จำไม่ได้ใช้เวลานานเท่าใด อยู่ในขุมนรกเรือนจำจังหวัดทหารบกอุตรดิตถ์ ศาลทหารจะพิพากษาอย่างไรไม่สนใจ มีอย่างเดียวพึงปฏิบัติ ต้องอดทนต่อสภาวะ “กลืนเลือดตัวเอง”…… แน่นอน “มันแสนสาหัส” และท่องคำว่า “ติดคุกยังมีวันออก” เพื่อประโลมใจให้ต่อสู้กับทุกสิ่งที่ขวางหน้า
ภาพทั้งหมดมันเลอะเลือนเหมือนอยู่ในความฝัน เมื่อออกจากคุกก็มาตั้งสติพิจารณาตัวเอง ทำไมชีวิตเราถึงตกต่ำอย่างไม่น่าเชื่อปานนั้น อยู่ในคุกไม่มีใครมาเยี่ยม แม้แต่เพื่อนก็ไม่รู้ว่าผมหายไปไหน ก็ดีไปอย่างพวกเขาไม่ต้องมาเห็นสภาพทุเรศ มนุษย์ลากลูกกลิ้งยักษ์บดสนามเทนนิสเหมือนวัวควายลากคันไถ ลากกลับไปกลับมากลางแดดเปรี้ยงจนกว่าขี้เกลือที่เกาะกับผิวดินจะราบเรียบเป็นเนื้อเดียวกัน
ไม่อยากโทษกองทัพบก ต้องโทษตัวเอง เพราะกองทัพไม่ได้บังคับขืนใจให้ไปเป็น แต่เราสมัครใจเอง ทำชีวิตตัวเองให้มีราคาแค่เดือนละ 500 – 600 บาท ผู้บังคับบัญชาทุกระดับไม่เคยมาสนใจในความเป็นอยู่ ไม่ว่าผู้บังคับหมวด ผู้บังคับกองร้อย ส่วนใหญ่ก็มาจากนักเรียนนายร้อยสำรอง ทุกคนสนใจแต่ตัวเอง ทุกคนมีรถหลวงน้ำมันหลวงใช้สบายไม่ต้องควักกระเป๋าเช่าบ้านเหมือนนายสิบ
อิจฉาความเป็นอยู่ของพลทหาร ผมเป็นนายสิบยังสู้ไม่ได้ พวกเขามีโรงนอนมีเตียงนอน มีอาหารการกินค่อนข้างสมบูรณ์ไม่เหมือนพวกผมที่ต้องดิ้นรนทุกวันเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด
พลทหารถูกเกณฑ์มาจากคนในท้องถิ่นและจังหวัดใกล้เคียง แม้อุตรดิตถ์จะอยู่ในโซนภาคเหนือ แต่ก็เป็นภาคเหนือตอนล่าง ผู้คนในตัวเมืองกินข้าวขาว แต่คนที่อยู่ในชนบทห่างไกลยังบริโภคข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก พลทหารเกณฑ์เหล่านี้ก็เช่นกัน พวกเขาต้องถอดร่างพลเรือนกองไว้หน้ากองพันแล้วถูกฝึกอย่างหนักเพื่อให้ร่างกายและจิตใจเป็นทหารเป็นรั้วของชาติ และเป็นทหารม้ายานเกราะ
ฝึกไปฝึกมาทำไมทหารเกณฑ์เหล่านั้นจึงดูระโหยโรยแรงเหมือนกันทุกคน เมื่อสอบถามก็ได้ความชัดแจ้ง พวกเขาเคยกินแต่ข้าวเหนียว พอมาเจอข้าวแดงก็เลยไม่อิ่มท้อง เรี่ยวแรงหดหายไปหมด
