ก้าวที่ 20 ชุมทางนักสืบ

มลังเลอยู่พักใหญ่ก่อนยกหูกดโทรศัพท์

เย็นนี้ว่างไหม”

ปลายสายเงียบราวขบคิด “ไม่ว่าง ยังติดงานอยู่เลย ไว้วันหลังก็แล้วกันนะ”

คำตอบของคู่สนทนาชาชินและรู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมต้องดิ้นรนหาความ

นั่งน้ำตาซึมอยู่บนโซฟาห้องผู้สื่อข่าวประจำกองบัญชาการตำรวจนครบาล แสงแดดยามเย็นเริ่มลาลับ ความสลัวของท้องฟ้าส่งสัญญาณความเหงาเข้าจับขั้วหัวใจ

“เฮ้ย ทำอะไรวะ” ศักดา เจ๊กจั่น คนข่าวหนังสือพิมพ์เดลิมิเรอร์เดินเข้ามากระชากความสงัด

“อ้าวพี่ ยังไม่กลับอีกหรือ”

“ยัง เพิ่งเอารถไปล้างมา แล้วเรายังไม่กลับอีกล่ะ”

“ยังครับพี่ ไม่รู้จะรีบไปไหน อยู่พระรามแค่นี้เอง กลับห้องก็เซ็ง” ผมพ่นความอัดอั้น

“ไปกินเหล้ากันไหม”

“ที่ไหนครับพี่” ผมตอบซังกะตาย

“ซุ้มมะรุม”

ผมฉงน “อยู่ตรงไหนครับพี่”

“ก็พระรามไงล่ะ นัดกับปัญญา แล้ววุฒิเขาไว้ ไปเจอกันที่นั่น” หัวเห็ดรุ่นเดอะเอ่ยทางออกดับความเศร้า “ถ้าจะไปก็ขึ้นรถมา”

รถคันเก่าบุโรทั่งของหนุ่มใหญ่มากประสบการณ์ข่าวอาชญากรรมพาร่างออกจากวังปารุสกวันถึงจุดหมายพระรามสถานที่ตั้งกองบัญชาการตำรวจนครบาลเก่าในเวลาไม่ถึง 10 นาที ผมกระโดดติดรถ เพราะไม่ได้เห็นแก่เหล้าเท่าไหร่หรอก เพียงแค่อยากนั่งกลับมาแฟลตดับเพลิงรังนอนดีกว่าทนรอรถประจำทางสาย 72 วิ่งผ่านมา

“นุชเอาแสงทิพย์แบน โซดา น้ำ น้ำแข็ง” ต้นไอเดียจัดแจงเรียกอุปกรณ์การสนทนา “โค้กด้วยไหม” แกหันมาถาม ผมส่ายหัว

“เจ๊เป้า ขอต้มยำพุงปลาช่อน แล้วก็เนื้อแดดเดียว” เขาส่งสายตาถึงเจ้าของร้าน “เราจะเอาอะไรก็สั่งนะ”

“ผมขอเหล้าโซดาดีกว่า ขอแก้วสั้นด้วยครับ”

“ทำไมล่ะ”

“อร่อยกว่า แก้วยาวน้ำแข็งละลายเร็ว เดี๋ยวเหล้าจืด” ผมให้เหตุผลในการละเมียดน้ำสีอำพัน

แก้วแรกมาถึงมือ ผมกระดกลงคออย่างรวดเร็วจนหมด แล้วล้วงน้ำแข็งใส่คืนภาชนะใสใบกระชับ หยิบแสงทิพย์กระแทกเสียงหวานดั่งสายชลในลำธารไหลดับความแห้งแล้งบนผืนดิน ก่อนบรรจงรินโซดาทยอยฟองฟู่ฟ่อง พอยกจ่อปาก เสียงกระตุกทักดังจากผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนลั่น “ใจเย็นโว้ย เดี๋ยวน็อกกันพอดี” เล่นเอาผมหน้าเจื่อน แต่ไม่สนคำค้าน

ได้น้ำนรกดับกระหายคลายความตึงของความทรงจำ ผมสดชื่นมีอารมณ์พูดคุยได้บ้าง ระหว่างนั้นปัญญา พันธ์เผือก และชัยวุฒิ มั่นสิงห์ คู่บัดดี้ข่าวตามสมทบ พร้อมด้วยไชยรัตน์ ส้มฉุน คนหนังสือพิมพ์รุ่นไล่เลี่ยกันอีกหน่อ

“นี่หรือซุ้มมะรุมของพี่”

