“ถ้าเราคิดว่า เรายังรักกัน เราจะเสียเวลากับการโกรธกัน ไม่คุยกันไป เพราะอะไร”

ผ่านเรื่องราวชีวิตเลวร้ายถึงวันนี้ยังยากที่จะยอมรับ หากไม่ได้กำลังใจชั้นดีจากสามีผู้เป็นที่รัก

สารวัตรเอ้-พ.ต.ต.หญิง ปัญจวรรณ ริมผดี  สารวัตรผลัด 1 ฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาเข้า(โซนกลาง)ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภรรยา พ.ต.อ.เชิงรณ ริมผดี รองผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 43

เธอเป็นชาวกรุงเก่า เข้าเรียนโรงเรียนจอมสุรางค์อุปถัมป์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก่อนมาศึกษาต่อคณะบัญชี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขตพณิชยการพระนคร ไม่เคยคิดอยากเป็นตำรวจ มีความฝันวัยเด็กอยากเป็นพยาบาล

หลังจบปริญญาตรีเข้าทำงานด้านการตลาดที่บริษัทของญี่ปุ่น รู้สึกว่า ไม่ใช่ตัวเอง เพราะอยากใช้ความรู้ความสามารถรับใช้ประเทศชาติมากกว่า เนื่องจากพ่อรับราชการติดยศนายดาบตำรวจอยู่ที่พระนครศรีอยุธยา กลายเป้นแรงผลักดันให้เดินตามรอยพ่อสวมเครื่องแบบสีกากี เมื่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเปิดรับสมัครผู้ที่มีวุฒิปริญญาตรี เชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ จีน และญี่ปุ่น เข้าเป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตรเตรียมไว้รองรับการเปิดท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ

เธอสมัครสอบสายภาษาญี่ปุ่น รับแค่ 10 คนท่ามกลางคู่แข่งกว่า 3,000 ชีวิต ผลปรากฏสอบติดบรรจุลงเป็นรองสารวัตรฝ่ายตรวจคนเข้าเมือง (ขาออก) ท่าอากาศยานกรุงเทพ กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 มีส่วนทำให้เจอคู่ชีวิตในวัยที่ห่างกัน 10 ปี

“พี่เขาเป็นหัวหน้าครูฝึก ดูแลหลักสูตรฝึกอบรมระหว่างเตรียมบรรจุเข้าตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เรารู้สึกว่า เขาเท่มากนะตอนนั้น สาร์ทสมเป็นครู แม้จะดูดุ วางตัวเคร่งขรึมแต่จะดูแลทุกคนอย่างดี” สารวัตรเอ้ไม่เคยลืมภาพแรกที่พบสามี

รู้จักครั้งนั้นไม่มีอะไรมากมาย แค่เก็บความรู้สึกปลื้มไว้ลำพัง กระทั่งลงทำงานจริงเริ่มได้มีโอกาสพูดคุยเจอกันบ่อยมากขึ้น บ่มเพาะความรักให้ทั้งคู่ศึกษากันนาน 3 ปี ประตูวิวาห์จึงเปิดอ้าแขนรับเธอเป็นสะใภ้ของบ้านริมผดี ด้วยความที่ฝ่ายชายเป็นผู้ใหญ่ คุยปรึกษาได้ทุกเรื่อง มีความคิดและไลฟ์สไตล์คล้ายกัน ที่สำคัญ ไม่ได้คบหากันแบบเด็กวัยรุ่น เพราะต่างคนต่างเป็นผู้ใหญ่ ความคิดก็โตขึ้น ประกอบกับอาชีพเดียวกัน ทำให้ปรับตัวง่ายขึ้น

