“ชีวิตไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาอยู่งานสืบสวน”

 

ครบเครื่องเรื่องงานสืบสวนตามแบบฉบับนายพลนักสืบหนุ่มเลือดใหม่

ถึงได้รับความไว้เนื้อเชื้อใจจาก พล...สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต้นแบบพิมพ์เขียว หลักสูตรนักสืบ 5 G” ให้เข้าไปเป็นอาจารย์ถ่ายทอดตำราแก่นักเรียนอบรมระดับรองสารวัตรในหลักสูตรสุดยอดที่ อาจารย์ใหญ่ปั๊ด ทิ้งมรดกไว้

ปัจจุบัน พล...พันธนะ นุชนารถ คืนถิ่นถนัดเป็นรองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กลับมารับผิดชอบคุมงานสืบสวนให้หน่วย นำเอาประสบการณ์ที่สั่งสมมาทั้งชีวิตรับราชการนอกเครื่องแบบลุยงานกวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติสารพัดกลุ่มแก๊ง

ช่วยเสริมแกร่งขุมกำลังสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองว่าด้วยเรื่องงานสืบสวนปราบปรามให้ดูดีมีราคามากขึ้น

 

ลูกชายนายตำรวจใหญ่  แค่มีแรงบันดาลใจอยากไปเที่ยว

เกิดอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ทายาท พล.ต.ท.สุนทร นุชนารถ อดีตผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ อยู่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกปีเดียวย้ายมาบ้านย่าที่กรุงเทพมหานคร แล้วไปใช้ชีวิตปฐมวัยโรงเรียนยอแซฟอุปถัมภ์ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม กระทั่งมัธยมปีที่ 3 ย้ายไปเข้าโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ก่อนสอบเข้าเตรียมทหาร เลือกเหล่าโรงเรียนนายร้อยตำรวจเป็นรุ่น 48

อยากเป็นตำรวจไหม พล.ต.ต.พันธนะยอมรับว่า อยู่ที่สามพราน เห็นนักเรียนนายร้อยตำรวจอยู่รอบตัวเรา ยิ่งตอนนั้นสมัยเด็ก ๆ ไม่มีอะไรที่ให้เราเลือกได้เยอะ  และมีหลายคนพยายามสอบเข้า ถามว่า มีความชอบหรือไม่ ยังไม่ใช่เท่าไร เพียงแต่เห็นพ่อเป็นแบบอย่างของการเป็นตำรวจคนหนึ่ง เห็นนักเรียนนายร้อยอีกหลายคนที่อยู่แถวนั้น เห็นอีกหลายๆ คนมีความพยายามที่จะสอบแล้วสอบไม่ได้

“ผมมองว่ามันเป็นวิถีทางหนึ่งที่เราเห็น มองว่า คือ อาชีพที่เราใกล้ตัว  ถามว่ามีความชอบไหมกับการที่จะต้องเป็นตำรวจ ณ ตอนนั้นรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร รู้สึกว่า เราเองเป็นอะไรที่เรามองเห็น แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นแรงจูงใจ ตอนเด็ก ๆ  คือ ผมไม่ใช่คนขยันเรียน เป็นคนขี้เกียจ ขี้เกียจอ่านหนังสือ คุณพ่อก็บอกว่า ถ้าสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจได้ คุณพ่อจะไม่ยุ่งแล้ว  อยากจะไปเที่ยวไหน ไปทำอะไร ไปเลย ผมเลยจำว่า โอเคถ้าอย่างนั้นต้องสอบเข้าให้ได้ เพื่อให้เรามีชีวิตที่เป็นอิสระ”

