“เราต้องทำครอบครัวตัวเองให้ดีที่สุด ทำหน่วยเล็ก ๆ ของตัวเองให้ออกมาดี”

าวปัตตานีดีกรีบัญชีการตลาด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลงคาคมตกหลุมรักนายร้อยตำรวจหนุ่มมาตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ

คุณสิรินงนาฎ เพรียวภากร ยังจำภาพความหวานประทับใจที่พบรักกับ พ.ต.อ.ศักดิ์รพี เพียวพนิช รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ไม่ลืม เธอเล่าว่า เพิ่งเรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำงานอยู่ FLY NOW มีเพื่อนเป็นแม่สื่อชวนไปงานรับพระราชทานกระบี่เขาที่สวนอัมพร ตอนแรกไม่รับปาก พอวันจริงก็ไม่ได้ซื้อดอกไม้อะไรเตรียมไว้ ไปเจอดอกบัวที่ท่าพระจันทร์กำละ 5 บาทเลยเอาติดไม้ติดมือไปฝาก

เธอยอมรับว่า ไม่เคยชอบตำรวจ ที่บ้านทำการค้าอยู่ปัตตานี เคยมีตำรวจมาค้นบ้านให้ความไม่เป็นธรรมก็ไม่ค่อยชอบอาชีพตำรวจ พ่อแม่ตอนแรกไม่สนับสนุน ตอนหลังมองว่า เขามีแววว่าจะมั่นคงน่าจะดูแลรักลูกสาวเราจริง ถึงตัดสินใจไฟเขียวให้คบหาดูใจกัน

กระทั่งได้พิสูจน์บทรักแท้ เมื่อครั้งสามีเป็นรองสารวัตรอยู่จังหวัดเลยแล้วประสบอุบัติเหตุขับรถประสานงารถบรรทุกสิบล้อในอำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย มีลูกน้องและรุ่นน้องตาย 2 ศพ รถพังยับเยิน “สารวัตรใหญ่โทรศัพท์มาบอกว่า ที่ไปด้วยกันตาย 2 ศพ ส่วนสภาพของเขาให้มาดูเอง ไม่ยอมบอกว่าเป็นอะไรมาก เราก็นั่งรถทัวร์กรุงเทพฯ-เลย ประมาณ 12 ชั่วโมง ณ เวลานั้นต้องตัดสินใจแล้วว่า ถ้าสภาพไหนก็ต้องเลือก ไม่รู้กินดีหมีมาจากไหน หากพิการก็จะเลือกดูแลเขาตลอดชีวิต ไปถึงเห็นนอนไอซียู เปลือกตาหลุด แขนเหวอะ ตอนแรกหมอบอกแขนเดาะ อยู่ไปอยู่มา 3-4 วันแขนเริ่มเขียวเลยเอาเข้ากรุงเทพฯ มารักษาโรงพยาบาลตำรวจ หมอบอกว่า ถ้ามาช้าไม่กี่วันอาจต้องตัดแขนทิ้ง เลือดไม่ไปเลี้ยง เนื้อตายหมดแล้ว”

นอนรักษาตัว 3 เดือน คุณสิรินงนาฎบอกว่า หมอดูแลอย่างดี เป็นอัมพฤกษ์อยู่ประมาณร่วมปีเราก็ดูแลเขาตลอด ต้องกายภาพบำบัด คิดกันว่า อย่างมากก็คงอาจได้ทำงานธุรการ ชีวิตราชการเขาคงไม่รุ่งแล้ว ปรากฏว่า เขากลับไปเข้าเวรสอบสวนอยู่เมืองขอนแก่น พิมพ์ดีดมือเดียว ก่อนย้ายเป็นรองสารวัตรสืบสวน ส่วนออกจาก FLY NOW กลับไปทำธุรกิจโรงงานกระจกที่บ้าน และตัดสินใจแต่งงานย้ายตามไปอยู่จังหวัดขอนแก่น