“ใช่ นี่แหละซุ่มมะรุม นั่นไงต้นมะรุม” ศักดาชี้ไปต้นไม้ใหญ่ข้างร้าน

คืนนั้นผมกลายเป็นน้องใหม่ที่แหกกฎไม่ยอมทำตามธรรมเนียมนั่งทิศตะวันตักเหล้าให้เหล่ารุ่นพี่ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเป็นเรื่องจริงจัง ต่างคนต่างริน ต่างคนต่างร่ำ พร่ำกันจนร้านปิดกินเวลาปาเข้าไปกว่าตี 1 เศษ ผมเกือบจะเรียกได้ว่า ต้องคลานตะเกียกตะกายขึ้นตึกสูง 4 ชั้นไปนอนหมดสภาพอยู่บนเตียง น้ำท่าไม่อาบ

เย็นถัดมา ซุ้มมะรุมถูกจัดเป็นแหล่งซ่องสุมของผม และคนข่าวรุ่นพี่ได้นั่งแลกเปลี่ยนเรื่องราวจมอยู่ในโลกของวงเหล้าทำลายความเหงาได้อย่างชะงักงัน ผมเนรมิตตัวสวมบทลูกขาประจำของนุช กะเจ๊เป้า ทุกค่ำคืนไม่ต่างจากศักดา เจ๊กจั่น ปัญญา พันธ์เผือก ชัยวุฒิ มั่นสิงห์ และไชยรัตน์ ส้มฉุน

นานวัน ผมเริ่มสนิทได้มิตรหลายโต๊ะที่นั่งข้างกัน

“เราเป็นนักข่าวหรือ”

“ครับ แล้วพี่เป็นตำรวจอยู่ที่ไหน”

“ศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถ” จ่าสิบตำรวจผมยาวหนวดเคราเฟิ้ม แต่น้ำเสียงใจดีบอก “อยู่บนชั้น 5 ตึกโน้นแน่ะ ใต้ถุนศูนย์รามาเคยขึ้นไปไหม”

“ไม่เคยครับพี่”

“ว่าง ๆ ขึ้นไปนั่งคุยกินกาแฟกันซิ” อีกจ่ามาดเข้มเชิญชวน

“ครับพี่”

คุ้นเคยคุ้นหน้าค่าตากันทุกเย็นย่ำ ผมเรียนรู้วิชาสารพัดของตำรวจนอกเครื่องแบบกลุ่มนี้อย่างเจาะลึก โดยเฉพาะมาตรการฟันต่อฟันในยุคพลตำรวจตรีธนู หอมหวล ยังเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคุมชุดเฉพาะกิจปราบปรามการโจรกรรมรถใช้ไม้เด็ดขาดกำราบหัวขโมยรถตัวแสบดับดิ้นเป็นเบือ มีพันตำรวจตรีเมธี กุศลสร้าง เป็นมือขวาคนสำคัญ

“ทำวิสามัญฆาตกรรมหรือครับ” ผมถามแบบเด็กไม่รู้ประสีประสา

“ใช่” ผู้อยู่เบื้องหลังอาญาเถื่อนอธิบายบทการแสดง รวมถึงปฏิบัติการอุ้มหายละลายศพโจรชั่ว (ผมขออนุญาตไม่มาถ่ายทอดวิชาเผยแพร่สู่สาธารณชน)

เขาบอกถึงความจำเป็นต้องทำ เพราะบางครั้งกฎหมายเอาผิดกับพวกมันไม่ได้ ติดคุกมากี่รอบก็ยังไม่เลิกสันดานเดิม บางรายขาดพยานหลักฐาน บางรายประกันตัวหนีแล้วย้อนกลับมาก่อคดีสร้างความเดือดร้อนแก่สุจริตชน

“นั่นสิจะเอาไว้ทำไม” ผมคล้อยตาม

นอกจากตำรวจชุดเฉพาะกิจปราบปรามการโจรกรรมรถมือฉมังที่มานั่งเป็นลูกค้าขาประจำซุ้มแล้ว ผมยังมีโอกาสสัมผัสชีวิตนักสืบของกองกำกับการสืบสวนนครบาลพระนครเหนือ และกองกำกับการสืบสวนนครบาลพระนครใต้ที่มานั่งจับเจ่าหยอดน้ำสีทองร้อนท้องก่อนกลับบ้านอีกหลายคน

ผมเรียกที่แห่งนี้ว่า “ชุมทางนักสืบ” เป็นโรงเรียนกวดวิชาลัดให้ผมเก็บเกี่ยวเรื่องราวมากมายในเนื้องานข่าวอาชญากรรมถึงขั้นหยิบปากกากล้าประกาศล่าวายร้าย และขอตามเอี่ยวจับตายด้วยคนในอนาคต

