อันที่จริงผมอยู่ไทยรัฐก็มีความสุขดีอยู่ แม้จะไม่มีตำแหน่งหลัก ไม่ได้เป็นหัวหน้าข่าว แต่ก็กินเงินเดือนหัวหน้าข่าว ได้สวัสดิการต่าง ๆ เท่าเทียมกัน มีภาระรับผิดชอบตามสมควร และมีความสบายใจกับการทำงาน “พี่เฉลิมชัย ทรงสุข” หัวหน้าข่าวภูมิภาคปล่อยให้ผมแสดงฝีมือเต็มที่ ไม่เคยมาสั่งการให้ทำโน่นทำนี่แต่อย่างใด
ไม่ว่าสังคมไหน หรือหน่วยงานใด ต้องมีปัญหาเกิดขึ้นเป็นประจำ สายงานข่าวภูมิภาคของไทยรัฐก็เช่นกัน มีนักข่าวต่างจังหวัดบางคนในภาคกลางที่ใกล้ชิดพี่เฉลิมชัย ไม่พอใจการทำงานของผม คาบข่าวไปฟ้องพี่เฉลิมชัยหาว่าผมไม่ลงข่าวให้เขา ก็เป็นความจริง พราะนักข่าวคนนั้นส่งแต่ข่าวและภาพสังคมอย่างเดียว เห็นไทยรัฐเป็นไม้กันหมากัด ผมไม่แยแสครับจะฟ้องใครก็เชิญ
พี่เฉลิมชัยก็ให้เกียรติผม ให้น้ำหนักมาทางผม ไม่เคยเอาเรื่องเหล่านั้นมาสร้างความกังวลใจแก่ผมเลย น้ำจิตน้ำใจของพี่เฉลิมชัย ทั้งประเสริฐและเที่ยงธรรม
ผมผ่านงานหนังสือพิมพ์รายวันมา 2 ฉบับ เดลินิวส์กับเสียงปวงชน เมื่อมาอยู่ไทยรัฐก็ไม่ได้ปล่อยให้ลมหายใจผ่านรูจมูกไปวัน ๆ สิ่งที่ผมอยากรู้นั้น ทำไมไทยรัฐจึงเป็นยักษ์ใหญ่ที่ยืนยงคงกระพัน ไม่มีฉบับไหนมาแย่งกระบองในมือได้
ต้องออกตัวก่อนว่า ผมไม่ได้จบปริญญาด้านสื่อสารมวลชน ความรู้ผมแค่ ม.6 ในยุค
“กล้วยไม้ออกดอกช้าฉันใด การศึกษาย่อมเป็นไปฉันนั้น” ตามคำขวัญของ ม.ล.ปิ่น มาลากุล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
แต่ผมผ่านงานการเป็นนักข่าวและนักหนังสือพิมพ์มาพอตัว ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค
คลุกคลีกับข่าวสารทั้งภาคสนามและในที่ตั้งจึงวิเคราะห์ไปตามภูมิปัญญาและประสบการณ์ ซึ่งผมเห็นว่าสิ่งสำคัญที่สุดของหนังสือพิมพ์รายวัน
อยู่ที่ “เสน่ห์”
เสน่ห์ที่ว่านี้คือ คอลัมน์ต่าง ๆ หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านการบ้านการเมือง อาชญากรรม เศรษฐกิจ หรือบันเทิง ซึ่งหนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับก็มีคอลัมน์เหล่านี้ แต่ขาดคนเขียนคอลัมน์ที่มีฝีมือ มีลีลา มีสำบัดสำนวน สามารถปลุกเสกตัวหนังสือให้มีชีวิต ติดตาและตรึงใจผู้อ่าน เทียบเท่าไทยรัฐได้
