เมื่อครั้งเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย จังหวัดลพบุรี 60 ปีที่ผ่านมา มีข้าราชการฝ่ายปกครอง 2 คน เป็นคู่หูดูโอซึ่งชาวลพบุรีรู้จักชื่อติดปาก “ศักดิ์กับสันต์”ดังมากครับท่าน
“ศักดิ์” เป็นข้าหลวงประจำจังหวัด หรือผู้ว่าราชการจังหวัดในสมัยนี้ ชื่อของท่าน “ศักดิ์ ไทยวัฒน์” ส่วน “สันต์” เป็นนายอำเภอเมืองลพบุรี ชื่อเต็ม “สันต์ เอกมหาชัย”
ลพบุรีเมื่อ 60 ปีก่อนโน้น โจรผู้ร้ายชุกชุมประเภท “ไอ้เสือบุก ไอ้เสือปล้น” ตะโกนเสร็จก็ถึงตัวเจ้าทรัพย์เหมือนนิยายไอ้เสือทั้งหลายแหล่ของ ป. อินทรปาลิต
“ศักดิ์กับสันต์” ทำงานเข้าขากันดี ข้าหลวงศักดิ์หนักไปทางถือปากกาบริหารราชการงานเมือง นายอำเภอสันต์ประเภทถึงลูกถึงคนถือปืนนำหน้าลูกน้องบุกป่าลุยโคลน ห้ำหั่นโจรก๊กต่าง ๆ จนวายร้ายต้องอพยพหนีลูกปืนไปอยู่จังหวัดอื่น
เมื่อบ้านเมืองค่อนข้างเป็นปกติสุขคู่หูดูโอก็โยกย้ายไปอยู่ที่อื่น เติบโตก้าวหน้าตามวิถีทางราชการ ไม่นานนักนายอำเภอสันต์ก็กลับมาอยู่ลพบุรีอีกครั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด
ไม่น่าเชื่อ มือปราบอย่างสันต์ก็พลาดเอาง่าย ๆ
ลูกน้องรายงานจะมีโจรมาปล้นบ้านเศรษฐีคนหนึ่งที่ตำบลบางขันหมาก อำเภอเมืองลพบุรี เช็กรายละเอียดแล้วทราบว่า ฤกษ์ดาวโจรจะขึ้นตอนหัวค่ำ หลังตะวันตกดินประมาณ 1 ทุ่ม
เหมือนถูกหยามน้ำหน้า ผู้ว่าฯ สันต์นำกำลังไปรายล้อมบ้านหลังนั้น แล้วพวกมันก็มาตามนัดทั้งหมด 7 คน จากนั้นทั้ง 7 คนก็ตายเรียบตรงหน้าบ้านนั่นเอง มีทหารปืนใหญ่รวมอยู่ด้วยศพหนึ่ง
ความจริงถูกเปิดในเวลาต่อมา เจ้าของบ้านเป็นเจ้ามือหวยใต้ดิน ทั้ง 7 ศพก็ไม่ใช่โจร หากแต่เป็นชาวบ้านที่ถูกหวยแล้วเจ้ามือนัดให้มาเอาเงิน โดยแอบไปบอกเจ้าหน้าที่ว่าจะมีโจรมาปล้นบ้าน
มันเป็นอุทาหรณ์ของ “คนหูเบา”
เหตุการณ์ครั้งนั้นผมเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ แล้ว รู้แต่ว่ามีการกดดันให้ญาติคนตายรีบเผาศพโดยเร็ว ส่วนผู้ว่าฯ สันต์ถูกเด้งเข้ากระทรวงแล้วเรื่องก็เงียบหาย เพราะผู้ว่าฯ สันต์เป็นเพื่อนกับ “จอมพลประภาส จารุเสถียร” ผู้ทรงอิทธิพลแห่งยุค
เมื่อผมสลัดเครื่องแบบทหารทิ้งกลับไปเลียแผลที่ลพบุรีบ้านเกิดเป็นยุคของผู้ว่าฯ “ยุทธ หนุนภักดี” ท่านเป็นคนดีเป็นสุภาพบุรุษ เมื่อท่านโยกย้ายหรือเกษียณผมจำไม่ได้ ผู้ว่าฯ อุตรดิตถ์ก็มาแทนชื่อ “พลตำรวจตรีสามารถ วายวานนท์” เตี้ยล่ำสันผิวพรรณผ่องใสได้ข่าวว่า ท่านอยากลงอยุธยา แต่ไม่สมปรารถนามาอยู่ลพบุรีซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งที่สองของ “สมเด็จพระนารายณ์มหาราช” ก็ไม่เห็นน่าเกลียดอันใด
