รำลึกถึงตำนานมือปราบยานรก

 

คงต้องยอมรับการตัดสินใจของ พล.ต.ต.จำนงค์ แก้วศิริ อดีตนายพลคนดังที่เลือกลาชีวิตหนีโรครุมเร้าในวัย 75 ปี

ปิดฉากบั้นปลายอย่างน่าเศร้าสลดสะเทือนยุทธจักรสีกากีไม่ต่างจากนายพลตำรวจรุ่นใหญ่อย่าง พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค พล.ต.ต.คำนึง ธรรมเกษม พล.ต.ต.ทรงวุฒิ ถวัลย์กิจธำรงค์

ชื่อชั้นของ พล.ต.ต.จำนงค์ แก้วศิริ ไม่เคยเป็นรองใคร เนื่องจากตลอดชีวิตรับราชการสามารถสร้างผลงานบู๊ล้างผลาญปราบปรามเหล่าคนร้ายไว้นับไม่ถ้วน

เป็นชาวกรุง เรียนจบโรงเรียนสำราญราษฎร์ อยากสอบเข้าวิศวะ แต่ไม่สำเร็จต้องหันไปเข้าเรียนนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รุ่น 12 รุ่นเดียวกับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หวังสอบอัยการ หรือผู้พิพากษา ไม่เคยอยากเป็นตำรวจ สุดท้ายถึงวัยเกณฑ์ทหาร ไม่อยากเป็นทหารเลยตัดสินใจสมัครเข้าตำรวจเป็นนายร้อยอบรม

บรรจุลงตำแหน่งครั้งแรกเป็นรองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอวารินชำราบ อุบลราชธานี อยู่ 3 ปี ได้รับการคัดเลือกไปประจำกองเมืองอุบลราชธานีแค่ 6 เดือน ชาวบ้านอำเภอวารินชำราบเดินขบวนไปหาผู้ว่าฯขอให้ย้ายกลับมาอยู่ที่เดิมก็ต้องย้ายกลับไป ไม่นานก็เกิดน้ำท่วมใหญ่ในปี 2518 ทั้งอำเภอ และจังหวัดจมอยู่ใต้บาดาล พล.ต.ท.แสวง หงษ์นคร เป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธร 2 ลงพื้นที่ไปตรวจเยี่ยมเห็นหน่วยก้านนายตำรวจหนุ่มจำนงค์แล้วชอบเลยให้ พล.ต.อ.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์ ขณะนั้นเป็นนายเวรทาบทามจับย้ายไปอยู่กองเมืองนครราชสีมา

ติดยศ ร.ต.ท.ที่โคราชใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ถิ่นย่าโมกว่า 20 ปี สลับสับเปลี่ยนโยกย้ายไปอยู่เกือบทุกตำแหน่ง

ตอนเป็นสารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอโพธิ์กลาง นครราชสีมา เกือบถูกคนร้ายยิงสิ้นชื่อ หลังมีมือปืนจากลพบุรี ฉายามือปืนร้อยศพ เข้ามายิงคนตายในพื้นที่ ยิงภรรยาของคนที่รู้จักเขาเสียชีวิต พล.ต.ต.จำนงค์จำได้ว่า ไปตามจับมันวันลอยกระทงพอดีที่วัดท่ากระเจียว ลพบุรี คนร้ายเป็นมือปืนประจำตัวกำนัน มีสายพาไปชี้เป้าในงานวันลอยกระทง ต้องปลอมตัวเดินปะปนกับชาวบ้านตามไปกับสาย เห็นคนร้ายยืนดูตะกร้อลอดห่วงอยู่

“วันนั้นอากาศหนาว มันยืนกอดอก ผมดูแล้วมันไม่มีคอให้ล็อก เพราะหุ่นมันป้อมเตี้ยมะขามข้อเดียว ไม่รู้จะล็อกยังไง ยืนคิดตั้งนาน ถ้าไม่เอาตอนนี้ก็คงไมได้ มองไปรอบงานไม่เห็นลูกน้องสักคน คนมันเยอะมาก ตัดสินใจเข้าตะโกนทัก เฮ้ย มันตกใจเอามือลง ผมก็เข้าไปล็อก กอดมันอยู่ข้างหลัง มันแข็งแรงมาก เราก็หนุ่มเป็นพันตำรวจโทปล้ำกันกลางลานเตะตะกร้อ เอาเกือบไม่อยู่ มันพกปืน 11 มม.อยู่ที่เอว 2 กระบอก แต่ผมไม่มีอะไรเลย ปล่อยก็ไม่ได้ ไม่มีลูกน้องมาเลย กอดปล้ำอยู่พักใหญ่ คนแตกฮือ กอดมันสุดชีวิต วิ่งหนีก็กลัวมันยิงแน่”