“พอแต่งงานกันแล้ว มันก็จะอีกแบบหนึ่งนะ เพราะตอนที่แค่คบกัน ยังต่างคนต่างอยู่ เมื่อแต่งงานกันแล้ว เหมือนว่า 24 ชั่วโมงที่เราจะต้องอยู่กับผู้ชายคนนี้ จะรู้สึกอีกแบบ แต่ก็ดีนะ สุดท้ายก็ต้องปรับตัวเข้าหากัน ใช้เวลาไม่นาน พี่เขาเคยบอกเสมอว่า เวลาจะโกรธกัน ทะเลาะกัน อย่าให้ข้ามคืน เพราะว่าสุดท้ายแล้ว ถ้าเราคิดว่า เรายังรักกัน เราจะเสียเวลากับการโกรธกัน ไม่คุยกันไป เพราะอะไร เราใช้เวลาให้มีความสุขดีกว่า ทุกๆ เวลา ชีวิตคนเรามันสั้น”

สารวัตรหญิงด่านตรวจคนเข้าเมืองสนามบินสุวรรณภูมิยอมรับว่า ชีวิตของเราก็เจออะไรมาด้วยกันหลายอย่าง เขามีครอบครัวมาก่อนแล้ว มีลูกติด 1 คน แต่เลิกรากันไปแล้ว แบบ เขาว่าเจอเรื่องผิดหวังมาไม่น้อย สุดท้ายแล้ว เราต้องมีความเข้าใจ มีความไว้ใจกัน กับสามีบางทีแทบไม่ต้องพูดเลยก็จะรู้กัน เพราะคิดคล้ายๆ กัน จะลำบากก็ช่วงเวลามีการแต่งตั้งโยกย้าย เหมือนจะเป็นที่ปรึกษาให้กันและกัน เป็นโค้ชให้ช่วยกันลุ้น เขาจะมาขอแนวคิดเป็นแนวแบบสุภาพบุรุษ ไม่แกร่งแย่งชิงดีชิงเด่นใคร ผิดกับเราจะแบบถึงไหนถึงกัน ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เต็มที่ แต่ก็ช่วยถ่วงความสมดุลครอบครัวได้

เจ้าตัวยังว่า ต่างคนต่างช่วยเหลือกัน แต่เส้นทางต้องดูแลตัวเอง วางแนวเอง การใช้ชีวิตครอบครัวจะว่าไปแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร เป็นตำรวจเหมือนกันมันยิ่งโอเค เพราะชีวิตตำรวจ เวลาไม่แน่นอน ถ้าสามีไม่ใช่ตำรวจคงเข้าใจเรายากเหมือนกัน งานของเราแทบไม่มีวันหยุดราชการ ไม่มีวันหยุดเทศกาล ห้ามลาเด็ดขาด สามีก็ไม่ต่างกัน ต้องเตรียมพร้อมเวลาช่วงเทศกาล บางทีไม่เจอกัน แม้สังกัดเดียวกัน อาศัยยกหูโทรศัพท์หากัน ใช้หลักความเข้าใจกัน ไว้เนื้อเชื่อใจกันให้มากที่สุดประคองครอบครัว

“ต่างคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะหน้าที่ในที่ทำงาน หน้าที่ของภรรยา หน้าที่ของสามี เราทั้งคู่เลยอยู่ด้วยกันได้ แทบจะไม่มีเรื่องทะเลาะกันเลย บางคนถ้าอายุต่างกันเยอะ มักจะมีปัญหาเรื่องไลฟ์สไตล์ แต่ของเราห่างกัน 10 ปี กลับไม่เป็นปัญหา เหมือนกับมากันคนละครึ่ง หรือบางทีพี่เขาแทบจะลงมาหาเอ้เองเลยด้วยซ้ำ เข้าใจในความเป็นเอ้ แบบที่เอ้เป็น”