กองพันต้องส่งนายสิบสูทกรรมไปเรียนวิธีนึ่งข้าวเหนียวด้วยกระทะใบบัว กลับมานึ่งข้าวเหนียวให้พลทหารได้ทันเวลา เมื่อมีข้าวเหนียวไปอยู่ในกระเพาะ พวกเขาก็เริงร่ามีกำลังวังชา แถมการจัดเลี้ยงก็ไม่ยุ่งยาก เดิมทีที่หุงข้าวแดงต้องมีกับข้าว 2 อย่างและจัดเลี้ยง 3 เวลา พอเปลี่ยนเป็นข้าวเหนียว เลี้ยงเฉพาะมื้อเช้ากับมื้อเย็น กับข้าวก็ลดเหลืออย่างเดียว แล้วอยู่กันได้อย่างไร
คืออย่างนี้ครับ เมนูกับข้าวที่กินกับข้าวเหนียว มีต้มเครื่องในวัวกับเนื้อเค็มและของแห้ง ๆ อะไรอีกอย่าง อาจจะเป็นปลาทูเค็ม หรือปลาซิวเค็มก็ได้ หมุนเวียนกันไป ไม่มีใครบ่นเพราะถูกปากถูกคอทหารมาก กินอาหารเช้าเสร็จก่อนกลับกองร้อยเตรียมตัวฝึก พวกเขาจะเอาข้าวเหนียวห่อผ้าข้าวม้ารวมทั้งเนื้อเค็ม หรือปลาเค็ม ถ้าเป็นต้มเครื่องในก็เอาแต่เนื้อไม่เอาน้ำห่อไปด้วย เป็นอาหารมื้อกลางวันซึ่งกองพันไม่ต้องหุงหาให้เสียเวลา เพียงแต่สองมื้อนั้นเพิ่มปริมาณให้มากขึ้น
หันมาดูตัวเองอยู่ในภาวะเบื่อหน่าย และเซ็งสุด ๆ กลายเป็นสิ่งเปรียบเทียบกับเพื่อน ๆ ที่เป็นทหารออกแนวเรียบร้อยซึ่งรวมกลุ่มผู้มีรสนิยมเดียวกันเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน พวกนี้กลับจากทำงานจะหุงหาอาการกินเอง กับข้าวกับปลายืนพื้นเป็นน้ำพริกกะปิโขลกเองตำเอง เครื่องเคียงหนักไปทางผักหญ้า ทั้งสด และต้มจานใหญ่ ตามด้วยไข่น้ำอีกหม้อก็เพียงพอสำหรับ 4-5 คนที่อยู่บ้านเดียวกัน กินเสร็จก็ออกไปเดินเล่นที่ตลาด บางคนก็แวะเข้าโรงหนังดูหนังฟรีแล้วกลับบ้านนอน ตื่นเช้าแต่งตัวไปทำงาน
ผิดกับพวกผม ในบ้านไม่มีเครื่องครัวแม้แต่ชิ้นเดียว ไม่ว่าจะเป็นจานหรือช้อน ทุกคนฝากท้องไว้ที่ตลาด อดบ้างอิ่มบ้างก็ว่ากันไป หรือไม่ก็กินเหล้าเมายาไปตามประสาเด็กหนุ่มอายุยี่สิบกว่าเล็กน้อย ประเภทมีชีวิตซังกะตายอยู่ไปวัน ๆ เหมือนไร้มันสมอง ตื่นไม่ทันรถบริการไม่ไปทำงาน ถึงสิ้นปีพวกผมจึงถูกแป๊กขั้นกันระนาว เป็นบันไดให้เพื่อน ๆ ประเภททหารน้ำดีได้เลื่อนขั้นเลื่อนยศเป็นแถว
4 ปีในเมืองแม่ม่ายมันอิ่มตัวแล้ว ชีวิตผมมันสัมผัสอะไรต่อมิอะไรมากมาย มันเป็นชีวิตที่กร้านแดดและทนฝนน้อยคนนักที่จะได้รับรู้รสชาติ