ไม่กี่วันต่อมา ผมก็ได้พบกับนักข่าวอาวุโสอย่างไม่คาดคิด “พี่บรรพต บุญชื่น” ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ประจำอุตรดิตถ์ ผมไม่เคยรู้จักพี่บรรพตมาก่อน แต่พี่อุตส่าห์มาลพบุรีตามหาตัวผมจนเจอ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอะไร ไปที่ สภ.อ.เมืองลพบุรีก็เจอผม เพราะผมต้องไปหาข่าวที่นั่นเกือบทุกวัน
พี่บรรพตมอบความปรารถนาดีให้ผม เล่าพฤติกรรมของพลตำรวจตรีสามารถให้ผมรับทราบทุกแง่มุม ซึ่งพี่ประสบมาในสมัยที่ผู้ว่าฯคนนี้เป็นเจ้าเมืองอุตรดิตถ์ พี่บรรพตบอกว่าเป็นห่วงผมมาก รู้มาก่อนว่าผมเป็นคนอย่างไร ผมกราบขอบคุณพี่บรรพตด้วยความเคารพ มันเป็นความห่วงใยของคนที่อยู่ในชายคาขององค์กรเดียวกัน…… “เดลินิวส์”
ดูเอาเถอะ หัวใจพี่บรรพตใหญ่ขนาดไหน ดั้นด้นมาพบผมแล้วก็กลับอุตรดิตถ์ จากนั้นผมก็ไม่ได้พบพี่บรรพตอีกเลย แต่ความเอื้ออาทรของพี่บรรพต ผมสลักไว้ในหัวใจของผมจนกระทั่งบัดนี้
กับพลตำรวจตรีสามารถ วายวานนท์ เจอหน้ากันผมก็ยกมือไหว้ คารวะในฐานะผู้น้อยกับผู้ใหญ่ ในฐานะลูกเมืองกับพ่อเมือง ไม่มีอะไรต่อกัน
จวนผู้ว่าราชการจังหวัดอยู่ด้านหลังศาลากลางจังหวัด ตรงข้ามกับจวนผู้ว่าฯ เป็นบ้านพักผู้กำกับการตำรวจจังหวัด มีถนนนารายณ์มหาราชขนาด 4 เลนกั้นกลาง
ผมไม่รู้ว่า พันตำรวจเอกประจันต์ พราหมณ์พันธุ์ ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรี กับพลตำรวจตรีสามารถ วายวานนท์ มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันหรือไม่อย่างไร แต่ไม่นานนักก็มีข่าวลือออกมา…..ผู้ว่าฯ กับผู้กำกับฯ ไม่ถูกกัน ไม่รู้ไอ้โม่งตัวไหนปล่อยข่าว
แรก ๆ ผมก็ไม่สนใจ แต่หนักเข้าต้องโดดเข้าไปในวังวนข่าวลือ
มีอย่างที่ไหนลือกันได้เป็นวรรคเป็นเวรว่า พันตำรวจเอกประจันต์จะไปจับบ่อนในจวนผู้ว่าราชการจังหวัด ผมก็ต้องทำหน้าที่สื่อบอกกล่าวให้ชาวลพบุรีรู้ว่าข่าวนั้นไม่ใช่ความจริง
พลตำรวจตรีสามารถหรือจะหาญกล้าตั้งบ่อนในบ้านพัก อย่างเก่งที่สุดอาจจะเป็นวงไพ่ตองกระชับมิตรของคุณนายทั้งหลายแหล่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายหรือเสียหายอะไร แต่จากการทำหน้าที่สื่อเรื่องนี้มันกลับมาเข้าตัวผมเอง มีการกล่าวหาลับหลังว่า ผมเป็นคนยุพันตำรวจเอกประจันต์ไปจับบ่อนในจวนผู้ว่าฯ
ไอ้คนปล่อยข่าวมันนึกว่าผมเป็นเจ้านายพันตำรวจเอกประจันต์ บ้าบอคอแตกสิ้นดี
ผมยังทำหน้าที่สื่อไปตามปกติ แต่ก็เริ่มเห็นสิ่งไม่ปกติเกิดขึ้น ทำให้ผมต้องระมัดระวังตัวเองและข้อเขียนมากขึ้น โดยมีเสียงเตือนของ “พี่บรรพต บุญชื่น” ก้องอยู่ในหู