หยิบฉบับไหนก็ได้ ไล่เรียงตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย ผมว่าไทยรัฐกินขาดเหนือชั้นกว่าทุกฉบับ จึงครองใจผู้อ่านทุกระดับ ตั้งแต่ยุคนั้นจนถึงยุคนี้
เรื่องข่าวน่ะหรือ ถ้าเป็นสมัยสมาคมนักข่าวตั้งอยู่แถว ๆ โรงเลี้ยงเด็ก ถนนบำรุงเมือง จนกระทั่งมาปักหลักที่ถนนราชดำเนินกลาง มีการแข่งขันเรื่องข่าวอย่างเข้มข้น นักข่าวต้องใช้ชั้นเชิงหลอกล่อคู่ต่อสู้ โดยเฉพาะข่าวอาชญากรรมงัดวิทยายุทธ์มาห้ำหั่นเพื่อให้ได้ข่าวเดี่ยวเพียงฉบับเดียว เหมือนกับหนังจีน “เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด”
แต่มาถึงยุคสมาคมนักข่าวย้ายไปถนนสามเสน งานวันนักข่าวไปจัดกันที่โรงแรม ข่าวทุกชิ้นแทบจะเหมือนกันทุกฉบับ นักข่าวไม่ต้องลำบากลำบนกระเสือกกระสนหาข่าวให้เหนื่อยยาก เพราะมีการแถลงข่าวทั้งการเมืองและอาชญากรรม เนื้อหาของข่าวมาจากแหล่งเดียวกัน และบางครั้งออกมาเหมือนกันทุกตัวอักษร นั่นเกิดจากการส่งข่าวแทนกัน
นอกจากเสน่ห์แล้ว สิ่งสำคัญสุด ๆ ของหนังสือพิมพ์รายวัน คือ ต้องเดินก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันทั้งสองขา
ขาหนึ่งได้แก่ “กองบรรณาธิการ” แข็งแกร่งเปี่ยมล้นด้วยคุณภาพของบุคลากรทุกฝ่าย ตั้งแต่นักข่าวจนถึงหัวหน้ากอง และอีกขาได้แก่ “กองจัดการ” ทั้งฝ่ายจัดจำหน่าย ฝ่ายโฆษณา ทำงานแข่งกับเวลาเพื่อเสิร์ฟอาหารเช้าให้ผู้คนพร้อมกันทั้งประเทศ
เมื่อสองขาก้าวไปด้วยกันพร้อมกัน จึงไม่มีอะไรจะมายื้อยุดฉุดรั้งยักษ์ใหญ่สีเขียวได้
คอลัมนิสต์ดาวเด่นอีกคนของไทยรัฐ ผมต้องเขียนถึง เพราะเป็นคอลัมน์ในแนวอาชญากรรมที่ผมคุ้นเคย
“ไว ตาทิพย์” เจ้าของคอลัมน์ “กระพริบที่นี่” อยู่มุมซ้ายบนของหน้าสุดท้าย เป็นคอลัมน์ทรงอิทธิพลของกระบวนการยุติธรรม เฉียบแหลมเฉียบคมทุกย่อหน้าทุกบรรทัด
พี่ปั๋น “ปรีชา ทิพยเนตร” เจ้าของนามปากกา “ไว ตาทิพย์” เป็นคนเหนือผิวขาวละมุน อ่อนน้อมถ่อมตน มีรอยยิ้มทั้งปากและดวงตา
พี่ปั๋นมาทำงานทุกเช้า จุดแรกมุ่งไปที่โต๊ะตัว ที. หน้าห้องหัวหน้ากองบรรณาธิการ เป็นโต๊ะหัวหน้าข่าวหน้า 1 มี “พี่มานิจ สุขสมจิตร” นั่งตรงนั้นเป็นที่ปรึกษา พี่ปั๋นไปสำรวจข่าวอาชญากรรมที่เกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ ทั่วประเทศ