ขอเลือกทางเดินด้วยตัวเอง ไม่กลัวเกรงคำสั่งของใคร

พล.ต.ต.พันธนะเล่าว่า ถูกพ่อส่งไปเรียนกวดวิชา ไม่ได้บอกให้เป็นตำรวจ อยากจะเป็นนักเรียนเหล่าอะไรก็ได้ แล้วสามารถที่จะไปไหนก็ได้ ตอนแรกอยากเป็นทหารบก ทหารอากาศ หรือตำรวจ ใจหนึ่งอยากเป็นทหารอากาศ  สำหรับทหารบก มีความคิดแบบเด็ก ๆ ว่า คนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องเป็นทหารบก แต่การเป็นทหารอากาศคือ เท่ ได้ขับเครื่องบิน มีความรู้สึกชอบว่า เป็นอาชีพที่ไม่ใช่ใครก็ทำได้ คิดว่าน่าสนใจ ส่วนตำรวจเป็นอะไรที่เรามองเห็นได้ง่าย ๆ ยังไม่เลือก

ไปเรียนกวดวิชาจนถึงวันที่ต้องเลือก พล.ต.ต.พันธนะเล่าต่อว่า ตัดสินใจเลือกตำรวจ เหตุผลเพราะพ่อเป็นตำรวจ เราเป็นตำรวจดีกว่า อย่างน้อยถ้ามีอะไรพ่อแนะนำเราได้ โดยที่พ่อไม่เคยได้บังคับ อาจรู้ว่า เราเป็นคนดื้อ พูดไม่ฟัง เป็นคนที่ไม่สามารถจะชี้อะไรให้ทำได้ มาเหมือนน้องชายอีก 2 คนที่เป็นตำรวจเช่นกัน “ผมเป็นคนแบบนี้ ไม่มีใครมาสั่งอะไรผมได้ ที่บ้านจะปล่อยให้ผมไปเลือกจนมาสอบเข้าตำรวจได้เป็นไปอย่างหวัง คิดว่า หลังจากนี้ไป เราเป็นอิสระแล้ว สามารถที่จะโบยบินไปไหนก็ได้ สามารถที่จะทำอะไรก็ได้”

กระทั่งเรียนจบนายร้อยตำรวจ เขามีความคิดต้องไปเรียนต่อปริญญาโท ตามเป้าหมายที่คิดกันตามสมัยก่อนว่า ใครมีวุฒิปริญญาโทสามารถนำมาปรับขึ้นสารวัตรเร็วกว่าคนอื่น แต่เป็นรุ่นแรกถูกกำหนดไว้ว่า ใครไปลาเรียนต่อเมืองนอกต้องกันตำแหน่งไว้ แล้วต้องกลับมาใช้ทุนตามตำแหน่งที่กันไว้ 2 เท่า เป็นหลักเกณฑ์ใหม่ ตำแหน่งที่กันจะต้องเป็นตำแหน่งที่ตรงกับสาขาที่เรียนเพื่อกลับมาทำงาน ส่วนใหญ่จะกันตำแหน่งอำนวยการ ไม่สามารถกันตำแหน่งปราบปราม หรือสืบสวน หรือสอบสวนได้

 

จบปริญญาโทมหาวิทยาลัยมหิดล อดทนมุมานะมาตั้งแต่ ร.ต.ต.

รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองบอกว่า เป็นจุดที่ต้องตัดสินใจ ถ้าเราจะเดินสายอาชีพนี้ กลับมากันตำแหน่งอำนวยการไว้จะต้องไปอยู่อำนวยการ ใช้ทุนในตำแหน่งที่กันไว้ 4 ปี กลับมา 4 ปี รวมไปแล้วแทบจะถึงเวลาขึ้นสารวัตรยังไม่ได้ทำงานทำการอะไร คิดว่า ไม่ใช่เป็นทางเลือกที่ดีในการเจริญก้าวหน้าในอาชีพตำรวจที่เราจำเป็นจะต้องเติบโตต่อไปข้างหน้า สุดท้ายตัดสินใจไม่ไป กลับมาคงไม่รุ่งแน่นอน