ผมกับพวกถูกขาใหญ่ไล่ยิงกลางตลาดอำเภอลับแล เรื่องมันเป็นอย่างนี้ คืนหนึ่งผมกับพวกซึ่งอยู่ในอำเภอเมืองไปกินเหล้าบ้านเพื่อนซึ่งเช่าบ้านอยู่ที่ลับแล พอเมาได้ที่ก็ไปสูบกัญชากับชาวบ้านในละแวกนั้น ขากลับบ้านค่อนข้างวิกาล เดินคุยกันหัวเราะกันไปตามถนน จู่ ๆ ก็มีชายสองคนเดินสวนมา เสียงตะโกนลั่น “เฮ้ยไอ้พวก ม.พัน 9” แล้วตามด้วยเสียงปืนดังสนั่นติดต่อกันราวจุดประทัด พวกผม 4 – 5 คนต่างกระโจนหมอบข้างถนนไม่มีใครกล้าเงยหัว คนมากกว่าก็จริงแต่มีแค่ปืนพกไทยประดิษฐ์กระบอกเดียว
พวกเรารู้ สองคนนั่นเป็นลูกชายเจ้าพ่อลับแล มีบ้านหลังใหญ่อยู่ริมถนนทางที่จะไป ม.พัน 9 เขาเกลียดขี้หน้าพวกเราเข้ากึ๋นน่าจะมีสาเหตุมาจากเรื่องผู้หญิงมากกว่า เพราะพวกผมไปเด็ดดอกฟ้าลับแลมาเชยชมหลายดอกด้วยกัน เจ้าพ่อเลยต้องสำแดงฤทธิ์เดชให้พวกเราเห็น เขายิงปืนขึ้นฟ้าเป็นการขู่ไม่ต้องการเอาชีวิต แต่พวกผมถือว่าถูกหักเหลี่ยมแล้วจะทำอย่างไรดี
สุมหัวคิดกันว่าต้องขว้างระเบิดบ้านเจ้าพ่อจึงจะสาสม ระเบิดมือน่ะพอหาได้ แต่พาหนะจะเอาที่ไหน มีแต่รถยีเอ็มซี.ของกองพัน แต่ต้องขโมยออกมา และมันไม่ใช่เรื่องง่าย ทำไปทำมาจะกลายเป็นเรื่องใหญ่กว่าพังร้านกาแฟ “หวานเย็น” หน้าโรงหนังคลองโพธิ์ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ สุดท้ายต้องเลิกล้มแผนแก้แค้น ปล่อยให้ถูกหยามน้ำหน้าไปฟรี ๆ เพราะถ้าไปทำอะไรรุนแรง เพื่อนเราที่เช่าบ้านอยู่ลับแลหลายสิบหลังจะเป็นผู้รับเคราะห์ในภายหลัง
อีกฉากหนึ่ง มีลิเกมาเช่าโรงหนังคลองโพธิ์แสดง มีคนแนะนำเจ้าของคณะมารู้จัก เขาเชิญให้ไปดูลิเกไฮเทคเหาะเหินเดินอากาศได้ ผมตกปากรับคำทั้ง ๆ ไม่ชอบดูลิเก คืนนั้นหลังจากเมาได้ระดับก็เข้าไปหลังเวที ปี่พาทย์กำลังโหมโรง ตัวลิเกกำลังแต่งหน้าแต่งตัว หัวหน้าคณะจัดการต้อนรับผมด้วยกัญชาพิเศษ ที่ว่าพิเศษนั้นตามปกติบ้องสูบทำด้วยกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำ แต่นี่บ้องสูบทำจากขวดแก้วใสใส่เบียร์แทนน้ำธรรมดา รสชาติมันจึงไม่ธรรมดา
เมาเหล้าเมากัญชา ผมนอนดูลิเกข้างหลีบ พระเอกกับตัวโกงรบกันกลางอากาศ ใช้ตะขอเกี่ยวตัวกับรอกแล้วดึงเชือกขึ้นไป สนุกและตื่นเต้นมาก ไม่น่าเชื่อผมดูจนลิเกลาโรง รุ่งขึ้นหัวหน้าคณะมาเชิญอีก ผมบอกพอแล้ว ไม่อยากเอาตัวเข้าไปพัวพัน