ถ้าเช้านั้นไม่มีข่าวที่มีแง่มุมในการเขียนคอลัมน์ พี่ปั๋นจะกลับไปที่โต๊ะตัวเองหยิบจดหมายผู้อ่านเขียนมา ฉีกซองอ่านทีละฉบับ ส่วนใหญ่เป็นจดหมายร้องทุกข์ และส่วนใหญ่เป็นพฤติการณ์ของตำรวจน้ำเลว
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ พี่ปั๋นจะเขียนต้นฉบับด้วยลายมือ ผมไม่กล้าถามว่า พิมพ์ดีดไม่เป็นหรือไร แต่ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น ใช้เวลาไม่นาน พี่ปั๋นปั่นตัวอักษรเเสร็จสรรพ และเป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจ ไทยรัฐจึงเป็นที่รวมของคอลัมนิสต์ระดับ “กระบี่มือหนึ่ง” มากมาย
ถ้าไม่ติดธุระข้างนอก พี่ปั๋นจะอยู่ในโรงพิมพ์จนตะวันบ่ายคล้อยจึงยกพลพรรค “แก๊งสี่กั๊กสี่แบน” ซึ่งผมเอ่ยชื่อไว้ในฉบับที่แล้วไปเสพสุราหาความสำราญ เสพสมทั้งรสอาหารและบรรยากาศที่ร้านเจ้าประจำย่านสะพานควาย
ผมรู้จักพี่ปั๋นที่ไทยรัฐ แต่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของพี่สมัยพี่อยู่สยามรัฐ อยู่กับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเป็นคนตั้งนามปากกานี้ให้ตรงตัวครับ “ไว ตาทิพย์” คือ “ปรีชา ทิพยเนตร”
พี่ปั๋นมีลีลาเขียนคอลัมน์ไม่เหมือนใคร มีย่อหน้ามากมาย โดยเน้นความสำคัญและการให้ขนาดของตัวอักษรแต่ละบรรทัด พี่เขาหยอดเสน่ห์ตรงนี้ ทำให้ผู้คนติดกันงอมแงมทั้งประเทศ
ผมออกจากไทยรัฐไปหลายปีแล้วไปเจอพี่ปั๋นอีกทีที่หนังสือพิมพ์ “ภัยรายสัปดาห์”
พี่ปั๋นเลิกชายเสื้อให้ดูรอยแผลผ่าตัดที่หน้าท้อง บอกหมอห้ามกินเหล้า แต่พี่ปั๋นกระซิบกับผมว่า ล่อเบียร์แทน
ครั้งหนึ่งเราไปเทศกาลกินเจที่ภูเก็ตตกเย็นนั่งชมวิวอยู่บนยอดเขารัง พี่ปั๋นสั่งเหล้ามาฉลองเทศกาล บอกว่านี่แหละ “ยอดเจ” ของแท้ของจริง ผมเลยต้องฉลองยอดเจกันสองคนกับพี่ปั๋น เพราะพรรคพวกที่ร่วมคณะเขาไม่ถนัดเรื่องนี้
จู่ ๆ ก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งโผล่เข้ามา ไม่รู้ว่าเขารู้จากไหนว่าพวกเราเป็นนักข่าว
เขามาร้องทุกข์เรื่องศาลเจ้าแห่งหนึ่งไม่ยอมให้เขาเป็นม้าทรง ทั้ง ๆที่เขาทำหน้าที่นั้นมาทุกปี และเป็นทุกปีที่เขาใช้เหล็กแหลมเสียบแก้มข้างหนึ่งไปทะลุอีกข้างหนึ่ง แต่พอเรารู้สาเหตุที่ศาลเจ้าแห่งนั้นไม่ให้เด็กหนุ่มคนนี้ร่วมวงไพบูลย์ในปีนั้น มันก็ถึงบางอ้อที่พวกเราหัวร่อจนแทบตกเขา เรื่องราวมันพิลึกอย่างนี้ครับ
