ผลการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรนอกจากสะท้อนความเป็นไปของเสียงประชาชนส่วนใหญ่ยังกระทบกระเทือนไปถึง “องค์กรสีกากี” ที่มีกำลังพล 2 แสนนาย
พวกเขาอาจต้องเตรียมดำเนินนโยบายตาม “ขั้วอำนาจเก่า” ที่เกาะชายคาสำนักปทุมวันมาตลอด 5 ปี
ดีกันเป็นกลุ่มก้อน
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้สิทธิคุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กวาดเอาขุนพลฟากตรงข้าม “เข้ากรุ” ป้องกัน “เสี้ยนหนาม” กลับมาทิ่มแทงเป็นแรงกระเพื่อมตั้งแต่หัววันที่นับการเริ่มต้นนั่งเก้าอี้เต็มก้น
สุดท้ายทำอะไรเพื่อองค์กรตำรวจชัดเจนมากน้อยแค่ไหน ต้องถามหัวใจตำรวจส่วนใหญ่รวมไปถึงครอบครัวลูกเมีย
ระบบคุณธรรมสร้างความยุติธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายได้หรือไม่
ระบบ “วิ่งเต้น” ใช้เส้นสายไป “บ่อนทำลาย” คนทำงานมีจริงหรือเปล่า
หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีจะหันมาเอาดี “สานต่อ” ร่างปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมที่มีตำรวจทั่วประเทศเป็น “เดิมพัน” ได้มากน้อยเพียงใด
แล้วยังจะปล่อยให้ “เหลือบไร” เข้ามาเกาะกินผลประโยชน์กับ “สำนักผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” ต่อไปใช่ไหม
นึกภาพการจัดตั้งรัฐบาลในอนาคตของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้ไม่ได้มาจากเผด็จการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นรัฐบาลที่มาโดยชอบธรรมจากการเลือกตั้ง (ที่ไม่เป็นปกติ) คาดเดาได้ไม่ยากจะมีพรรคการเมืองไหนร่วมสังฆกรรม
ชะตากรรมของตำรวจจะเป็นอย่างไร
ต้องมานั่งหวานอมขมกลืน “ตกเป็นทาสรับใช้” นักการเมืองเพื่อความเจริญรุ่งเรืองในตำแหน่งหน้าที่ หรือทุ่มเทตั้งใจทำหน้าที่ดูแลความสงบในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจนผู้หลักผู้ใหญ่เห็นควรหยิบยื่นความดีความชอบ
คำตอบไม่ได้อยู่ที่ตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่
มันอยู่ที่ใครจะมีอำนาจแท้จริงโผล่มาแย่งชิงกุมอำนาจรับผิดชอบสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่างหาก
เค้กก้อนนี้ย่อมมีคนในองค์กรเห็นดีด้วยหลายคน
เมื่อตลอด 5 ปีที่ผ่านมารู้แล้วว่า “รสชาติหอมกรุ่น” ของผู้กุมชะตากรรมชายคาสำนักเป็นแบบไหน
ไม่มีเหตุผลอะไรที่อยากให้อำนาจเปลี่ยนสี