ก้าวที่ 23  กระสุนสยบคลั่ง

มกลายเป็นคนติดเหล้าได้อย่างไร ไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน สมัยนั้นรู้สึกแค่ว่า ตกเย็นเมื่อไหร่มักไถ่ถามหาสมัครพรรคพวกจะตั้งวงสุราเมรัย เฮไหนเฮนั่นกันที่ไหน

หนักข้อถึงขนาดไม่มีใครว่างมาสนทนากับปิศาจสุรา ผมก็ว่าของผมคนเดียว

ลิ้มรสน้ำนรกครั้งแรกมันแสนขมขื่นฝืดคอ ผสมไอโซดาให้เจือจางลิ้นกลับทำเคืองเหมือนไม่ได้เสพสมรสสวาทนารีระดับนางงาม วันนั้นผมกับเพื่อนเรียนสมัยมัธยมต้นที่ไม่ได้เจอกันนานหลายปี เพราะพวกมันเสือกไม่ได้ต่อมัธยมปลาย เมื่อห่างหายจนจบวัยนักเรียนขาสั้นหัวเกรียนแล้วเราถึงนัดมาประลองคอกัน

เลือกเพิงร้านอาหารเล็ก ๆ ริมถนนรามคำแหง ใกล้การกีฬาแห่งประเทศไทย หัวหมาก สมัยนั้นรถราไม่จอแจวุ่นวายเหมือนยุคปัจจุบัน เสรี ภิรมย์พานิช เด็กหนุ่มเมืองชุมพรเริ่มขยับตัวแบบเขินอาย ส่วนเจษฎา ลีนะวัต ลูกชายผู้บริหารในองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ส่งสายตาเว้าวอน

“มึงสั่งสิ” แต่ผมนั่งนิ่ง

แดดยามบ่ายยังแผดจ้า อากาศอบอ้าวคลุกเคล้าควันไอเสียจากกระบอกสูบเครื่องยนต์บนท้องถนน เด็กเสิร์ฟเริ่มจ้องตาเขม็ง พวกเรามองเมนูอาหารเหมือนเพิ่งหัดอ่านหนังสือเรียนในวัยเด็ก สะกดคำไล่ทีละบรรทัด เหงื่อเริ่มผุดด้วยความประหม่า

มันทำให้ระลึกถึงตอนแอบไปนั่งสุมหัวพ่นมวนสายฝนจนสำลักครั้งแรกเมื่อสมัยอยู่ชั้นมัธยม 3 ในรังเช่าของเพื่อนเสรีย่านลาดหญ้า ดีที่ผมไม่ติดบุหรี่ทว่ากลับดันมาละเลงชีวิตอยู่โลกแห่งวงเหล้าแทน

“ไอ้ห่า ไม่ใช่เด็กแล้วนะ กลัวอะไรวะ” ผมกระตุกสติเพื่อน

“แล้วมึงจะแดกอะไรล่ะ” เสรีบอก แต่ไม่ทันได้รับคำตอบมันก็โพล่งขึ้น “แม่โขงแบน โซดา 2 ขวด น้ำแข็งถัง แก้ว 3 ใบ กลับแกล้มไม่ต้อง”

“ไอ้บ้า เดี๋ยวก็อ้วกตายห่า” เจษฎาสะบัดเสียง “ยำกุนเชียงจาน”

มันเหมือนยกภูเขาออกจากยอดอก เสียงแห่งสวรรค์เรียกน้ำนรกมาเดือดปุด ปุด อยู่ตรงหน้า พวกเราละเมียดละไมเมรัยรสชาติขมกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยใช้เวลาเผาสีอำพันบนขวดแบนนานนับชั่วโมง

หน้าแดง หูชา พล่ามกันเรื่องคืนวันเก่าสมัยเรียนมัธยม เสียงหัวเราะของมิตรภาพเพื่อนเก่าผ่านไปอย่างรวดเร็ว

“ไว้ค่อยนัดกันใหม่ล่ะ” ผมเอ่ยลา

นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมเจอเจษฎา ลีนะวัต มันหายสาบสูญเกินกว่า 20 ปี ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร เพราะไม่มีใครติดต่อได้อีกเลย