ช่วงนั้น “รำวง” กำลังฮิต อุตรดิตถ์มี 2 คณะดังแข่งขันกัน คณะคอวังกับคณะอุตรดิตถ์สามัคคี ไม่ว่างานเล็กระดับท้องถิ่นหรืองานใหญ่ระดับจังหวัดต้องมีรำวง มีนางรำวัยรุ่นสวยซิง พอดีเป็นจังหวะชีวิตผมเหมือนปุยฝ้าย มันลอยไปติดรำวงคณะอุตรดิตถ์สามัคคี มีเพื่อนรุ่นน้องกองร้อยเดียวกัน “สวัสดิ์ เนาว์นิเวศ” เป็นคู่หูก็สนุกสนานเพลิดเพลินจนลืมงานลืมการ ผมเองติดตามรำวงคณะนี้ไปถึงพิษณุโลก ไม่ต้องบอกว่า ไปทำไม
อำเภอน้ำปาดของอุตรดิตถ์อยู่ชายแดนติดกับลาว ผมไปปูเสื่อกินเหล้าริมคลอง กับแกล้มเป็นปลาล้วน ๆ มีความสุขมากครับ ทอดสายตาไปฝั่งตรงข้ามห่างกันไม่ถึง 100 เมตรก็เป็นแผ่นดินลาว เจ้าถิ่นบอกถ้าอยากว่ายน้ำข้ามคลองไปเหยียบแผ่นดินลาวก็ได้ แต่ผมปฏิเสธไม่อยากเมาจมน้ำตาย
มีการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วประเทศ พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ไปโผล่ที่กองพันประกาศให้เลือกพรรคเสรีมนังคศิลาแล้วจัดเลี้ยงทหารทั้งกองพัน ไม่มีการแจกเงิน พลทหารกับนายสิบไม่ได้ แต่นายทหารผมไม่รู้
เกิดปฏิวัติในกรุงเทพฯ ทหารในอุตรดิตถ์ทั้ง ม.พัน 9 และ ม.พัน 7 ก็ต้องเอ็กเซอร์ไซค์กับเขาด้วย ผมกับพวกเอารถถังไปคุ้มครองโรงงานน้ำตาลวังกะพี้ ไม่รู้เหมือนกันไอ้หน้าไหนจะมายึดโรงงานน้ำตาล หรือจะยึดไปทำอะไร กางเต็นท์นอนข้างรถถังให้ยุงกัดอยู่หลายคืน
มันก็แค่ทุกข์สุขวูบวาบแล้ว เมื่อความเบื่อหน่าย และความเซ็งกลับมาเยือนอีกครั้ง ผมคิดจะลาออกพอกันทีสำหรับความหวังที่วาดไว้ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่าทั้ง ๆ ไม่รู้ว่าจะไปทำมาหากินอะไร ในเมื่อตัวเรามีความรู้แค่ ม.6 กับประกาศนียบัตรคุกทหาร
กำลังสานความคิดลาออกให้เป็นความจริง พอดีกับกองทัพบกจัดตั้งหน่วยงานใหม่ชื่อ “ศูนย์การฝึกกำลังทดแทน” ที่ค่ายธนะรัชต์ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำหรับฝึกพลทหารจากทั่วประเทศ “พลตรีพนม โชติพิมาย” เป็นผู้บัญชาการศูนย์ต้องการกำลังพลชั้นประทวนจำนวนมาก กองทัพบกเลยให้ระดับกองพันทุกหน่วยส่งชั้นประทวนไปอยู่ที่นั่น
ปี 2503 กองพันทหารม้าที่ 9 ส่งนายสิบ (กากเดน) 23 คนไปอยู่ศูนย์การฝึกกำลังทดแทน ลาทีอุตรดิตถ์เมืองลับแล 4 ปีที่ผ่านมามันหล่อหลอมหัวใจของผม “ใหญ่และแข็ง”กว่าเดิมหลายเท่า
