ผู้มีอิทธิพล ทุกคนต้องเกรงใจ

ทั้งที่ไม่เคยได้สัมผัสตัวตนที่แท้จริงของลูกผู้ชายคนนี้แม้แต่นิดเดียว

COP’S MAGAZINE พาท่านผู้อ่านไปเจาะลึกถึงแก่นแท้ของชีวิตชัชวาล คงอุดม คนที่กล้าเงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน เพราะตลอดชีวิตมีแต่ให้ และไม่เอาเปรียบใคร

เคยโลดแล่นอยู่ในวงการเมืองเป็นถึงสมาชิกวุฒิสภา ปัจจุบันยังนั่งกุมอำนาจบริหารหนังสือพิมพ์สยามรัฐ สืบทอดเจตนารมย์เดิมของ พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้มีพระคุณ

“ผมเกิดที่บางซื่อ ตรงตรอกสะพานดำ ไม่กี่เดือนต่อมาก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกามาทิ้งระเบิด เชื่อมั้ยว่า ระเบิดตกมาข้างตัวผม แต่มันไม่ทำงาน ถ้าระเบิดผมคงตายไปนานแล้ว” ชัชเริ่มเล่าเรื่องราวชีวิตวัยเด็ก

ช่วงนั้นแม่เลยพาย้ายไปอยู่ที่แถววัดบึงทองหลาง  แจ้งเกิดช้าไป 2 ปี เรียนหนังสือชั้น ป.1 ที่โรงเรียนพินิจพิทยาลัยตรงแยกประดิพัทธ์ พอจบ  ป. 4 ก็เข้าเรียนที่ช่างอากาศบำรุง  ตอนนั้นเป็นนักฟุตบอล ติดกีฬาเขตไปแข่งได้แชมป์มามากมา ช่างก่อสร้างดุสิตจึงให้โควต้าเข้าไปเรียน แต่ก็เริ่มเบื่อแล้วทำให้เรียนไม่จบ ออกไปใช้ชีวิตเร่ร่อน พ่อแม่ยากจน สมัยนั้นมีเงินไปเรียนวันละ 2 บาท ลำบากมาก กำลังใจไม่มี

“ด้วยเหตุนี้พอผมโตขึ้น มีเงิน ผมจะสนับสนุนให้คนเรียนหมด ใครมาขอตังค์เรียน ผมให้หมด อาจเป็นบุญกุศลก็ได้ หลายคนจบด็อกเตอร์ได้ดิบได้ดี มีคนหนึ่งเป็นเด็กเสิร์ฟร้านที่ผมไปนั่งบ่อย อยู่ ๆเขาเข้ามากราบขอเงินเรียนหนังสือ ผมก็เอาเข้ามาอยู่บ้านผม ส่งจนเรียนจบปริญญาตรี ผมก็ถามจะเรียนต่อปริญญาโทมั้ย อยากเรียนก็ให้เรียน ทุกวันนี้ผมส่งไปเรียนปริญญาเอกที่สหรัฐอเมริกาแล้ว”

ชัชฝันว่า สักวันจะสร้างโรงเรียนสักแห่งเพื่อให้คนไม่มีเงินมาเรียนฟรี ตอนนี้มีที่ดินที่เคยซื้อไว้นานแล้วแถว อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เตรียมจะให้คนที่ส่งไปเรียนปริญญาเอกด้านการศึกษาในอเมริกากลับมาบริหาร ทำอาคารที่พักให้เด็กอยู่ฟรี เพราะชีวิตตัวเองเคยลำบากมาก่อน