จับพลัดจับผลู เขากลับได้โอกาสไปเรียนต่อปริญญาโทสาขาอาชญาวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นการเรียนหนังสือในระดับอุดมศึกษาที่เจ้าตัวรู้สึกว่า ตั้งใจเรียนมากที่สุด เนื่องจากสมัยที่เรียนโรงเรียนนายร้อย ตำรวจตั้งใจจะเที่ยวอย่างเดียว ไม่คิดจะเรียนหนังสือ ไม่เอาอะไรทั้งนั้น แล้วพอไปเรียนปริญญาโทกลายเป็น ร.ต.ต.คนเดียวเด็กที่สุดในนั้น ที่เหลือมีแต่รุ่นพี่ ๆ ที่เรียน ทำรายงานกลุ่ม หรือเดี่ยว ไม่มีใครทำ ต้องทำเองทั้งหมด

“เป็นครั้งเดียวที่รู้สึกว่า ต้องเรียน เพราะถ้าไม่เรียน เป็น ร.ต.ต.จบมาด้วยเกรดเฉลี่ย 4.00 ได้เป็นนักเรียนทุนมหาวิทยาลัยมหิดลเชิญให้ไปเรียนต่อระดับปริญญาเอก แต่ตอนนั้นไม่ไหวแล้ว คิดว่า ชีวิตไม่ใช่นักวิชาการ ที่เรียนจนจบเพราะโดนสถานการณ์บังคับ ขอออกไปทำงานก่อน ถึงเวลากระโดดสู่สนามการเป็นตำรวจจริงเสียที” พล.ต.ต.พันธนะว่า

 

เลือกประเดิมลงหน่วย ปปป. เพียงแค่ขอมีเวลาเล่าเรียน

ตอนแรก ปักหมุดลงสถานีตำรวจภูธรนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ตั้งแต่เริ่มต้นที่ไปเรียนปริญญาโท มหาวิทยาลัยมหิดล เหตุผลตอนนั้นต้องเอาเรื่องเรียนเป็นหลัก สามารถที่จะทำงานแล้วเรียนได้  พอจะเดินไปเลือกกลับโดนคนอื่นตัดหน้า ต้องเปลี่ยนไปเลือกลงตำแหน่งรองสารวัตรฝ่ายปฏิบัติการที่ 4 กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ตามโครงสร้างเก่าที่คุมกระทรวงกลาโหม แบบที่หวาดเขาวาดหวังไว้ว่า เป็นงานสบายได้มีเวลาไปเรียนหนังสืออย่างเดียว

            “ ที่เลือกเพราะคิดว่า คงไม่มีงานแน่นอน คงไม่มีใครกล้าไปสอบกระทรวงกลาโหมแน่ หลังจากเลือกเสร็จ เพื่อนถามว่า เช็กแล้วใช่ไหมว่าดี มองว่า พ่อผมเป็นตำรวจต้องเช็กมาแล้ว เพื่อนอีกคนเลยลือกตาม ผมบอกเปล่า แค่อยากเรียนปริญญาโท เพื่อนคนนั้นแทบหงายท้องสลบชัยเลย ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจอะไร อยากเรียนปริญญาโทให้จบ ถือว่าประสบความสำเร็จที่ไปอยู่ตรงนั้น เรียนปริญญาโทจนจบ ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยน”

เขาบอกเป็นเริ่มก้าวเข้าไปสู่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทั้งที่ไม่เคยคิดมาก่อน คิดอย่างเดียวจะไปเรียนหนังสือ ไปอยู่สังกัดสอบสวนกลาง เจอพวกพี่อีกหลายคน  กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบสมัยก่อนเป็นที่รวมดาว รวมพวกที่โดนเตะมา แต่มีวิชาความรู้ ได้อาจารย์คนแรกสอนงานสืบสวน คือ กิตติศักดิ์ เที่ยงกมล สอนเดินงานโทรศัพท์ ระหว่างนั้นทำคดีด้วยกันที่ต่างจังหวัด

 