วันหยุดราชการเป็นวันหยุดพักผ่อนของผมด้วย บางวันผมจะ “เข้าวัด” ไปวัดเสาธงทอง กลางเมืองลพบุรี ซึ่งผมเคยบวชอยู่ ไปที่กุฏิ “พระครูปภัสร์สุตคุณ” (สุทัศน์ กายสิทธิ์ ท่านเป็นนักเรียนพิบูลวิทยาลัยรุ่นพี่ผมหลายรุ่น ซ้ำยังเป็นพี่ชายของเพื่อนผม “พลอากาศตรีธำรงฤทธิ์ กายสิทธิ์” ซึ่งล่วงลับไปแล้ว
ประการสำคัญ กุฏิหลวงพี่สุทัศน์ยังเป็นสำนักงาน “ยุวพุทธิกสมาคมลพบุรี” ซึ่งผมเคยเป็นกรรมการ และเป็นตัวแทนสมาคมฯไปประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ไปกราบ “หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ” ที่วัดธารน้ำไหล อ.ไชยา
อยากเล่าให้ฟังตรงนี้สักนิด หลวงพ่อท่านรู้ว่า ชาวยุวพุทธฯ ทั่วประเทศจะมาที่วัดธารน้ำไหล หลวงพ่อท่านบอกชาวบ้านให้มาต้อนรับพร้อมด้วยปิ่นโตคนละเถา มีข้าวปลาอาหารหวานคาวครบถ้วนเป็นอาหารมื้อกลางวันสำหรับ “แขกวัด”
พิธีต้อนรับประทับใจมากครับ ปูเสื่อบนพื้นดินตามความยาวให้ชาวยุวพุทธฯนั่งเว้นระยะกันพองาม ชาวบ้านไชยามานั่งตรงหน้าตัวต่อตัวหยิบอาหารจากปิ่นโตมาวาง ข้าวสวยใส่จานของวัดสนทนาปราศรัยตามประสาชาวพุทธ อิ่มหนำสำราญแล้วเขาก็เก็บอาหารใส่ปิ่นโต ส่วนจานข้าวพวกเราต้องไปล้างเองเป็นธรรมเนียมของวัดธารน้ำไหล ใครกินใครล้าง
ผมไปที่ยุวพุทธิกสมาคมลพบุรีเผื่อมีข่าวสารอะไรให้เผยแพร่ ผมก็รับไปดำเนินการในหนังสือพิมพ์ “สระบุรีสาร” คุยกับหลวงพี่สุทัศน์ คุยกับนักเรียนสมาชิกยุวพุทธฯ บ้างแล้วผมก็ได้ข่าวชิ้นใหญ่อย่างไม่คาดฝันจากปากคำสัปเหร่อวัดเสาธงทอง
เพิ่งเผาศพหญิงคนหนึ่งไปหยก ๆ ตอนเช้าตอนทำพิธีเก็บกระดูกพบ “กรรไกร” ขนาดเล็กอันหนึ่งไหม้เกรียมอยู่ในกองกระดูกหญิงคนนั้นด้วย
หลังจากสัมภาษณ์สัปเหร่อ สัมภาษณ์ญาติคนตายก็กลายเป็นข่าวใหญ่ “หมอผ่าตัดลืมกรรไกรไว้ในท้องคนไข้” จนกระทั่งเสียชีวิต สัปเหร่อยืนยันพบในกองกระดูกพาดหัวตัวเบ้อเริ่มในหนังสือพิมพ์ ”เดลินิวส์”
เหตุเกิดในโรงพยาบาลลพบุรี โรงพยาบาลของรัฐ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช) เป็นผลงานน่าเวทนาของกระทรวงสาธารณสุข เพราะมีโรงพยาบาลเอกชนชื่อโรงพยาบาลเมืองนารายณ์สร้างความสับสนให้แก่ประชาชนไม่น้อย
ผมเคยเขียนคอลัมน์ถึงโรงพยาบาลลพบุรีระบุได้เต็มปากเต็มคำว่า “โรงฆ่าสัตว์” ตามที่ชาวบ้านเรียกขาน มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับการบริการของเจ้าหน้าที่ ทั้งจากคำร้องเรียนและเหตุการณ์ที่ผมประสบมาด้วยตนเอง
พลตำรวจตรีสามารถ วายวานนท์ ผู้ว่าฯ ลพบุรีไม่ได้เต้นเพียงคนเดียว แต่มี “นายแพทย์ กิติ ตยัคคานนท์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลลพบุรีเต้นเป็นลูกคู่ด้วย