ก็ไอ้หนุ่มมันพิเรนทร์ คิดว่าถ้าทำแบบที่ต้องการจะกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ไอ้หนุ่มขอใช้เหล็กแหลมแทงอัณฑะตัวเอง ใครเขาจะยอมเสียชื่อศาลเจ้า เพราะมันตายลูกเดียว
พี่ปั๋นล่วงลับไปหลายสิบปีแล้ว แต่ผมยังระลึกถึงพี่อยู่เสมอ หาคนเขียนคอลัมน์แนวกระบวนการยุติธรรมเท่าพี่ไม่มีแล้ว
แต่ก็ดีไปอย่างนะพี่นะ ถ้าพี่มีชีวิตอยู่และยังอยู่ไทยรัฐ ผมว่าพี่ตกงานแน่ ๆ เพราะหน้าหลังไทยรัฐมีโฆษณาเต็มหน้าทุกวันทั้งปี ไม่เว้นช่องให้พี่ไปกระพริบตรงนั้นเลย
ผมอยู่เดลินิวส์กับเสียงปวงชน ไม่เคยคิดว่าจะต้องอยู่กี่ปีกี่เดือน หรือจะต้องปักอยู่ตลอดไป ที่ไทยรัฐก็เหมือนกัน แค่ไหนก็แค่นั้น กำหนดตัวเองไม่ได้หรอกครับ
แล้วก็ถึงวาระชีพจรลงเท้า เมื่อวันเวลาผ่านไป 1 ปี 6 เดือน ประมาณนั้น
พี่สมิต มานัสฤดี เรียกผมเข้าไปในห้อง มีพี่มานิจ สุขสมจิตร นั่งอยู่ด้วย พี่สมิตบอกว่าตอนนี้รับนักข่าวเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ชื่อ “ศุภเกียรติ ธารณกุล” ให้มาอยู่ฝ่ายข่าวภูมิภาค ก็อยากให้ทั้งผม และศุภเกียรติช่วยกันดูแลงานในส่วนนี้อย่างเต็มพิกัด
งานที่พี่สมิตพูดถึงคือ ให้ผมกับศุภเกียรติผลัดกันทำงานภาคกลางคืนคนละ 15 วัน มาทำงานตอน 4 ทุ่ม นอนในโรงพิมพ์คอยสั่งการควบคุมงานด้านข่าวจนถึง 2 โมงเช้า
พี่สมิตท่องคาถาบทเดิมว่า ผมกับศุกเกียรติต่างเป็นผู้อาวุโส เหมือนกับตอนมอบภารกิจให้ผมกับพี่ไพทูรย์ สุนทร เขียนข่าวสังคมต่างจังหวัดคนละ 2 ภาคนั่นแหละ
ผมไม่รู้จักตัวตนศุภเกียรติ รู้แต่ว่าอยู่เดลินิวส์สี่พระยาก่อนผม อยู่หน้าเศรษฐกิจแล้วออกไปอยู่ “เดลิไทม์” กับ “เรือใบ”
สงสัยตระหงิด ๆ ในใจ เรื่องนี้พี่เฉลิมชัย ทรงสุข เขารู้หรือเปล่า แต่เอาละไม่ถามดีกว่า ถือว่าพี่สมิตกับพี่มานิจเป็นผู้บังคับบัญชาก็แล้วกัน แต่เรื่องสำคัญที่ผมต้องถามครับ
ถามว่า การทำงานภาคราตรีที่ว่านั้น มีเบี้ยเลี้ยงหรือเปล่า
จำได้แม่น พี่มานิจเป็นคนตอบ “ถือว่าเป็นการทำงานปกติ ไม่มีเบี้ยเลี้ยง”
ออกจากห้องพี่สมิตกลับไปถึงบ้าน ผมยังงุนงงกับคำตอบนั้นไม่หาย