เก็บองค์ความรู้ทางเทคนิค เกือบพลิกไปติดอาร์มกองปราบปราม

พล.ต.ต.พันธนะย้อนอดีตนายร้อยตำรวจจบใหม่ว่า รุ่นพี่แนะนำเวลาพาไปทำคดีจะสอนตลอดว่า หากมีคดีประเภทนี้ เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นมาจะต้องทำอย่างไร เรามีโอกาสซึมซับ และได้ไปรู้จักเครือข่ายบริษัทโทรศัพท์มือถือทุกระบบ เริ่มรู้วิธีการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ติดตามคดีอาชญากรรม ได้วิชาจนนายตำรวจรุ่นพี่ชมว่า มีแววใช้ได้  ความคิดความอ่านเหมาะที่จะไปอยู่กองปราบปราม

ต่อมาคำสั่งเปลี่ยนอาร์มเตรียมเปลี่ยนสังกัดอยู่กองบังคับการปราบปรามยุค พล.ต.ต.คำนึก ธรรมเกษม คุมบังเหียน เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองเมื่อ พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา ถูกปลดจากเก้าอี้อธิบดีกรมตำรวจ สะเทือนถึงตำแหน่งผู้บังคับการปราบปราม

เมื่อคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายสะดุด มีรุ่นพี่แนะนำให้ไปอยู่ทางหลวง “บอกผมว่า จะไปกองปราบทำไม ที่นั่นมันบาปไปถึงไม่รู้จะติดคุกหรือเปล่า ทำไมไม่ไปทางหลวง ผมบอกไม่ใช่ทางที่ผมชอบ เขาบอกว่า ผมเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า”

ได้จังหวะสัมผัสภาวะผู้นำ ข้ามฝั่งเป็นตำรวจท่องเที่ยว

ทำให้เขานึกถึงสมัยเป็นนักเรียนนายร้อยฝึกงานโรงพักตลิ่งชัน ถนนบรมราชชนนีกำลังก่อสร้างทางยกระดับ ขับรถไปพักเสียหายหมด กระนั้นก็ตาม เจ้าตัวลืมเล่าว่า อาจารย์คนแรกก่อนเจอกิตติศักดิ์ เที่ยงกมล แท้จริงเป็นภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่ถูกย้ายเป็นผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลตลิ่งชัน  “ชีวิตไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาอยู่งานสืบสวน ผมไปฝึกงานตลิ่งชัน พี่เลี้ยงโดนย้ายไปเป็นหัวหน้าสายสืบ แล้วเอาผมไปทำงานด้วย คอยแนะนำอะไรหลายอย่าง แต่สิ่งที่ผมได้ คือ ความเป็นผู้นำ เพราะทุกอย่าง ผมตัดสินใจคนเดียว มาถึง ก็นั่งรับคดี เป็นรองสารวัตรตัดสินใจคนเดียว บางคนไม่ได้สิ่งพวกนี้กลับมา เพราะชีวิตจะต้องถูกพี่เลี้ยง ห้ามทุกอย่าง แต่ผมเข้าเวรแล้ว ทำอะไรทุกอย่างคนเดียว การตัดสินใจในภาวะผู้นำเกิดขึ้นตรงนั้น”

เขาอธิบายความเพิ่มเติมว่า ได้ถือสำนวนเอง ตรวจที่เกิดเหตุเอง ได้ใช้ดุลพินิจในการทำงาน สิ่งที่ทำบางที บางทีผิดพลาด ไม่ใช่จะถูกเสมอไป แต่เราได้ทำ  สิ่งที่ผิด เช่น พูดจากับชาวบ้านไม่ดีก็มีบ้าง เช่น เวลามาถึงจะหาแต่ผู้กำกับ เป็นปัจจัยที่ทำให้รู้สึกว่า  อยู่ไม่ได้แล้วกรุงเทพฯ  มาถึงก็เรียกหาผู้กำกับการ แล้วเราเป็นใคร แบบนี้อยู่ต่างจังหวัดดีกว่า