นั่งรถไฟถึงหัวลำโพงต่อรถไฟสายใต้ไปลงสถานีวังก์พงขึ้นรถยีเอ็มซี.เข้าที่ตั้ง ยังไม่รู้จะเจออะไรบ้าง เพราะที่นั่นเป็นที่รวมของทหารหลายเหล่า มีทั้งเหล่าราบ ปืนใหญ่ ม้า ช่าง สรรพาวุธ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่กองพันต้นสังกัดไม่พึงปรารถนา
เจอดอกแรกเข้าเต็มรัก พวกผมถึงกับจุกแอ้ด ปกติของทหารยานเกราะ ไม่ว่าจะแต่งเครื่องแบบปกติหรือเครื่องแบบฝึกจะสวมหมวกเบเร่ต์สีดำอย่างเดียว ไม่เคยสวมหมวกหนีบหรือหมวกทรงหม้อตาลเหมือนทหารเหล่าอื่น แต่พอเหยียบย่างเข้าไปในศูนย์สารพัดเหล่าแห่งนี้ก็เจอคำสั่งของพลตรีพนม โชติพิมาย เหล่าราบ
“ห้ามทหารม้ายานเกราะสวมหมวกเบเร่ต์ ให้สวมหมวกเหมือนทหารเหล่าอื่น” หัวใจหล่นวูบไปอยู่ส้นเท้า หมวกเบเร่ต์ดำเป็นสัญลักษณ์ของยานเกราะ ไม่รู้ “พลตรีพนม” เอาระเบียบข้อไหนของกองทัพบกมาออกคำสั่ง มันเหมือนกับถอดจิตวิญญาณทหารม้ายานเกราะไปด้วย
เหตุการณ์ที่ศูนย์ฝึกกำลังทดแทนในวันนั้น ไม่มีใครคิดว่าเป็นลางบอกเหตุเรื่องหมวก เพราะอีก 40 กว่าปีต่อมา หมวกเบเร่ต์ดำไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของทหารยานเกราะเพียงเหล่าเดียว เหล่าปืนใหญ่ก็สวมเบเร่ต์ดำ และปัจจุบันทหารบกทุกเหล่า ทั้งนายและไพร่พลก็สวมเบเร่ต์ดำ ยกเว้นพลร่มสวมเบเร่ต์สีแดง และรักษาดินแดนสวมเบเร่ต์สีเขียวอ่อน
สภาพความเป็นอยู่ที่ปราณบุรีเลวร้ายกว่าอุตรดิตถ์หลายสิบเท่า ที่อุตรดิตถ์คนโสดต้องไปเช่าบ้านอยู่ออกค่าเช่าเอง เช้ามีรถมารับไปทำงาน เย็นมีรถมาส่งในตลาดได้เห็นแสงสีของตัวเมือง มีอะไรให้ทำหลายอย่าง
แต่ที่ศูนย์การฝึกกำลังทดแทน ไม่มีบ้านพักให้คนโสดเหมือนอุตรดิตถ์ แต่ก็ไม่มีใครบังอาจไปเช่าบ้านอยู่ข้างนอก แม้ศูนย์ฝึกฯ จะอยู่ไกลตัวอำเภอปราณบุรีไม่มากนัก แต่ไม่มีพาหนะเดินทางมาทำงาน ถ้าขึ้นรถโดยสารมาลงหน้าศูนย์ฝึก ทิศละทาง ต่างคนต่างไปไม่รู้ไปอยู่กรมไหนกันบ้าง เพราะศูนย์ฝึกฯ กว้างใหญ่ไพศาล มีเนื้อที่มากกว่า 100 ไร่ มีหลายกรม ผมถูกบรรจุเป็นผู้บังคับหมู่ ประจำกองบังคับการกรมฝึกที่ 2 ไม่มีที่ซุกหัวนอน เพราะโรงนอนทั้งหมดเป็นของพลทหารและครูฝึกต้องอาศัยนอนที่กองบังคับการ ลำบากมากครับทั้งที่นอนที่กิน แต่ต้องอดทนไปจนกว่าจะทนไม่ไหว ช่วงนั้นจึงอยู่ด้วย “ใจ” แท้ ๆ