คุณสิรินงนาฎวางมุมคิดถึงการได้เข้ามาเป็นคู่ชีวิตผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ว่า ต่างคนต่างทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ฝ่ายเราเป็นหลังบ้านก็จริง นอกจากคอยดูแลลูก ยังต้องช่วยสร้างความมั่นคงของครอบครัวจากธุรกิจ ส่วนสามีก็ทำหน้าที่ของตัวเอง คือ เป็นข้าราชการทำให้เต็มที่ ดูแลประชาชน ไปพัฒนาหน่วยงานเต็มที่ เผลอ ๆ เงินของธุรกิจอาจไปช่วยเป็นบางครั้งด้วยซ้ำ พยายามสร้างความสุขในครอบครัวเมื่อไม่มีปัญหาเรื่องเงินเข้ามา เพราะส่วนใหญ่ปัญหาของสามีภรรยาหนีไม่พ้นเรื่องเงิน

 “การคิดแบบขัดสน ถ้ามัวจะไปมองถึงเรื่องมัธยัสถ์ อดออม จะกลายเป็นข้อแม้ที่ตัวเองตั้งไว้ ถามว่า ตัวเองทำงานในหน้าที่ตัวเองดีพอหรือยัง เต็มที่หรือยัง แล้วไปกดไปบีบตัวเองอยู่กับความอัตคัดแถมไปมองคนที่ประสบความสำเร็จในแง่ว่า คนรวยต้องโกง คนรวยเอาเปรียบ ไอ้ความรู้สึกแย่ ๆ แบบนี้ มันจะสะสมทำให้เราแย่ลง วัน ๆ ก็ด่าแต่โลก ด่าแต่สังคม สำหรับเรากลับมามองตัวเองดีกว่า เราต้องทำครอบครัวตัวเองให้ดีที่สุด ทำหน่วยเล็ก ๆ ของตัวเองให้ออกมาดี”

 ภรรยาคนเก่งของนายตำรวจคนดังเล่าว่า ตั้งแต่เริ่มต้นแต่งงาน คิดกับสามีแล้วว่า จะหาอะไรทำเพื่อช่วยสามี ไม่อยากเป็นแม่บ้านอยู่เฉย ๆ ก่อนเลือกธุรกิจขายเสื้อผ้า สมัยนั้นเทรนเสื้อผ้าฮ่องกงกำลังมาแรง เลยบินไปฮ่องกงเอามาขาย มีเพื่อนสามีเป็นเจ้าของห้างแฟรี่กลางเมืองขอนแก่นช่วยหาทำเลเปิดร้านขายในห้างให้ ติดยี่ห้อมาดามที่คิดกันเอง นั่งอยู่ร้านตั้งแต่เช้ายันเย็นประสบความสำเร็จดีมาก แต่เปิดได้ไม่ถึงปีก็เกิดไฟไหม้ห้าง ช่วงนั้นยอดดีมากอัดของเข้าไปเต็มที่ เราอยู่กรุงเทพฯ ไฟไหม้หมดทั้งห้างของเสียหายหมด รู้สึกว่า อึ้ง ชา ดีที่เรายังมีพ่อแม่ที่เป็นที่พึ่งตลอดเวลา โทรไปบอกว่า เกิดเหตุการณ์แบบนี้นะ พ่อแม่ก็บอกไม่เป็นไร ร่างกายยังอยู่ ชีวิตจิตใจยังอยู่เริ่มใหม่ได้ พ่อแม่เราก็ผ่านชีวิตหนักหนาสาหัสมาเยอะเหมือนกัน แต่จะไม่ปล่อยให้ลูกลำบาก

ผ่านวิกฤติชีวิตครั้งนั้น เธอบอกว่า แม่แนะนำให้เราค้าขายเหมือนแม่ก็แล้วกัน เราโตมาจากการขายอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยเจ้าใหญ่ในปัตตานี แม่จะถนัด เราก็ตกลงเริ่มขายอุปกรณ์เย็บปักเริ่มเปิดกิจการเล็ก ๆ ซึ่งเป็นช่วงกำลังท้องพอดี ก่อนจะมาเกิดจุดพลิกผันอีกครั้ง เมื่อพ่อแม่ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำเสียชีวิต ทำให้ต้องยืนด้วยขาตัวเอง ช่วยหาเงินกับสามี ทั้งแลกเช็ค กู้เงิน บางวันไม่มีเงิน สามีต้องเอาปืนไปจำนำ เอาสร้อยไปจำนำหาเงินมาหมุนใช้จ่ายในครอบครัว แต่สิ่งที่เราตั้งใจไว้ คือ เราจะไม่เขียนเช็คเด้ง เราจะไม่โกง ต้องมีวินัย เพื่อไม่ให้เสียเครดิต