ทำไปทำมาสุดท้ายย้ายจากกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบเป็นรองสารวัตรสถานีตำรวจทางหลวงเพชรบุรีอยู่ประมาณ 4-5 ปี เป็นหัวหน้าชุดเฉพาะกิจตั้งทีมสืบสวนของสถานี มีชุดเคลื่อนที่แล้วคุมพื้นที่รับเสด็จ ยึดติดกับหน่วยตำรวจทางหลวง แต่ขึ้นสารวัตรทางหลวงไม่ได้ เพียงเพราะอายุน้อยเกิน ต้องขยับเป็นสารวัตรสืบสวน กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว มีขุมกำลังลูกน้องประมาณ 70 คน

 

พิชิตแฟ้มคดีมากมาย ท้าทายตำนานนักสืบรุ่นใหญ่

สารวัตรสืบสวนตำรวจท่องเที่ยวเก่าเจอภารกิจท้าทายที่มีคนเตือนว่า ลูกน้องหลายคนแสบ คุมไม่ได้ แต่เขาสามารถบริหารหน่วยได้ไม่ยาก แถมมี พ.ต.ท.ชัชชัย เลี่ยมสงวน ที่โดนย้ายจากกองปราบปรามมาเป็นรองผู้กำกับท่องเที่ยวเป็นอาจารย์อีกคนที่สอนงานหลายอย่างจนเอาตัวรอด แต่ใจจริงอยากกลับไปเป็นตำรวจทางหลวง ทว่าติดกฎเหล็ก 2 ปีห้ามย้าย มีท่านปัญญา มาเม่น เป็นผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยวสอนตำราชั้นครูอีกคน

           ร่วมสืบสวนคลี่คลายคดีฆ่าหั่นศพในพื้นที่นครบาลประลองฝีมือกับสุดยอดอาจารย์อย่าง “ปรีชา ธิมามนตรี” ด้วยความห้าวตามวัย พล.ต.ต.พันธนะเล่าว่า ขอทำ ไม่ให้ทำ ก็จะทำ ให้เอามาคืนก็ไม่ให้ ต้องแข่งขันกันกับนครบาล ตัดหน้าได้ 2 คดีจนรู้จัก รู้มือกัน ตอนหลังมีโอกาสทำคดีใหญ่ด้วยกัน ต้องเข้าใจว่า เราเป็นสารวัตรจนมีชื่อเสียง เพราะว่า ได้วิชาจากหลายๆ คนประสิทธิ์ประสาทมาให้ “ผมไม่ได้เข้าเรียนสืบสวน ชีวิตผมเดินมา ผมไม่ได้มีใครมาขีดให้ผมเดิน แล้วผมไม่เคยรู้เลยว่า โรงเรียนสืบสวนคืออะไร ไม่ได้จบ ไม่ได้อะไร เพราะทุกอย่างเรียนรู้มาเอง สร้างทีมมากับมือ”

อยู่ทำงานร่วมกับ “ปัญญา มาเม่น”  เป็นสารวัตรตำรวจท่องเที่ยวนาน 5 ปีมากกว่าใคร  มีผลปฏิบัติงานพิชิตคดีสำคัญมากมาย  อยากไปใช้ชีวิตอยู่ภูเก็ตขอขึ้นรองผู้กำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว ได้ขึ้นเหนือเป็นรองผู้กำกับการ 4 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว แบบไม่รู้จักพื้นที่ ไม่รู้จักอะไร แต่มี พ.ต.อ.พีระ บุญเลี้ยง ตำนานมือปราบเป็นผู้กำกับ แต่ต้องไปช่วยราชการ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถึงมอบหน้าที่ให้เขารับผิดชอบคุมหน่วยแทน

 

โยกคุมพื้นที่ท่องเที่ยวภาคอีสาน ไม่นานกลับมารับผิดชอบภาคตะวันออก

            พล.ต.ต.พันธนะลำดับเรื่องราวว่า ทำหน้าที่เหมือนเป็นผู้กำกับทุกอย่าง บริหารจัดการพื้นที่คนเดียว ทำให้หน่วยมีหน้ามีตา ทำให้คนรู้จักตำรวจท่องเที่ยวมากขึ้น กำลังสนุกก็ถูกสั่งย้ายกลางอากาศกลับไปเป็นรองผุ้กำกับการ 1 กองบังตับการตำรวจท่องเที่ยว ทำงานสืบสวนอยู่พื้นที่เมืองหลวง เป็นหัวหน้าชุดปราบปรามคนร้ายข้ามชาติ และชุดเฉพาะกิจอีกหลายหน้างานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผ่านคดีดังสารพัดมาโชกโชน