หลายครั้งจึงมีผู้คนมากหน้าหลายตาไปขอให้ช่วยเหลือเรื่องการหาทุนการศึกษา ซึ่งเขาก็ไม่เคยปฏิเสธ “วันหนึ่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ขอช่วยจัดหาเงินให้เด็กไปออกค่าย เชิญผมไปร้องเพลงทำเป็นงานคอนเสิร์ตชัช เตาปูน หาเงินได้ล้านกว่าบาท มหาวิทยาลัยรามคำแหงจึงให้นักเรียนช่างอากาศรุ่นพี่ติดต่อผมไปช่วยบ้าง ทำไปทำมาผมเลยมีโอกาสเข้าเรียนปริญญาตรีที่รามคำแหงไปโดยปริยาย เพราะอาจารย์ที่นั่นเห็นผมอยู่เฉย ๆ จึงลองชวนมาลงเรียนดู”

ตั้งใจจนเรียนจบคณะนิติศาสตร์ในเวลาเพียง 2 ปีครึ่ง

จังหวะนั้นมีการสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาที่รัฐธรรมนูญปี 40 บังคับคนที่ลงต้องจบปริญญาตรีขึ้นไป อดีตเด็กหนุ่มจากเตาปูนจึงมีความคิดลองเสี่ยงดูว่าชาวบ้านจะเลือกเขาหรือไม่ หากเขาลงแข่งขันด้วย สุดท้ายก็ได้ แต่ไม่วายโดนแจกใบเหลืองแขวนไว้ก่อน เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้งอ้างว่า มีผู้ร้องว่า คณะบุคคลซื้อเสียงให้ชัชวาล คงอุดม น่าเชื่อมีมูลความจริง แต่คุณชัชวาลไม่มีส่วนรู้เห็น

“ผมโดนเรียกไปชี้แจง มีคนให้ผมพูดว่าซื้อเสียงที่ไหน แล้วผมจะรู้ได้ยังไง เป็นการสอบสวนที่โง่ที่สุด ผมจะซื้อไปทำไม ปีนึง วันเกิดผมแจกข้าวสารทีละ 4 หมื่นกระสอบตกปีละ 4 ล้านบาท ทำมา 25 ปีแล้ว คิดเอาแล้วกัน มีจำนวนคนเท่าไหร่ คนที่เดือดร้อนขายของในตลาดแล้วโดนไล่ที่ ถูกเอามีด เอาปืนจี้ ผมก็ไปช่วย ทำตลาดให้เขาขายฟรี ใครไม่มีบ้านอยู่เราก็สร้างให้อยู่ ให้คนจน ๆ อยู่ ไม่รู้จะซื้อเสียงทำไม” ชัชเผยอดีตที่แสนมีอุปสรรคตอนลงเล่นการเมืองครั้งแรกในชีวิต

หลังมีการเลือกตั้งซ่อมครั้งที่ 2 เขาก็ได้รับเลือกอีกครั้ง คราวนี้ก็ถูกข้อกล่าวหาอีกเช่นเคยจากกรรมการคนหนึ่ง เหมือนกดดันให้ลูกผู้ชายฉายา “ชัช เตาปูน” ต้องระเบิดอารมณ์ใส่กลางที่ประชุมชี้แจง

“ผมบอกพวกนั้นว่า ถ้าจริงก็ให้ใบแดงเลย ผมจะได้กลับบ้านไปนอน ผมภูมิใจนะที่ประชาชนเลือกมา แต่หากไม่ให้ ผมก็กลับแล้วผมจะไปแจ้งความร้องทุกข์ว่าใครซื้อให้จับด้วย เขาหาว่า ผมหัวหมอ ผมโกรธมากลุกขึ้นชี้หน้าว่า ทั้งชีวิตผมมีแต่ช่วยคน แล้วท่านล่ะเคยควักเงินส่วนตัวช่วยใครบ้าง เขาก็ย้อนกลับมาถามว่าผมเอาเงินจากไหน ผมบอกเงินจากไหนมันก็เรื่องของผม และผมก็จะไม่ชี้แจง พวกนั้นเหมือนมองโลกแคบ ไม่เคยสัมผัสชีวิตมนุษย์ ไม่รู้หรอกว่า คนยากจนเป็นอย่างไร แต่ถึงวันนี้ผมไม่โกรธแล้ว ถือว่าจบกันไป” อดีตสมาชิกวุฒิสภาชื่อดังเล่าอย่างอารมณ์ดี