ไอ้เรื่องทำงานกลางคืนนอนโรงพิมพ์จนรุ่งเช้า ผมทำมาก่อนครับ ตั้งแต่เป็นรีไรเตอร์และหัวหน้าข่าวหน้า 1 ของเดลินิวส์สี่พระยา มันก็เป็นการทำงานปกติ “เข้าเวร” ตามหน้าที่
แต่…..มีเบี้ยเลี้ยงครับ
ผมไม่มีรายได้ทางอื่น นอกเหนือไปจากเงินเดือนกับเบี้ยเลี้ยง ไม่เคยเอาความเป็นนักหนังสือพิมพ์ หรือนามปากกาไปทำมาหากินในทางมิชอบ เห็นคอลัมนิสต์หลายคน มีบ้านมีรถเก๋ง ผมเฉย ๆ ครับ ไม่เคยอิจฉาตาร้อน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขาได้เงินได้ทองมาจากไหน
ผมไม่เคยเกี่ยงงาน ให้ผมทำงานนอนโรงพิมพ์มันเรื่องเล็ก แต่บอกว่าเป็นการทำงานตามปกติ ไม่มีเบี้ยเลี้ยง ขณะที่การทำงานภาคราตรีนี้ มีนักข่าวหน้าภูมิภาคเข้าเวรรับข่าวตลอดคืน และมีเบี้ยเลี้ยงตามธรรมเนียมการปฏิบัติภารกิจ มันแปลกประหลาดไม่เคยเห็น
กลับมานั่งทบทวนที่บ้าน ลำดับเหตุการณ์ที่ผ่านมา แล้วก็ได้คำตอบให้ตัวเองในคืนนั้น
ผมทำงานชิ้นใหม่ที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ครับ
เมื่อทำไม่ได้ มันก็ต้องอยู่ไม่ได้ การตกงานแม้เป็นสิ่งที่ผมไม่ปรารถนา แต่มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ อะไรจะเกิดมันต้องเกิด
วันรุ่งขึ้น ผมเข้าโรงพิมพ์แต่เช้าตรู่จัดการพิมพ์ใบลาออก เอาไปวางบนโต๊ะทำงานพี่สมิต เสร็จแล้วเดินออกประตูด้านหน้า ไม่ได้หันกลับไปมองด้วยซ้ำ โหนรถเมล์กลับบ้านก็แค่นั้นเองสำหรับคนอย่างผม……ฆ่าได้ หยามไม่ได้
ยังเช้าอยู่ครับ ยังไม่มีใครมาทำงานเลยไม่ได้บอกลา “น้าเติม” ทองเติม เสมรสุต…..”เฮียโก” โกวิท สีตลายัน….. “พี่เหลิม” เฉลิมชัย ทรงสุข…..อุโฆษ ขุนเดชสัมฤทธิ์ เพื่อนรุ่นน้องที่เป็นคนชักนำผมเข้าไทยรัฐ
กลับถึงเมียร้องถามด้วยความแปลกใจ “อ้าว เป็นอะไรรึ หรือว่าไม่สบาย” ผมตอบว่า “สบายใจแต่ไม่ค่อยสบายกาย ผมลาออกแล้ว”
มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการทำงาน ผมไม่เคยพามันเข้ามาในบ้าน ไม่เคยเอาปัญหานั้น ๆ มาให้เมียรับรู้ แต่เธอจะรู้ต่อเมื่อปัญหาผ่านไป อย่างการโบกมือลายักษ์ใหญ่ครั้งนี้ ผมก็ต้องเล่ารายละเอียดให้เธอรู้ สรุปว่าการตั้งกฎกติกาให้ผมทำงานภาคราตรี เดือนละ 15 วันโดยถือว่าเป็นการทำงานตามปกติไม่มีเบี้ยเลี้ยงนั้นเป็นเรื่องที่ผมรับไม่ได้ แต่ถ้าเป็นการทำงานตามปกติและมีเบี้ยเลี้ยง ผมไม่เกี่ยงงอนแต่ประการใด
