โลกที่ไม่มีอากาศ

 

 

“ผมชื่อรุ่ง ป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะลุกลาม แต่ด้วยพลังใจอันล้นเหลือ ผมเลยอยากมอบให้ทุกๆ คน” พ.ต.ท.รุ่งคุณ จันทโชติ นายตำรวจหนุ่มหล่อโพสต์แนะนำตัวไว้ในเฟซบุ๊กที่มีผู้ติดตามเกินกว่า 6 หมื่นคน

ลูกชาย พ.ต.ท.พิสิษฐ์ จันทโชติ อดีตสารวัตรกองกำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล 3 ตำนานกองกำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาลพระนครบาลพระนครเหนือต่อสู้โรคร้ายจนลมหายใจสุดท้าย

“หายดิวะ” เจ้าตัวยังมีความหวัง

งานฌาปนกิจศพที่วัดวชิรธรรมสาธิต สุขุมวิท 101/1 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร เต็มไปด้วยกัลยาณมิตรร่วมส่งร่างเป็นครั้งด้วยความอาลัยอย่างเนื่องแน่น

“คนเรามีพบก็ต้องมีจาก ไม่จากเป็นก็จากตาย อย่ายึดติดกับอะไร เพราะตายไปเราเอาอะไรไปด้วยไม่ได้สักอย่าง” คำพูดของสารวัตรรุ่งคุณฝากครอบครัวไว้เหมือนคำอำลา

“ผมเชื่อว่า ความสุขแฝงตัวอยู่ทุกที แม้ในช่วงเวลาที่เราทุกข์หรือยากลำบาก เพราะในสุขมีทุกข์ ในทุกข์มีสุข มันคือจังหวะของชีวิตที่เราต้องเรียนรู้ แล้วทำชีวิตในทุกวันให้มันดี” นายตำรวจหนุ่มผู้ล่วงลับทิ้งคมคิด

ตลอดระยะการเผชิญโรคร้ายที่คุกคาม เขาไม่เคยถอดใจ พยายามสร้างพลังบวกให้ตัวเอ งและเผื่อแผ่แสงคนอื่นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว

ขออนุญาตนำเรื่องราวที่เขาบรรยายมาให้อ่านอีกครั้ง เพราะมีผู้แชร์บทความมากกว่า 541 ครั้ง เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2566

ว่าด้วยเรื่อง “โลกที่ไม่มีอากาศ”

สัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้พบเจอกับสัจธรรมของชีวิต นำมาซึ่งผลึกทางความคิดมากมาย ผมจะค่อยๆ ทยอยเล่าให้ฟังนะครับ

เริ่มต้นกันด้วย ชีวิตอันแสนจะปกติของผมนับตั้งแต่ได้ยามุ่งเป้าแบบทานมา ก็ทานมาได้ปีกว่าๆ แล้ว ใช้ชีวิตได้ปกติเลย แต่ช่วงหลังค่าไตขึ้น ค่าหัวใจก็ขึ้น หมอกับผมเลยตัดสินใจลดจำนวนยามุ่งเป้าลง จากวันละ3 เม็ด เหลือ วันละ2เม็ด เพื่อรักษาไตและหัวใจเอาไว้ ผมก็ตกลงกับเงื่อนไขนี้ ถึงแม้ว่ามันจะมีความเสี่ยงว่า น้องมะเร็งจะกลับตื่นขึ้นมาได้ และยาก็จะมีโอกาสดื้อยาได้เร็วว่าปกติ แต่ก็ต้องตัดสินใจแล้วหละครับ ว่าผมต้องเลือกทางที่ดีที่สุดให้กับชีวิตตัวเอง

และแล้วสัญญาณเตือนก็มาเยือน…

ช่วงกลาง ๆ พ.ย.ของปีนี้ ผมมีทริปไปเชียงราย เป็นการท่องเที่ยวที่สนุกมากๆ ทริปนึงของชีวิตเลยหละ แต่มันก็มีลางบอกเหตุอะไรบางอย่างมาเตือนผมเหมือนกัน ช่วงไปเที่ยวนั้น อากาศหนาวพอดี ฟินสุดๆ ไปเลย แต่เชียงรายเป็นเมืองที่มีพื้นที่ลาดชันเยอะมากๆ ตอนผมเดินลงเขาก็ไม่เท่าไร แต่พอจะขึ้นเขานี่สิ ทำไมมันเหนื่อยเช่นนี้ ผมหอบ ผมไอมาก แบบไม่เคยเป็นมาก่อน ตอนแรกเข้าใจว่า อากาศหนาว และพื้นที่หุบเขาคงมีอากาศน้อย ก็เลยคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาไม่ได้คิดอะไร