“บังเอิญ สมหมาย กองวิสัยสุข ลูกน้องตอนนั้นเป็นสารวัตรมาพอดี ผมเห็นวิ่งมาแต่ไกลเข้าชกมันที่ลิ้นปี่ เชื่อมั้ยว่า ผมกับคนร้ายล้มหงายท้องทั้งคู่ ผมจุกเลย สมหมายหมัดหนักมาก พอจับได้ถึงรู้ว่า มันขึ้นนกปืนไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าวันนั้นสมหมายไม่เข้ามาช่วย ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น มันจะหลุดอยู่แล้ว ถ้าสะบัดผมคงวิ่งหนีไม่ทัน มันชัก ผมก็เสร็จ ผมถึงเป็นหนี้บุญคุณสมหมาย คืนนั้นยังมาตลกกับมือปืนร้อยศพ เอาขึ้นรถใส่ปิกอัพจากลพบุรีกลับโพธิ์กลางมันอ้วกตลอด ทางเพราะเมารถ กลายเป็นมือปืนเมารถไปเลย” พล.ต.ต.จำนงค์เล่าเสี้ยวนาทีชีวิตเสี่ยงตาย

ติดยศแค่ ร.ต.ท.ถูกยกให้เป็นอาจารย์นักเรียนนายร้อยตำรวจ แต่ละปีจะมีนักเรียนนายร้อยปีละ 10 นายไปฝึกงานอยู่เมืองโคราช ผู้บังคับบัญชาจะมอบให้เป็นอาจารย์ มีลูกศิษย์เต็มไปหมด   

พ้นจากสารวัตรใหญ่โรงพักโพธิ์กลาง ย้ายเป็นสารวัตรใหญ่โรงพักกมลาไสย กาฬสินธุ์ ก่อนกลับมาอยู่สี่คิ้ว นครราชสีมา ขึ้นเป็นรองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธร 2 เป็นผู้กำกับรองหัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดอำนาจเจริญ ผู้กำกับโรงพักเมืองสุรินทร์ และคืนถิ่นเก่าเป็นผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครราชสีมา ทำโครงการโรงพักเพื่อประชาชนรับรางวัล “ไพร์มมินิสเตอร์ อวอร์ด” คนแรกของประเทศไทยจากนายกรัฐมนตรี ก่อนเลื่อนเป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิ

ต่อมา พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เพื่อนร่วมรุ่นธรรมศาสตร์เป็นผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดโทรศัพท์มาบอกว่า นายกฯทักษิณ ชินวัตร อยากได้ตัวไปช่วยงานยาเสพติดมาได้หรือไม่ เขาจำใจออกจากอีสานครั้งแรกไปเป็นรองผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 2 ก่อนขึ้นเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงรายแก้ปัญหายาเสพติดตามแนวชายแดนภาคเหนือจนหยุดชะงัก

“ผมทำงานปราบปรามตอนนั้นค่อนข้างดุเดือดนะ อยู่ 3 ปี วิสามัญฯคนร้ายไป 48 ศพ ตำรวจตาย 1 คน บาดเจ็บ 1 คน ยึดทรัพย์ได้มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท” เจ้าตัวประทับใจกับผลงานการติดตามขบวนการค้ายาเสพติดทำให้เครือข่ายยานรกเปลี่ยนเส้นทางเข้าฝั่งลาวแล้วลักลอบทะลักเข้าไทยทางหนองคายแทน