อาวุโสครบขึ้น ผู้บังคับบัญชาเมตตาให้เป็นผู้กำกับการ 3 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว ได้ประสบการณ์คุมงานภาคอีสานแล้วโยกเป็นผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี  ช่วยงาน “ปัญญา มาเม่น” ที่เป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ทำงานถนัดเสริมเขี้ยวเล็บให้ตำรวจภูธรว่าด้วยเรื่องของท้องถิ่น ปีเดียวพอผู้เป็นนายเจอย้าย ตัวเองต้องหารันเวย์ลงตาม

ไม่ขอกลับท่องเที่ยวอยากเปิดประสบการณ์ใหม่เข้านครบาลเป็นผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลร่มเกล้า พล.ต.ต.พันธนะรับว่า สิ่งที่ได้ในการเป็นผู้กำกับการในพื้นที่นครบาลคือ งานมวลชน ยิ่งโรงพักร่มเกล้าเป็นพื้นที่ชุมชน เราเข้าถึงประชาชนได้จริง  ความเป็นผู้กำกับโรงพัก การดูแลพื้นที่ ได้ไปคุยตามชุมชนเวลาเจออะไรเราสามารถหารือได้ เป็นพื้นที่ที่แถลงข่าวได้แทบจะที่เดียว คดีสำคัญเกิด แล้วจับเอง แถลงเองทุกเดือน

 

วาดหวังโตในหน่วยนครบาล สุดท้ายต้องรับงานกองปราบจนได้

ทำโรงพักเพื่อประชาชนดีเด่นอันดับ 1 ส่งเสริมให้ขึ้นเป็นรองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 สนุกกับงานในนครบาลจนไม่อยากออกจากหน่วยตำรวจเมืองหลวง ทำให้เห็นถึงระบบที่เอาไปใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำงานธุรการ ที่แม้จะผ่านหน่วยสอบสวนกลางพบว่า ไม่ได้เก่งงานธุรการเหมือนนครบาล ถึงเลือกจะอยู่เพื่อเรียนรู้ศึกษางานด้านนี้ไปใช้ในอนาคต

เป็นแค่ 3 เดือนถูกทาบทามให้เป็นรองผู้บังคับการปราบปรามรับบทตำรวจติดอาร์มอีกเที่ยว “ได้มากองปราบจนได้ ไอ้ที่อยากจะไปไม่ได้ไป ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ แต่ได้ไป นี่คือ ชีวิตผมเลยนะ ทุกครั้งในชีวิตผมจะเป็นอย่างนี้ ไม่เคยได้อย่างใจ ไม่เคยที่เลือกแล้วได้ไป ขอไปโรงพักก็ได้สืบ จนไปอยู่นครบาล พอเสร็จแล้วโดนลากไปกองปราบ”

อยู่เบื้องหลังรันงานในกองปราบปรามให้หลายแฟ้ม ยุค พล.ต.ต.ชาญ วิมลศรี รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางไปรักษาการผู้บังคับการปราบปราม  “ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ ทำงานอยู่คนเดียวแล้วโดนย้ายไป ผู้ใหญ่บางคนบอกกูช่วยมึงได้แค่นี้ ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ระบบมันเป็นอย่างนี้” อดีตรองผู้บังคับการปราบปรามบอกเบื้องหลังฉากก่อนเด้งเป็นรองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 7

 