พอกลับมา กทม. เจอความผิดปกติอีก ตอนทำโยคะ เมื่อก่อนเราเลยกลั้นหายใจได้ ทำไมตอนนี้กลั้นไม่ไหวแล้วหละ ตอนอาบน้ำ ทำไมเราเหนื่อยจัง หลายๆคนคงนึกภาพเวลาอาบน้ำแล้วเหนื่อยไม่ออก คือ เวลาถูสบู่อะ ยังต้องหยุดพัก หายเหนื่อยแล้วค่อยถูต่อ อาบน้ำเสร็จ เช็ดตัวยังไม่ได้ ต้องมานั่งพักก่อน แล้วค่อยเช็ดตัว

เราว่าเราเริ่มจะอาการหนักละ

ตอนนอนก็นอนราบลำบากขึ้น เหมือนมีใครมานั่งทับที่อก มันแน่นๆ หายใจไม่ออก ต้องหนุนหมอนหลายๆชั้นสักหน่อย คล้ายๆ จะนั่งนอน แต่ก็หลับยาก

วัดออกซิเจนปลายนิ้ว ทำไมเหมือนได้แค่ 87-91 เอง

มีอยู่ครั้งนึง ตอนขับรถ ต้องจอดระหว่างทางเลย เพราะรู้สึกตาพร่ามัว ระยะโฟกัสสายตาแปลกๆ ไป

ก็เลยตัดสินไปไปหาหมอฉุกเฉินละ เพราะไม่ไหวจริงๆ เดี๋ยวจะเป็นอะไรหนักขึ้น พอหมอวัดความดันก็ปกติ แต่อ็อกซิเจนในเลือดต่ำมาก ประมาณ90 เลยให้ใส่ท่อช่วยหายใจ เราก็รู้สึกสบายขึ้น หมอก็มาเอ็กซเรย์ปอด เห็นเหมือนมีน้ำที่ปอดขวา เยอะพอสมควร และให้ทำ CT Scan ด้วยเลย ผลออกมาว่า

1.ไม่มีลิ่มเลือดไปอุดตันเส้นเลือดในปอด

2.ขั้วปอดขยายใหญ่ขึ้นนิดหน่อย

3.มีน้ำในเยื้อหุ้มหัวใจเล็กน้อย

4.ต่อมน้ำเหลืองที่ขั้วปอดทั้งสองข้าง โดยเฉพาะข้างขวา โตขึ้น 0.9 cm แต่ไม่ได้ดูผิดปกติมาก

5.ปอดอาจจะมีการติดเชื้อหรือเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยา ให้สาเหตุต่อไป

6.ปอดขวาล่าง มีก้อนขึ้นมาใหม่ 1.6 cm

7.พบน้ำในปอดข้างขวา ค่อนข้างเยอะ

8.กระดูกบริเวณหน้าอก เริ่มมีการกระจายตัวของเชื้อมามากขึ้น

9.ตับ ก็พบการกระจายของเชื้อมากขึ้น 0.8 cm

ก็ไม่ได้ตกใจกับผลที่ออกมาเป็นแบบนี้นะ แต่รู้แล้วว่า “มันตื่นจากภวังค์แล้ว”

หมอก็แนะนำการรักษา ต้องเจาะน้ำในเยื่อหุ้มปอดออกมาตรวจว่าที่มีน้ำในปอด มันเกิดจากสาเหตุใด เกิดจากเชื้อ หรือ เกิดจากยา หรือเกิดจากสาเหตุอย่างอื่น

ก็เลยนอนรพ.ไป5วันเลยจร้าาา เจาะน้ำในปอดออก ตอนแรกก็ตื่นเต้นนะ แต่เจ็บแค่ฉีดยาชา ตอนดูดน้ำออก เข็มก็ไม่ใหญ่ แทงตรงแถวๆ ล่างๆ สะบัคขวาด้านหลัง ดูดน้ำออกมา 850 cc ก็เยอะอยู่ ก็รอผลตรวจ ว่ามันเป็นน้ำจากอะไร จะได้วางแผนกันต่อไป แต่หมอบอกว่า น้ำในปอดจะเพิ่มขึ้นมาได้เสมอ มีน้ำก็ต้องมาเจาะระบายออกอีก

พอกลับบ้าน รอบนี้ต้องซื้อเครื่องช่วยหายใจเป็นสายใส่ไว้ที่จมูก เพิ่มอ็อกซิเจนในเลือด (แทบจะห่างจากเครื่องนี้ไม่ได้เลย)

ตอนอาบน้ำนี่ลำบากสุด ต้องค่อยๆ อาบ ต้องนั่งอาบน้ำ เหนื่อยให้หยุดพักก่อน ไม่ไหว ก็รีบออกไปใส่สายอ็อกซิเจน

ตอนไม่ใส่สายนานๆ มันมีอาการปวดๆ หัวเหมือนกันนะ

แล้วตอนพูดก็พูดประโยคยาวๆ ไม่ได้ มันไอเยอะ

ตอนเดินเล่นสวนสาธารณะ ก็ต้องโบกมือให้คนแก่ที่อยู่ข้างหลังเดินไปก่อน เพราะเราเดินได้ช้ากว่าเค้า(โคตรซึ้ง ชีวิตชราที่มาพบเจอตอนอายุ 33 ปี)