 สำหรับอนาคตจะลงสนามเล่นการเมืองอีกหรือไม่นั้น  ชัชบอกว่า ใจจริงไม่ยากแล้ว แต่ห่วงสถานการณ์ในภาคใต้ ห่วงประเทศชาติ ไม่กี่วันก่อนมีพี่น้องจาก 3 จังหวัดเพิ่งมาหา เล่าให้ฟังว่า ต้องตั้งกองกำลังกันเอง ชาวบ้านต้องคอยดูแลลาดตระเวนกันเองให้ทหารฝึกอาวุธชาวบ้าน ก็รู้สึกสงสาร แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่ใช่รัฐบาล ได้แค่รับปากพวกเขาจะไปคุยกับท่าน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติให้ “นี่มันประเทศของเรา ไม่ใช่เขาเป็นเจ้าของ เราก็มีสิทธิจะไปบอก รัฐบาลต้องจัดการ หลายคนไม่รักประเทศจริง คนอยู่ระดับสูงรวบ พวกที่ตายคือ ตำรวจ ทหารลาดตระเวน ผมไม่ยอม ถ้ามีอำนาจเตรียมตัวได้เลย กลัวทำไม ประเทศของเรา ผมสงสารเขาครับ”

มาถึงบทบาทของนักบริหารหนังสือพิมพ์สยามรัฐที่ใครหลายคนข้องใจว่าเป็นมายังไง คนดังย่านเตาปูนลำดับความว่า สมัยเด็ก ๆ เคยไปที่บ้าน พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เพราะมีญาติทำงานอยู่กับท่าน กระทั่ง หม่อมคึกฤทธิ์จะลงเลือกตั้ง ส่งญาติให้มาตามไปช่วยหาเสียงในพื้นที่เขตดุสิต ตอนนั้นอายุประมาณ 30 ปีเศษ พอมีพลังบ้างแล้ว มีคนรู้จักเยอะ ช่วยคนไว้มาก

“ผมมันนักพนันชอบเล่น พอได้ก็ช่วยคน เล่นไฮโลวิ่งหนีตำรวจลงน้ำก็เคยมาแล้ว สมัยก่อนมีเงินแค่ 700-800 บาทถามว่า แจกใครได้มั้ย เมื่อผมเล่นได้ ผมก็ให้คนไม่มีกิน ไม่คิดอะไร ทำให้เรากว้างไปเรื่อย ๆ อาจารย์หม่อมาให้ช่วยหาเสียงถามจะเอาเงินเท่าไหร่ ผมบอกไม่เอา ท่านก็ย้ำว่าต้องใช้เงิน แต่ผมยังยืนยันว่าไม่ต้อง ถึงจนแต่ผมก็ไม่เอาตังค์ใคร ท่านเลยชอบผม  เซ็นเช็คให้หมื่นห้า ญาติผมบอกว่าผู้ใหญ่ให้ก็ต้องรับ ผมเลยเอาไปใช้หาหัวคะแนน”

ผลปรากฏว่า พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ชนะเลือกตั้งได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วให้คนไปตาม บอกหาคนแบบนี้มานานแล้ว อยากให้เป็นลูกพ่อสักคน ตั้งแต่นั้นมาก็ดีขึ้น ผูกพันกันตลอดถึงขนาดซื้อบ้านให้ 1 หลัง จนช่วงบั้นปลายชีวิตเรียกให้ไปพบ “ท่านฝากสยามรัฐกับผม บอกอย่าให้ล้ม อย่าให้ตายตามพ่อนะ  ถึงเหนื่อยมาจนวันนี้  ผมเคยทำที่ไหน หนังสือพิมพ์ กว่าจะขึ้นมาได้ใช้เวลาหลายปี”