ทนอยู่สักพักหนึ่ง “หมู่เชิด” ยานเกราะรุ่นพี่จากขอนแก่นทำงานที่เดียวกันเห็นสภาพทุกขเวทนาของผมไม่ไหว เลือดยานเกราะไม่ทอดทิ้งกันแม้จะรู้จักกันไม่กี่วัน หมู่เชิดมีน้ำใจให้ผมไปอยู่ที่บ้านพักของเขา เป็นเรือนแถวนายสิบสองชั้น หมู่เชิดกับครอบครัวนอนชั้นบน ส่วนชั้นล่างมีห้องครัวห้องน้ำเล็ก ๆ อยู่ด้านหลัง ด้านหน้าเนื้อที่ไม่มากนักสถาปนาเป็นห้องรับแขก มีตู้โชว์มีโต๊ะเก้าอี้วางอยู่ พอให้รู้ว่าเป็นบ้านพัก
แล้วจะนอนตรงไหน ก็เนื้อที่หลังตู้โชว์นั่นแหละซุกหัวนอน แม้จะอยู่ใต้บันไดก็จำยอม บอกกับหมู่เชิดว่าไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกิน หรือ ความเป็นอยู่อื่น ๆ มีที่ซุกหัวนอนก็เป็นบุญหัวแล้ว พยายามทำตัวไม่ให้เป็นภาระให้หมู่เชิดและครอบครัวต้องหนักใจ ตื่นแต่เช้ามืดสวมเครื่องแบบรีบไปทำงาน อาหารการกินแสวงหาตามร้านค้า ถึงวันหยุดอยากให้หมู่เชิดพักผ่อนกับครอบครัว ผมเดินไปขึ้นรถเมล์หน้าศูนย์ฝึกฯ ไปคนเดียวเที่ยวตลาดอำเภอปราณบุรี สมัยนั้นเป็นตลาดเล็ก ๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจเปลี่ยนบรรยากาศไปสวนสนประดิพัทธ์ สถานตากอากาศของกองทัพบก มันก็ยังงั้น ๆ ผมไม่มีอารมณ์ร่วมกับบรรยากาศ
ไปตลาดหัวหินบ้างไม่กี่ครั้ง ทะเลสวยก็จริง แต่มันสวยสำหรับผู้คนอีกชนชั้นไม่ใช่ทะเลของคนอย่างผม มือล้วงกระเป๋ามีเงินไม่กี่สิบบาท ผมเป็นคนขาดเพื่อนไม่ได้ เคยสนุกสนานฮาเฮกับเพื่อนที่มีรสนิยมเหมือนกัน มาอยู่ปราณบุรีไม่มีเพื่อน ความว้าเหว่เกาะกินหัวใจจนท้อแท้
สุดท้ายความอดทนก็ไปถึงจุดที่ทนไม่ไหว มองอนาคตเห็นแต่ความมืดมน ผมก็ต้องถอดใจและ…..ถอดเครื่องแบบ
แค่เขียนใบลาออกวางบนโต๊ะหัวหน้ากองบังคับการง่ายจะตายผมก็ไม่ทำ เพราะผมไม่ใช่ลูกรักของกองทัพบก เก็บสัมภาระไม่กี่ชิ้นยัดใส่กระเป๋า
โบกมืออำลาค่ายธนะรัชต์แล้วกลับลพบุรีบ้านเกิด ถ้าขาดราชการเกิน 15 วัน กองทัพเขาก็จัดการ “ปลด” เท่านั้น
เรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของเรา ไปอาวรณ์อาลัยมันทำไม