เธอบอกว่า สามีเป็นคนจริงจังในการทำงานมาก แต่ถ้ากลับบ้านจะเป็นอีกบุคลิก เราก็จะช่วยรับฟัง คิดว่าเป็นเรื่องดีมาก ไม่ได้มองว่า เป็นการเอาเรื่องเครียดมาให้เรา ชอบฟังเวลาสามีเล่าโน่นเล่านี่ กลายเป็นเราได้เก็บเรื่องเหล่านั้นมาเป็นประสบการณ์ไปด้วย ไม่ต้องไปหาเรียนรู้จากไหน สามารถเรียนรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ ได้จากสามี จากคู่ชีวิตของเราได้เลย ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ในการทำงาน และเป็นที่ยอมรับของผู้บังคับบัญชา

ถึงกระนั้นก็ตาม ทั้งคู่กว่าจะมีวันนี้ต่างผ่านอุปสรรคที่หนักหนาสาหัสมาด้วยกัน เมื่อต้องสูญเสียลูกสาวคนแรกหลังจากลืมตาดูโลกได้เพียง 3 เดือน สารวัตรเอ้เล่าว่า เหมือนกับโครโมโซมไม่แข็งแรง คลอดมาได้ 3 เดือนอยู่ในห้องไอซียูตั้งแต่แรกคลอดตลอดแล้วก็เสีย ตอนนั้นรู้สึกแย่มากๆ เลย สำหรับคนเป็นแม่ เป็นช่วงเวลาแย่ที่สุดในชีวิต แต่ได้หลาย ๆ คนช่วยกันดูแล ทั้งครอบครัวเรา ครอบครัวสามี

ภรรยารองผู้บังคับการหนุ่มระบายความรู้สึกอีกว่า  ตอนยังอยู่โรงพยาบาล สามีก็ดูแลดีมาก ทำทุกอย่างให้เราหมด บางอย่างไม่คิดว่า เขาจะทำให้เราได้ เขาก็ทำให้เรา เราไปอยู่กับลูกทุกวัน เช้าก็ไปห้องไอซียู เลิกงานสามีก็มารับกลับ เฝ้าเยี่ยมเช้า เย็น แล้วลูกสาวจากไป กำลังน่ารักมากด้วย หลังจากนั้นก็ปล่อยระยะเวลาประมาณปี มีอีกคนได้ผู้ชาย กลับเหมือนพี่สาวอีก ตรวจเจอตอนอายุครรภ์ได้ 5 เดือนกว่า

“หมอบอกว่า ถ้าปล่อยไว้จะกระทบกระเทือนจิตใจคุณแม่แย่กว่าเดิม  หมอว่าจะเสี่ยงทุกการตั้งครรภ์ หรือบางครั้งถ้าเขาคลอดออกมาแล้วไม่เป็นไร อาจจะมาค่อยๆ แสดงอาการทีหลังก็ได้ เราจะยิ่งเสียใจ เราดูแลเขาได้ แต่ถ้าเวลาที่ไม่มีเรา เขาจะอยู่ยังไง เลยให้ยุติการตั้งครรภ์ มันเป็นช่วงที่เลวร้ายซ้ำหนัก คุยกันเยอะมากกับพี่เขา ทุกวันนี้ก็ยังทำใจไม่ได้ คิดว่าอยู่กันสองคนตายายนี่แหละ ตัดสินใจไม่มีดีกว่า” เธอน้ำตาคลอเบ้าคิดถึงอดีตที่ต้องสูญเสียทายาทตัวน้อยไป2 คน

ชีวิตของเธอและสามีถึงทุ่มเทเวลาว่างไปกับการท่องเที่ยวดูธรรมชาติตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าเมืองไทย หรือเมืองนอก และเป็นการพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศไปในตัว ถ้ามีเวลาเที่ยวสั้น ทั้งคู่จะไปดูหนัง หรือทำกับข้าวอยู่บ้าน เพราะฝ่ายชายทำกับข้าวเก่งมาก

มันเป็นชีวิตเปี่ยมความสุขของครอบครัวริมผดี หลังเผชิญมรสุมที่หนักหนาสาหัสมาไม่น้อย

 

RELATED ARTICLES