ทั้งคู่มีพยานรักเป็นลูกชายคนเดียว คือ “น้องเพรียว” เพรียวภูมิ เพียวพนิช ที่เป็นแรงใจขับเคลื่อนชีวิตครอบครัวให้ต้องก้าวเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง หลังคลอดลูก คุณสิรินงนาฎ วางแผนสู้ชีวิตใหม่ไปเรียนเสริมสวยที่โรงเรียนเกตุวดี ด้วยความที่ชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แม้จะเหนื่อยมาก ไม่ได้เรียนรู้มาก่อน แต่ก็ต้องอดทน เรียนได้ 4-5 เดือนคว้าประกาศนียบัตรโบว์ทองติดมาด้วย “เราค่อนข้างภูมิใจนะ เอาความรู้ตรงนี้ไปเปิดร้านทำผมได้พื้นที่ห้างแฟรี่ใหม่ ตอนแรกจับสลากไม่ได้ เหลือแค่ที่เป็นทางขึ้นลานจอดรถเก่า ตัดสินใจเอา ทำเป็นร้านยก 3 ระดับ ได้น้องที่เกตุวดีมาช่วย ใช้ชื่อ นีน่าซาซูน”

ต่อมา สามีย้ายไปอยู่โรงพักพัทยา ชลบุรี ทั้งคู่ตัดสินย้ายกิจการที่มีอยู่กลับเข้ากรุงเทพฯ เริ่มหาทำธุรกิจใหม่ที่ แม่บ้านสาวสวยเล่าว่า ตอนแรกก็ชั่งใจอยู่จะไปพักที่พัทยาก่อนดีไหม แต่ผู้ใหญ่หลายท่านแนะนำว่า เอาเข้าจริง ชีวิตสุดท้ายก็จะไปอยู่กรุงเทพฯ เรายังมองถึงเรื่องอนาคตของลูกด้วย ทั้งแหล่งการศึกษา จะย้ายตามสามีตลอดก็ไม่ไหว หลังขายหุ้นร้านเสริมสวยว่างอยู่ไม่นาน ได้คุยกับพี่ชายที่เป็นหมอเปิดคลินิกเสริมความงามเล็ก ๆ ทำให้เกิดไอเดียธุรกิจเครื่องสำอาง พี่ชายเป็นคนปรับสูตรจากการที่ลูกค้าคลินิกใช้แล้วมาบอกผลจนเหมาะเจาะลงตัว

เธอใช้ชื่อผลิตภัณฑ์ตัวนี้ว่า “เวชสำอาง PUREKA ค้นพบความบริสุทธิ์ของเซลผิวอีกครั้ง”สตาร์ตจากการขายตรงเน้นราคาไม่แพง แต่เป็นของดีจริง ๆ ใช้แล้วเห็นผล ปลอดภัย ไม่ใส่สารที่อันตราย จากการคิดค้นของเภสัชกรอาชีพได้ผลตอบรับดีมาก มีกลุ่มลูกค้ามากมาย ก่อนรับเป็นเอเย่นต์จัดจำหน่ายขยายเข้าสู่คลินิกของน้องสาวที่มีหลายสาขา ตั้งแต่แม่ฮ่องสอน ถึงเบตง จังหวัดยะลา กระทั่งซื้อหุ้นคลินิกของน้องสาวที่อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เอาไปบริหารเองเต็มตัว  ในนาม PUREKA CLINIC เพราะเราเข้าใจ ใครก็อยากสวย

ธุรกิจตัวนี้ถือว่า ประสบความสำเร็จก้าวกระโดดจากการทำระดับต่างจังหวัดเข้าสู่แบรนด์อินเตอร์ คุณสิรินงนาฎ ยอมรับว่า ใช้พลังใจค่อนข้างเยอะ ต้องขอบคุณครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง เจ้าของหลักสูตรเข็มทิศจิตใต้สำนึก เปิดให้เราเข้าไปเรียนรู้ถึงจิตใจการใช้ความคิด ครูอ้อยบอกว่า คนเรามีกับดักของการที่ไม่กล้าทำงานใหญ่ พอเราเข้าไปเรียนรู้ ทำให้รู้ว่า ถ้าวันหนึ่งเราได้เคลียร์ปมของชีวิตตัวเองบางส่วนที่ทำให้กับดักเราในเรื่องความกลัวในการทำงานใหญ่แล้ว มันจะสามารถคิดไปได้ไกลอีกมาก ทำให้ศักยภาพของคน ๆ หนึ่งมันสามารถมองข้ามชอตไปได้ ทำให้เรากล้าและแกร่ง ถามว่า ปัญหาเยอะหรือไม่ แน่นอนทุกอย่างมันใหญ่ขึ้น ถ้าเมื่อไร เราคิดว่า ทำได้ เราก็ทำได้