“มุมนั้นรุ่นเดอะเลยนะ” ศักดา หนุ่มรุ่นพี่ผู้คร่ำหวอดสะกิดให้เห็น

พันตำรวจโทสมศักดิ์ แสนชื่น รองผู้กำกับการสืบสวนนครบาลพระนครใต้ นั่งยิ้มหัวเราะอยู่กับร้อยตำรวจเอกเพ็ง สงครามยศ รองสารวัตรกองกำกับการสืบสวนนครบาลพระนครเหนือ ตำรวจรุ่นพี่ที่เคยสังกัดเดียวกันอย่างออกรสออกชาติ มีร้อยตำรวจเอกคำนึง พูลสวัสดิ์ จ่าสิบตำรวจสุพัฒน์ ม่วงกล่ำ คอยเป็นลูกคู่ชงเหล้าและสั่งกับแกล้ม

ส่วนอีกโต๊ะก็ไม่มีใครกล้าแตะ ดาบตำรวจสนั่น ศรีจันทร์ นั่งหนวดเข้มตาขวาง ส่วนอีกคนเฮฮาแซวเขาไปทั่วไม่มีใครเกินจ่าสิบตำรวจมาโนช ศรีละคร ผู้บังคับหมู่นักสืบอารมณ์ดีของสืบสวนเหนือที่เลือกการสนทนามากกว่าเสวยน้ำสุราทำลายประสาท ขณะที่จ่าสิบตำรวจประทวน จ้อยบำรุง นักสืบสังกัดเดียวกันจะบินมากวนสถานการณ์ขุ่นเป็นบางวัน

“ที่วิ่งอยู่ประจำทุกเย็นเลยนั่นใครครับพี่” ผมสงสัย

“อ๋อ รองโต้ง มือวิสามัญฯเลยล่ะ”

พันตำรวจโทประมวลศักดิ์ ศรีสมบุญ รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครเหนือ อาศัยพื้นคอนกรีตรอบกองกำกับวิ่งออกกำลังกายเรียกเหงื่อยามแดดร่มลมตกไม่ทักไม่ทายใครตามแบบนักสืบพันธุ์แท้ พูดน้อย แต่ทำงานหนัก

“แกเป็นคู่หูผู้กำกับคนใหม่เลยนะ” คนข่าววัยกลางชีวิตฉายภาพต่อ

“ที่ว่าเป็นลูกชายอดีตอธิบดีหรือพี่” ผมสะกิดใจ

“นั่นแหละ คนนี้ที่ยิงตี๋ใหญ่ด้วย”

“เฮ้ย จริงหรือพี่” ผมไม่ค่อยเชื่อ “ทำไมในละครเป็นสมเกียรติ พ่วงทรัพย์ล่ะ”

คราวนี้นักข่าวเดลิมิเรอร์เล่ายาวเป็นฉากว่า พันตำรวจเอกกฤษฎา พันธุ์คงชื่น ตอนนั้นเป็นรองสารวัตร ตามไปเจอตี่ใหญ่พอดี กระทั่งเกิดการดวลปืนกัน “แต่คนที่ลั่นกระสุนใส่ตี๋ใหญ่คนแรกไม่ใช่ตำรวจหรอก”

“ถ้าอย่างนั้นใครล่ะพี่”

“ไอ้วีป ทวีป เสือคล้ำ เพื่อนของมันเองที่หักหลังไปเป็นสายตำรวจ แต่ตอนหลังมันก็ถูกลูกน้องตี๋ใหญ่ยิงตาย”

“จริงหรือพี่” ผมนั่งฟังเพลินเหมือนดูนิยายละครฉากบู๊ล้างผลาญ “เออ…แล้วถวิล เปล่งพานิช พ่อของตี๋ใหญ่ เอ๊ยพ่อของฉัตรชัยล่ะ พี่ทันแกไหม”

“ทันสิ ขานั้นโหดมาก ผมเจอกับตา แกเคยพานักข่าวไปดูสด ๆ ตอนปล่อยโจรวิ่งลงท้องนาแล้วยิงใส่ไล่หลังตายเกลี้ยง”

“น่าสนุกจังเลย”

“แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครกล้าบ้าบิ่นอย่างนั้นแล้ว” ศักดาพึมพำ “เสียดายรองหวิน แกไม่น่าตาย”

“แล้วสรุปว่าแกถูกจัดฉาก หรืออุบัติเหตุจริง ๆ พี่”

“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ หลายกระแส”

ผมกระดกหมดแก้ว “นุช เอาแสงทิพย์อีกแบน”