เผชิญชีวิตสืบสวนภูธรภาค มากด้วยเนื้องานคุณภาพจนนายไว้ใจ

เขาสารภาพว่า มีความสุขดีได้ทำงานสืบสวนภาค ไปทำคดีอีกแบบนาน 3 ปี ถูกย้ายเป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์  เที่ยวนี้เจอสาดมลทินกล่าวหาไปพบนายใหญ่ที่ประเทศสิงคโปร์ ดูประวัติรับราชการก็แล้วกัน ครั้งหนึ่งโดนย้ายเพราะหาไม่ดูแลเสื้อแดง รอบนี้บอกไปพบนายใหญ่ เคยชี้แจงให้ทุกคนแล้ว ไม่เคยไปหา ไปจริงสิงคโปร์จริง แต่ไปเที่ยว ตอนนั้นชี้แจงใคร ก็ไม่ได้ผลอะไร นี่คือ ตำรวจ ไม่เป็นไรอย่างน้อยได้เป็นรองผู้บังคับการจังหวัด ทำงานทุกอย่างที่ได้รับมอบหมาย

ด้วยความเป็นน้อง ทำให้ไม่ได้คุมสืบสวน ถูกมอบหน้างานสอบสวน “ไม่มีปัญหา ผมทำได้ทุกอย่าง เอาที่พวกพี่สบายใจเลย ผมบอก ชีวิตผมเป็นรองผู้บังคับการ ผมไม่เลือก ปรากฏว่า วันหนึ่งมีค้ามนุษย์โรฮิงญา ท่านสุชาติ ธีระสวัสดิ์ ไปประชุมคดี ผมนั่งทำสอบสวนในฐานะหน้าหัวหน้าพนักงานสอบสวนทิศทางสำนวนคดี ท่านสุชาติมาเจอผมอธิบายแล้วถามผมว่า ไปพรีเซนต์งานสอบสวนทำไม ผมบอกไปว่า ผมเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน แกหันไปหาผู้บังคับการทันทีว่า มึงบ้าหรือเปล่า คนแบบนี้เขาหาตัวกันทั้งประเทศ มึงให้มาคุมงานสอบสวน”

หลังจากออกประชุมคำสั่งเปลี่ยนแปลงหน้าที่ทันทีให้เขาไปคุมงานสืบสวนคลี่คลายคดีค้ามนุษย์โรฮิงญาจนสำเร็จ ไม่นาน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ไปรักษาการผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 มีคำสั่งให้เขาไปช่วยราชการตำแหน่งรองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 แล้วยังทำงานตำแหน่งรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ด้วยเช่นเดิม ต้องวิ่งรอก 2 ฝั่งชายทะเลกันเป็นว่าเล่นถึงขนาดนั่งเรือข้ามฟากมาทำงาน คิดแค่ว่า ทำอะไรได้ ก็ทำได้

เปลี่ยนวิถีเส้นทางขึ้นนายพล ยังมุ่งค้นปัญหาอาชญากรรมในปัจจุบัน

ต่อมาขึ้นเป็นผู้บังคับการข่าวกรองยาเสพติดเป็นครั้งแรก เก็บเกี่ยวองค์ความรู้ในการใช้เครื่องมือพิเศษกวาดล้างเครือข่ายยานรก ก่อนสลับเป็นผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ทำงานหน้าถนัดจนขึ้นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และกลับมาเป็นรองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกับมุมมองของอาชญากรรมในปัจจุบัน พล.ต.ต.พันธนะให้ความเห็นว่า เปลี่ยนไปตามเวลา อาชญากรรมต่าง ๆ ปัจจุบันเกิดขึ้นในโซเชียลเป็นส่วนใหญ่ แต่คนร้ายลักวิ่งชิงปล้นก็ยังไม่ได้หมดไป ไม่มีอะไรที่หมดไปได้จากโลกนี้ เพราะว่ามันเป็นคดีที่คนเดือดร้อน มันมีคนที่อาศัยช่องสบโอกาสอยู่  ทว่าบางอย่างเปลี่ยนไปตามวิถีไปโผล่ในโซเชียล

รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการศูนย์อำนวยการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติมองด้วยว่า การหลอกลวงทางโซเชียล เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ทำ ๆ กันมา เราเคยทำครั้งแรกตอนที่ตั้งฐานอยู่ประเทศจีน ตอนนั้นท่านนายปัญญา มาเม่น เป็นคนสั่งให้ไปสืบสวนเป็นครั้งแรกๆ ที่ไม่มีใครเชื่อ ไปสืบสวนทำข้อมูลกับพวกผู้ให้บริการทั้งหลาย แท็กข้อมูล ใช้เวลาเป็นเดือนเจอรังใหญ่อยู่กว่างโจว

“นำเสนอให้ผู้ใหญ่หลายหน่วย มีทั้งคนฟัง และคนไม่ฟัง ที่ไม่ฟังเพราะไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้ว่าจะเอาคนไปนั่งโทรศัพท์ที่เมืองจีนโทรกลับมาหลอกคนในเมืองไทย  พวกผมเป็นรุ่นบุกเบิกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในสมัยนั้น ทำมาหมดจนย้อนมาปัจจุบัน เทรนด์อาชญากรรมเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นคอลเซ็นเตอร์ วิธีการหลอก ก็เปลี่ยนไป สมัยก่อนหลอกให้กดเอทีเอ็ม ปัจจุบันก็หลอกให้โอน แต่มีการคิดรูปแบบต่างๆ ขึ้นมา รวมถึงการหลอกต่างๆ การหลอกขายของ การหลอกให้รัก ในอดีตแค่ส่งอีเมลเท่านั้น เหล่านี้เป็นวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นมาของอาชญากรรม เราจำเป็นจะต้องพยายามฝึกคนของเราให้เข้าใจและเข้าถึงในการสืบสวนมากขึ้น” พล.ต.ต.พันธนะเผยหลักคิด

พร้อมกางตำราจากประสบการณ์ เสริมสร้างงานพัฒนาเขี้ยวเล็บนักสืบรุ่นน้อง

            นายพลหนุ่มมากประสบการณ์งานสืบสวนทิ้งท้ายด้วยว่า ถ้าดูจากประวัติรับราชการจะรู้ว่า กำหนดอนาคตตัวเองไม่ได้ เพราะว่าไม่ได้เป็นคนกำหนดเองได้  ต้องไปในที่ที่ไม่ได้เลือก และไม่แน่ไม่นอน แค่ว่า เราไปไหน เราคิดว่า เราไปทำงาน  เป็นโอกาสที่ทำให้เราได้ไปสร้างเสริมประสบการณ์ให้ตัวเอง เก็บเกี่ยบ เอามาใช้ในการทำงาน ใช้ในการฝึกทีมงานต่อไป

“ฉะนั้นก็ชีวิตรับราชการของผมมาถึงตรงนี้แล้ว มันก็ไกลแล้ว และมันก็เหลือเวลาอีกไม่ได้เยอะอะไร ในช่วงที่เหลืออยู่ ก็ตั้งใจจะสร้างทีมที่สามารถทำประโยชน์ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดีที่สุด เหมือนได้มีโอกาสไปสอนในหลักสูตรนักสืบ 5 G”

เขาคิดว่า หลายๆ คนที่เข้าไปสอน มีวิชาความรู้ของตัวเอง  ตอนที่ตัวเองไปสอน ไปสอนเรื่องการให้สัมภาษณ์กับสื่อมากกว่า เพราะมองว่า ตำรวจเวลาให้สัมภาษณ์สื่อ บางอย่างยังไม่เก่งพอ แล้ยังไม่เข้าใจถึงจังหวะ จะโคน ในการตอบ ในการพูด เนื่องจากว่า สิ่งที่หลายคนสอนวิชาสืบสวนกัน เห็นว่า พวกเขาสอนกันไปหมดแล้ว นักสืบรุ่นใหม่ถึงต้องเรียนรู้ในตำราเรื่องที่ว่านี้ดีกว่า

 

 

 

RELATED ARTICLES