พอข่าวจาง อยู่ในขั้นการสอบสวนของคณะกรรมการ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพ เป็นเรื่องที่นักข่าวส่วนกลางรับช่วง ผมก็ยุติบทบาทเพราะหน้าที่ของผมมีแค่นั้น
ผมไม่รู้ว่าช่วงนั้นในส่วนราชการท้องถิ่นมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่จู่ ๆ ก็มีนายทหารจาก กอ.รมน. ถ้าจำไม่ผิดชื่อ “ร้อยโทมานะ เกษรศิริ” มาสอบปากคำผมเมื่อเดือนมิถุนายน 2512 เนื่องจากมีรายงานจากจังหวัดลพบุรีไปที่ กอ.รมน.ว่า ผม “มีพฤติการณ์เป็นคอมมิวนิสต์”
นายทหารหนุ่มบอกว่า ก่อนจะมาสอบปากคำผม คณะของเขาไปสอบถามข้าราชการระดับสูงในจังหวัดลพบุรีมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น “พลตรีเทียนชัย สิริสัมพันธ์” ผู้บัญชาการศูนย์สงครามพิเศษ “นายเฉลียว เกิดภู่” นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองลพบุรี รวมทั้ง “นายสนั่น หัตถโกศล” บรรณาธิการหนังสือพิมพ์สระบุรีสาร และนักธุรกิจในจังหวัดลพบุรี
ทุกปากคำยืนยันว่า ผมไม่มีพฤติการณ์อย่างนั้น
นายทหารหนุ่มถามผมถึงทัศนคติของผมที่มีต่อผู้ว่าฯ ลพบุรี ผมก็ตอบไปตามตรงว่าท่านเอาใจใส่ในหน้าที่การงานอย่างดี ท่านเข้าศาลากลางแต่เช้าตรู่ก่อนข้าราชการหลายคนกว่าจะออกจากห้องทำงานอย่างเร็วก็ 1 ทุ่ม
เมื่อนายทหารทำหน้างุนงง ผมก็บอกว่าที่ท่านทำงานอย่างนี้อาจจะเป็นเพราะท่านมีปัญหาทางครอบครัว เรื่องนี้ต้องไปถามผู้ว่าฯ เอาเอง
ผมรู้ว่าใครเป็นคนรายงานไปที่ กอ.รมน. ผมถือว่าเป็นการลอบกัดลับหลัง ผมไม่กลัวจะมีอะไรเกิดขึ้น เคยแสดงความคิดเห็นกระตุ้นจิตสำนึกของชาวลพบุรีทั้งหลาย ข้าราชการที่มาอยู่จังหวัดนี้ ไม่นานเขาก็ย้ายไป ถ้าเขาทำไม่ดีพวกเราต้องร่วมกันต่อสู้ ในเมื่อผมโดนกับตัวเอง ผมคงไม่รอให้ “เขา” ถลุงผมเป็นคำรบสอง
ผมมีปากกาเป็นอาวุธก็ใช้อาวุธนั้นเป็นประโยชน์เพื่อปกป้องตัวเอง
ไม่อยากบอกว่าเขียนอะไรต่อมิอะไรไปบ้าง แต่ผมสู้ยิบตาครับ
ไม่ถึงที่ตายไม่วายชีวาหรอกครับ วันหนึ่ง “ตี๋น้อย” เพื่อนผมซึ่งเติบโตมาด้วยกัน จากถนนพระราม อ.เมืองลพบุรีมาหาผมบอกว่า ได้รับการติดต่อจากลูกน้อยข้าราชการระดับเบิ้มคนหนึ่ง ให้มายิงผม แต่เมื่อถามว่าจะให้ไปยิงใคร พอตี๋น้อยรู้ว่าเป็นผม เขาจึงไม่รับงานนี้
ผมเชื่อครับ ตี๋น้อยเป็นนักเลงเป็นคนจริง กว้างขวางในแวดวงมือปืน เป็นเพื่อนที่น้ำใจสูงส่งยิ่งนัก เป็นเพื่อนที่ไม่ฆ่าเพื่อน
หลายสิบปีต่อมา ตี๋น้อยล้างมือเปื้อนเลือดหันมาทำมาหากินอย่างสุจริตชน เป็นพ่อค้าขายส่งน้ำแข็งที่ตลาด บขส.ลพบุรี แล้ววันหนึ่งตี๋น้อยก็ถูกมือปืนยิงตายที่หน้าร้านตัวเอง
ขอให้วิญญาณเพื่อนสู่สุคติ ส่วนวิญญาณของใครจะขึ้นสวรรค์ หรือลงนรกอยู่ที่เวรกรรมของตัวเอง