อยู่เป็นผู้การ 3 ปีก็เลื่อนขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เพื่อสานต่องานยาเสพติดต่อ ถือเป็นผู้การเชียงรายคนเดียวที่อยู่นานสุด 3 ปี  ทิ้งตำราต่อสู้ปัญหายาเสพติดเอาไว้มากมาย ตั้งแต่ สกัดกั้นไม่ให้มันเข้าตามแนวชายแดน หรือถ้าจะเข้าก็ให้มันเข้ายากที่สุด และน้อยที่สุด ส่วนที่เข้ามาแล้วก็ต้องปล่อยเข้ามา  ก่อนกวาดล้างจับ เก็บออกให้หมด เก็บตัวยา คนค้า คนขาย เก็บออกจากพื้นที่ ระดมเรื่อยๆ ทุกโรงพัก ทุกพื้นที่ แล้วจะหมดไปเอง ไม่หมดก็บางลง

“พอจับไม่ได้ไปถึงผู้เสพแล้วก็ต้องเอาไอ้พวกที่ติดไปรักษา ส่วนพวกที่เสี่ยงว่าจะติด สร้างภูมิคุ้มกันให้เขา ให้ความรู้ เช่น โรงเรียนสีขาว บ้านสีขาว ชุมนุมสีขาว โรงงานสีขาว อันสุดท้าย คือ เจ้าหน้าที่ที่รู้เห็นเป็นใจต้องจัดการ ทำ 4 เรื่องนี่อย่างจริงจังรับรองปัญหายาเสพติดหมด” พล.ต.ต.จำนงค์แนะการแก้ปัญหาการระบาดของยานรกอย่างจริงจัง

จากประสบการณ์ 3 ปี ในตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย เขาแนะเพิ่มเติมว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องส่งคนที่มีความรู้ไปดำรงตำแหน่ง ส่งคนไม่รู้ไปทำไม่ได้ บางคนดูยาเสพติด ดูยาไอซ์ยังไม่เป็นแล้วจะไปจับใครได้ ต้องเอาผู้กำกับเก่ง ๆ ไปวาง ดูแลคนเหล่านี้ให้ดี เพราะที่นั่นไม่มีอะไร ไม่มีแสงเสียงเหมือนในเมือง มีแต่ป่า มีแต่ชาวเขา อาจไม่ต้องให้เขาอยู่นาน อยู่แค่ 2 ปี ให้ขั้นเงินเดือนเขา เสร็จแล้วก็ขยับออกมาปล่อยให้เลือดใหม่ไปแทน ต้องเป็นคนหนุ่มที่ขยัน ไฟแรง และอย่าไปทิ้งเขา

กระนั้นก็ตามแม้ผลงานดีแต่เจอ “พิษการเมืองเปลี่ยนขั้ว” ย้ายไปอยู่จเรตำรวจจนเกษียณอายุราชการ

ตำนานมือปราบฝากข้อคิดไว้ด้วยว่า  สุดท้ายยาเสพติดกลับมาเต็มบ้านเต็มเมือง เป็นเรื่องน่าเสียดายเวลา

“ปัญหาที่แก้ไม่ตก  คือ พวกที่จับไปแล้ว กลับไปขายอยู่ในเรือนจำ คนถูกจับแล้วน่าจะจบ มีที่ไหนที่จับแล้วไปอยู่ในเรือนจำ ต้องไปแจ้งข้อหาเพิ่มอีก บางรายถูกจับศาลพิพากษาประหารไปแล้ว ต้องไปแจ้งข้อหาอีกหนในเรือนจำ แล้วจะต้องโทษประหารอีกหรือไม่ จะเอาไปประหารกี่หน น่าแปลกใจมาก คุยกับใครหลายคนก็งง เหมือนเป็นประเทศเดียวในโลก ฎีกาประหารแล้ว พอสืบจนรู้จากเครือข่ายนอกเรือนจำว่า นักโทษประหารรายนี้อยู่เบื้องหลังก็ต้องกลับไปแจ้งข้อหามันอีก ดำเนินคดีต่ออีก ทั้งที่โทษสูงสุดโดนไปแล้ว” พล.ต.ต.จำนงค์ว่า

คือ ความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรม

ทั้งหมดเหมือนบันทึกอนุสรณ์ในความทรงจำของนายพลผู้ล่วงลับ

อ่านเรื่องราวฉบับเต็มจอง พล.ต.ต.จำนงค์ แก้วศิริ ได้ที่ /www.cops-magazine.com/topic/12939/

 

RELATED ARTICLES