ส่วนที่สังคมยังติดภาพชัชวาล คงอุดม เป็นเจ้าพ่อเมืองกรุง คิดจะล้างภาพนั้นหรือไม่ เรื่องนี้เจ้าตัวตอบไม่ลังเลว่า “เฉย ๆ พิสูจน์กันได้ มีคนเคยถามแบบนี้กลางสภาแล้วถูกตอกกลับเกือบตกเวทีมาแล้วนะ  เจ้าพ่อ ผมกำลังจะทำให้เป็น ยังไม่ได้เป็นเสียที คนเดินผ่านไปผ่านมาก็ยกมือไหว้ ขอหวยได้ ผมยังไม่ถึงขั้นนั้น ผมทำอะไรให้ใครเดือดร้อนเหรอ เด็กนิติศาสตร์ธรรมศาสตร์ก็เคยถามจะลบล้างมั้ย ไม่ลบหรอกครับ โต ๆ กันแล้ว มีเหตุมีผลกันอยู่ ใครบอกเป็นเจ้าพ่อผมไม่โกรธนะ อย่ามาว่าผมเป็นมาเฟีย ผมโกรธจริง ๆ  ผมไม่ยอม ผมไม่ชอบ มันไม่เหมือนกัน  มาเฟียคือ พวกค้าผู้หญิง  ค้ายาเสพติด  ฆ่าคน  ผมไม่เคยทำ”

“ ผมแค่ชอบเล่นการพนันแล้วมันไปทำให้ใครเดือดร้อน มันเกี่ยวอะไร ศีลห้าพระพุทธเจ้ายังไม่บัญญัติไว้เลย ห้ามแต่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพราะต่อไปญาติพี่น้องมันก็ต้องกลับมาฆ่าไม่รู้จักจบสิ้น เราไปขโมยของ เจ้าของก็ต้องโกรธแล้วหาทางทำอะไรสักอย่าง ผิดลูกผิดเมียเขา เป็นชู้เมียเขา ผัวเขาจะแค้นมั้ย เรื่องโกหก ทนไม่ได้ก็โกรธ การกินเหล้า บางคนตอนไม่กินดี  พอกินแล้วพูดมากคอยหาเรื่อง นั่นคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติจากความเป็นจริง”

“การพนันเป็นอบายมุข เป็นสิ่งไม่ดี แต่คนเราต้องเล่น เมื่อเล่นแล้วต้องมีสติ ไม่ใช่ขาดคุณธรรม เล่นได้ก็เอา เสียก็ให้เขา ไม่ใช่เสียแล้วไม่จ่าย แบบนี้มันเลว อย่างที่ผมบอกเมื่อไม่มีตังค์แล้วเราจะใจบุญได้มั้ย ฉะนั้นใครมาเรียกผมเจ้าพ่อ  ผมไม่แคร์  ไม่ต้องลบล้างด้วย  ผมถือคติอย่างเดียว  ทำอะไรต้องรู้จักละอาย ใครจะมองยังไงก็เรื่องของเขา ถ้ารู้จักเราถึงจะรู้ว่าไม่ใช่อย่างที่คิด  เพราะฉะนั้นผมไม่เคยกลัวใคร  ใครก็ได้  เพราะผมไม่เคยเอาของใคร  ไม่ฉวยโอกาส ไม่ไปเกเรเขา ผมไม่เคย”

“พ่อผมสอนเสมอ เสียอะไรก็เสียได้ แต่อย่าเสียศักดิ์ศรี ผมถึงไม่ยอมใคร ผมก็ลูกผู้ชาย ใครมายุ่งกับเรา เรายอมไม่ได้หรอก”  เป็นประโยคทิ้งท้ายเรื่องราวเพียงเศษเสี้ยวของชีวิตที่โลดแล่นอยู่ในยุทธจักรผู้กว้างขวางในเมืองหลวง

 

 

RELATED ARTICLES