“ได้ยินเสียงอะไรไหม” เจ๊เป้าเจ้าของร้านข้าวเมียนายดาบตำรวจดับเพลิงเดินมากระซิบ

“เสียงอะไร” ในวงพยายามเงียบ “เหมือนคนร้องโหยหวนเลย ดังมาจากบนตึกตรงกองสืบสวนเหนือนั่น” สัญชาตญาณเหยี่ยวข่าวอย่างพวกผมกำลังได้กลิ่นมนุษย์ถูกเครื่องทรมานบดขยี้เพื่อคายความจริงที่เก็บอยู่ในก้นบึ้งของสันดานคนเถื่อน “ปล่อยไปก่อน ไว้พรุ่งนี้ค่อยพิสูจน์ กินเหล้าต่อดีกว่า” ปัญญาออกหัวคิดเหมือนถูกกาวตราช้างติดก้น

“จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่เปลี่ยนผู้กำกับใหม่ มีอะไรแปลกประหลาดเยอะมาก”แม่ค้าขายข้าวรำพันต่อ

“อะไรอีกล่ะป้า”

“ไม่รู้สิ” สาวใหญ่ชี้มือไปตรงทางเข้าออก “เห็นรถตู้สีขาวที่จอดอยู่คันนั้นไหม วันก่อนเจ๊เต่าที่ขายข้าวตอนกลางวันเจอดีเข้าแล้ว”

“เจออะไรครับ”

“พูดแล้วจะขนลุก อีเต่ามันกลับจากจ่ายตลาดตอนเช้ามืด เดินผ่านมาเห็นรถตู้โยกไปโยกมาไม่หยุดเล่นเอามันวิ่งกระเจิง”

“โธ่ นึกว่าอะไร ใครคงจะแกล้งไปอยู่ข้างในแล้วเขย่ารถเล่นมั้ง” ผมวิเคราะห์

“หรือใครทำพิเรนทร์ไปเอากันในรถ” อีกคนในวงสัปดนทันที

“มีอะไรที่ไหนล่ะ ถามตำรวจทุกคนแล้ว บอกล็อกรถอย่างดีจะมีใครเข้าไป” หญิงเจ้าของกระทู้ขนหัวลุกยืนยัน

ศักดาที่นั่งเงียบคนเดียวมานานไม่ยอมแสดงความเห็นโพล่งออกมากลางวง “ตู้ขาวคันนั้นหลายศพอยู่นะ”

“อะไรครับหลายศพ”

“อยู่ไปนาน ๆ เราก็จะรู้เอง” แกทิ้งปริศนา

“นั่นผู้กำกับกลับแล้ว”

รถเก๋งยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู รุ่นซีรีส์ 3  สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน 1 อ-3322 กรุงเทพมหานครเคลื่อนออกจากใต้ถุงตึกกองกำกับการสืบสวนนครบาลพระนครเหนือ พันตำรวจเอกกฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผู้กำกับนักสืบหุ่นสมาร์ททายาทอดีตอธิบดีกรมตำรวจขับผ่านหน้าไป ผมเกิดแวบขึ้นกะทันหัน “ไม่ต้องพิสูจน์พรุ่งนี้หรอกพี่ คืนนี้เลยดีกว่า ผู้กำกับไม่อยู่แล้ว”

“เรื่องรถตู้ผีสิงหรือ”

“เปล่าครับ เรื่องต้นเสียงโหยหวนบนกองนั่นแหละ ขึ้นไปดูกันดีกว่า อยากรู้เหมือนกัน เขาเอาใครมาสอบ” ฤทธิ์แอลกอฮอล์สูบฉีดความระห่ำผม

“เอาไง เอากัน” ปัญญาสนับสนุน

คนข่าวปิศาจสุรา 5 หนุ่มลุกจากวงตรงขึ้นบันไดมุ่งสู่ชั้น 2 สถานที่ตั้งกองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครเหนือ “นั่นไง มันร้องอีกแล้ว”

“ระวังถูกด่านะโว้ย”

“ไหน ๆ ก็มาถึงแล้ว ทำไม่รู้ไม่ชี้สิพี่”

พอถึงที่หมาย ผมคนแรกที่หัวเราะก๊ากกับเสียงโหยหวนราวเดนคนกำลังรวยรินขาดลมหายใจ ส่วนอีก 4 คนท้องแข็งตามกัน

“ห่าเอ๊ย” ศักดาผิดหวังมากกว่าใคร

“นกแก้วมาคอร์นี่เอง เสือกร้องอย่างกับคนถูกเชือด”

 

 

 

RELATED ARTICLES