เวลาไม่ได้อยู่บ้าน ก็ต้องพก อ็อกซิเจนกระป๋องไปด้วย จะได้ซู้ดดดด ให้หายหอบเหนื่อย ชีวิตมันไม่ง่ายเลยจริงๆ

ตอนนี้มาซึ้ง มาเข้าใจ ถึงการบริหารทรัพยากรอากาศที่มีอยู่อย่างจำกัดของร่างกายเราที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อก่อนหายใจทิ้งไปวันๆ ไม่เคยคิด ตอนนี้ จะทำกิจกรรมอะไร คิดหน้าคิดหลังเสมอ เพราะปอดของเรา แลกเปลี่ยนก๊าซได้ไม่เหมือนเดิมละนะ

คุณหมอให้เปลี่ยนจากทานยา 2 เม็ด มาทาน 3 เม็ดแล้ว เพื่อจะกดน้องต่อไป แต่ถ้าเอาน้องไม่อยู่ ก็คงต้องปรับยาตัวที่แรงขึ้น

ตอนนี้ผมออกจาก รพ.แล้ว มาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน แต่กิจกรรมหลายๆ อย่างได้เปลี่ยนไปเยอะพอสมควร แต่ไม่เป็นไรเลยครับ ไม่เคยท้อ จิตใจเกิน100 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกว่า ได้ใช้ชีวิตแบบชราภาพ ก็เป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ดีเหมือนกัน ยังดีที่ยังกินได้ปกติ นอนจะลำบากหน่อย หาท่าที่มันเข้าที่ยากหน่อย ในคืนคืนนึง อาบน้ำนี่ลุ้นตลอด ว่ามื้อนี้จะรอดมั้ย จะต้องวิ่งหาเครื่องช่วยหายใจเมื่อไร มีเพื่อนเถาวัลย์พันหน้าตัวใหม่ ที่เค้าจะอยู่กับเราไม่ห่าง ได้เห็นคุณค่าของอากาศที่เราหายใจ (หนังเรื่อง อาร์มาเกดอน มันแว้บเข้ามาทุกที ที่เราหายใจไม่ทัน) และทุกอย่างที่ผมเจอ ก็จะต้องมีหลายๆ คนที่มาเจอในจุดที่ผมเจอเหมือนกัน การที่ผมได้ถ่ายทอดเป็นวิทยาทาน มันก็เป็นความสุขของผมอย่างนึง

อยากจะฝากผลึกความคิดไว้สักหนึ่งเรื่อง

เรื่องของการตั้งเป้าหมายในชีวิต

หลายๆ คน ตั้งเป้าหมายว่าฉันต้องรวย มีเงินเท่านั้นเท่านี้ หรือหลายคนตั้งเป้าหมายว่าฉันต้องได้เป็นตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้ จริงๆ แล้วตั้งเป้าหมายแบบนี้มันก็ไม่ได้ผิดหรอกครับ

แต่ผมมองว่าถ้าคุณสำเร็จตามเป้า คุณก็จะสำเร็จได้แค่ครึ่งเดียว คุณต้องตั้งอีกคำถามหนึ่งให้ได้ว่า

“ในความสำเร็จของคุณนั้น โลกนี้ได้อะไร”

ตัวอย่างแค่คุณปลูกต้นไม้ 1 ต้น มันให้อะไรกับโลกนี้ได้มากมายเกินจะบรรยายเลยทีเดียว คุณอย่าลืมว่าโลกนี้ เป็นสนามประลองยุทธ์เวทีหนึ่ง สรรพสัตว์สรรพสิ่งต่างๆ ต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดกันทุกๆ วินาที

มีแต่มนุษย์เท่านั้น ที่สัญชาตญาณความเอาชีวิตรอดแตกต่างจากสิ่งอื่น เมื่อคุณพอจะตั้งตัวได้แล้ว ขอให้แบ่งบัน ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาชีวิต วิทยาทาน การให้ชีวิต การคืนทรัพยากรต่างๆ ที่คุณได้ใช้ไป เพราะยังมีสรรพสิ่งอีกมากมายที่เค้าจะต้องเกิดมาทีหลังคุณและอยู่บนลานประลองยุทธ์นี้

มนุษย์ไม่ใช่เป็นแต่ผลาญทรัพยากรนะ สร้างทรัพยากรก็ต้องทำให้เป็น ถึงปอดผมจะไม่ค่อยดีแล้ว แค่ผมอยากจะปลูกต้นไม้ เพื่อสร้างปอดของโลกให้แข็งแรงเสียเหลือเกิน ไว้มีแรง จะจับจอบจับเสียมครับ (จากใจคนที่หายใจไม่ทัน แล้วมันจะตาย มันรู้สึกยังไง)

#หายดิวะ

 

RELATED ARTICLES