เมียผมเมียพยักหน้ารับทราบแล้วปลอบใจให้สู้ชีวิต ในทำนอง “หมาข้างถนนยังไม่อดตาย” เมียผมเป็นคนตรงไปตรงมา เป็นนักเลงใจถึงมากกว่าผู้ชายบางคน ถึงได้ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันยาวนานถึง 45 ปีแล้วมะเร็งลำไส้ก็พรากเธอจากผมไป
นอนในบ้านไม่ได้ไปไหน ยังไม่คิดจะไปเยี่ยมเยียน “เฮียเต็ง” กำพล พิริยะเลิศ อยากรู้เหมือนกันโยกย้ายออฟฟิศ “เสียงปวงชน” ไปอยู่แห่งหนใด แต่เมื่อยังไม่ถึงเวลาก็ขอนอนพักผ่อนก่อน ไม่ได้ใช้เหล้าความฟุ้งซ่านเหมือนตอนออกจากเดลินิวส์ แม้จะออกจากไทยรัฐโดยไม่ได้รับเงินเดือนงวดสุดท้ายก็ตาม
สองวันผ่านไป เฮียโกวิท สีตลายัน กับ “โรจน์ งามแม้น” มาหาที่บ้านซอยเสนานิคม 2 บ้านหลังนี้เฮียโกกับ “ชลอ อยู่เย็น” เคยมาเยี่ยมเยือนทักทายแล้วจึงรู้จักเส้นทาง เฮียโกถามว่าไม่เห็นไปทำงาน มีเรื่องอะไรหรือ ผมบอกว่า ลาออกแล้ว ทิ้งใบลาบนโต๊ะหัวหน้ากองบรรณาธิการ แล้วเล่าเหตุผลให้ฟังก็เรื่องจะให้ทำงานภาคราตรีนั่นแหละ
แต่ไม่วายที่จะบอกความในใจ ผมรู้ว่าพี่สมิตรับศุภเกียรติเข้าไทยรัฐ เพราะรู้จักสนิทกันมาก่อน ศุภเกียรติถนัดงานด้านข่าวเศรษฐกิจ ก็แล้วทำไมจึงเอามาโยนแหมะไว้ที่ฝ่ายข่าวภูมิภาค ทั้ง ๆ ผมรับมอบภารกิจโดยตรงจาก “พี่เฉลิมชัย ทรงสุข” หัวหน้าข่าวภูมิภาคตัวจริงเสียงจริง ให้กำกับดูแลงานแทนพี่เขา
อีกอย่างเท่าที่รู้มา ไทยรัฐไม่เคยไล่ใครออก นอกจากไม่อยากให้ใครอยู่ก็ใช้วิธี “บีบ” จนกระทั่งคนคนนั้นต้องลาออก หรือว่า ผมเป็นอีกคนที่อยู่บนเส้นทางนั้น พี่สมิต หรือพี่มานิจอาจหมั่นไส้ผมก็มิอาจรู้ได้ แต่ผมไม่เคยทำอะไรผิดกฎกติกาและจรรยาบรรณ
วันรุ่งขึ้น เฮียโกวิทมาที่บ้านอีก บอกว่า ไปสอบถามพี่สมิตเรื่องใบลาออกของผม พี่สมิตแจ้งว่า ส่งไปให้กองอำนวยการที่มี “เลิศ อัศเวศน์” เป็นหัวหน้ากองและมีการอนุมัติให้ลาออกแล้ว
เฮียโกวิทถามด้วยความห่วงใย แล้วต่อนี้ไปผมจะไปอยู่สำนักไหน ผมตอบว่ายังไม่รู้ เพราะไม่ค่อยรู้จักใคร เฮียเลยยื่นความปรารถนาดีให้ผมเลือกเอา ระหว่างหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับ
จะอยู่ “ดาวสยาม” หรือ “ตะวันสยาม”