กลายเป็นจุดเริ่มของธุรกิจท้าทายตัวใหม่กับร้านสเต็กฝรั่งเศสแบรนด์ดังระดับโลก Hippopotamus  GRILL RESTAURANT ซีอีโอสาวเผยถึงเบื้องหลังว่า ด้วยความบังเอิญที่มีเพื่อนบ้านชาวฝรั่งเศสแต่มาได้ภรรยาคนไทยอัธยาศัยน่ารัก อยากได้พาร์ทเนอร์ เราเห็นกันมาหลายปี ไม่เคยคุยกันเรื่องธุรกิจ คุยกันแค่เรื่องลูก เรื่องสัพเพเหระ เขาชวนมาแชร์ทำธุรกิจร้านสเต็ก Hippopotamus ซึ่งตระกูลใหญ่ ๆ ในเมืองไทยพยายามจีบให้เขาเป็นหุ้นส่วน แต่เขาเลือกเรา เรามองว่า การเป็นพาร์ทเนอร์มันเหมือนเป็นคู่ชีวิต ต้องไปกันอีกไกล ถึงร่วมลงทุนทำธุรกิจท้าทายตัวนี้ ประเดิมสาขาแรกที่เซ็นทรัล พระราม 9 แต่เป็นสาขาที่ 145 ของโลก ตามด้วยที่ลานน้ำพุ ชั้น 1 เมก้าบางนา อนาคตกำลังจะเปิดที่เซ็นทรัล พัทยา อีกสาขา

“มันเป็นแบรนด์ที่ดังในต่างประเทศ พอพูดกับเพื่อนฝูงที่ไปต่างประเทศ รู้จักกันดีว่า เป็นร้านเก่าแก่กว่า 40 ปี ทุกคนตื่นเต้นมากเมื่อรู้ว่า เราได้แบรนด์เป็นตัวแทนแต่เพียงผู้เดียวในเมืองไทย ทั้งที่ตอนแรกเรามองว่า มัน คือ ร้านอาหารร้านหนึ่งในต่างประเทศ นึกไม่ถึงว่า ร้านนี้มันจะนานมาก พอบินไปดูที่ปารีส พบว่า คนแน่นร้านมาก เป็นสเต็กระดับพรีเมียมราคาไม่แพงมาก แต่รสชาติดี  นักบิน ลูกเรือ นักธุรกิจที่ไปการันตีว่า อร่อย ทุกคนจะถามเลยว่า เอาแบรนด์มาได้อย่างไร เราคิดว่า ถ้าใจเชื่อแล้วว่า เราทำได้ ทุกอย่างจะจัดสรรให้ลงตัว”

นักธุรกิจหญิงให้เหตุผลว่า ถึงตรงนี้จะใหม่จริง แต่เราเชื่อว่า ถ้าเปิดใจจะเรียนรู้ซึ้งกันและกัน ต้องไปได้ อนาคตวางไว้ต้องเพิ่มสาขาในเมืองใหญ่ ๆ อาจเข้าไปในจุดที่คนเยอะ ๆ  เจาะให้ตรงกลุ่ม ฝรั่งมองว่า แบรนด์เขาแน่มาก เราสองคนกับสามีก็มองว่า กลองเนื้อดี ถ้าไม่มีใครตีก็ไม่ดัง เพราะใหม่มากในเมืองไทย อาจจะเก่าแก่ในฝรั่งเศส ข้อเด่นของร้าน แน่นอนที่สุด คือ รสชาติอาหาร เป็นเนื้อวัวชั้นดีจากประเทศออสเตรเลีย แต่เป็นสูตรการปรุงของฝรั่งเศส แม้ในชีวิตไม่เคยทำร้านอาหารเลย ยังคิดว่าเป็นธุรกิจสุดท้ายที่จะทำ เพราะรู้ว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก ซับซ้อน ต้องควบคุมเรื่องคน ต้องจ่ายตลาด เมื่อมันเป็นโอกาสก็ไม่ปล่อย

 

 

RELATED ARTICLES