แม่โขงแบนเดียว ทำหนุ่มรุ่น 3 คนเมาไม่เป็นท่า ผมโซซัดโซเซรู้ฤทธิ์แอลกอฮอล์ตั้งแต่บัดนั้น เดินเป๋ไปเป๋มาขึ้นรถเมล์สาย 22 ต้นทางหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงกลับบ้านวิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพแบบนั่งหลับไปตลอดทาง

วันนี้ผมเลิกรักแม่โขงไปนิยมแสงทิพย์ ยึดซุ้มมะรุมของร้านเจ๊เป้าเป็นครัวฝากท้องยามเย็นหลังเลิกงาน “ขอข้าวหมูทอดกระเทียมไข่ดาว เปิ้ล” เมนูโปรดที่ผมจะสั่งผ่านลูกสาวตัวเล็กของเจ๊มานั่งกินเป็นกับแกล้มเหล้าของร้านนุช

“พรรคพวกไปไหนหมดล่ะ ทำไมมานั่งคนเดียว” เจ๊เจ้าของร้านสงสัย

“ติดงาน ติดเมีย รีบกลับบ้านมั้งเจ๊” ผมว่า

“แหม คนเดียวก็กินได้เนอะ”

“ก็ผมอยู่บนแฟลตแค่นี้เอง ขึ้นไปก็ไม่มีอะไรทำ” ว่าแล้วก็กะเดือกไอกอฮอล์ล้างคออย่างรวดเร็ว “เราไม่มีแฟนกะเขาหรือ” กลายเป็นคำถามจี้ใจดำที่เร่งให้ผมผลาญน้ำสุราเข้าสู่ร่างกายเร็วขึ้น ก่อนนั่งเฉยทำเป็นไม่ได้ยินซะอย่างนั้น

ทุกเย็นวันจันทร์ถึงพฤหัสบดี ผมจะปรากฏกายอยู่ซุ้มมะรุมซะส่วนใหญ่ เย็นวันศุกร์หรรษาจะอาศัยติดสอยห้อยตามหมู่คณะนกน้อยปีกแข็งรุ่นพี่อย่างศักดา เจ๊กจั่น ชัยวุฒิ มั่นสิงห์ ปัญญา พันธ์เผือก ชัยรัตน์ ส้มฉุน บางครั้งมีรุ่นเดอะอย่างวัลลพ ชัชแววศรี จากค่ายสีบานเย็นร่วมแจมไปสัญจรตามสถานอโคจรทั่วกรุง

ที่ประจำมากสุดนอกจากร้านข้าวต้มหัวปลา สวนรื่นฤดีแล้ว ไม่พ้นพาราไดซ์เธค อัครสถานบันเทิงเชิงสะพานอรุณอัมรินทร์ มี “สารวัตรเป้ง” พันตำรวจโทวรรัตน์ จำปีรัตน์ สารวัตรกองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลธนบุรีที่สนิทสนมกับพวกพี่นักข่าวมากประสบการณ์คอยดูแล

เมากันหัวราน้ำจนย่ำรุ่งขึ้นสู่วันใหม่ ส่วนใหญ่ผมจะกลับไปนอนบ้านเทคนิคกรุงเทพ หอบผ้าหอบผ่อนไปไหว้วานบุพการีซัก และรอเข้าเวรประจำกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์สยามโพสต์ต้นสังกัด มันเป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ของชาวบ้าน แต่สำหรับนักหนังสือพิมพ์รายวัน มันเป็นห่วงเวลาทำงานอันทรงคุณค่า

ตกเย็นวันเสาร์ ถ้าไม่ชวนเกลอร่วมสำนักแผนกข่าวกีฬาอย่าง พฤกษ์ รัตน์นราธร เหน่ง-เรืองชัย ชาญวนิชกุลชัย กับพวกไปสุมหัวอยู่ร้านลาบส้มตำเจ๊เขียว ข้างปั๊มน้ำมันเชลล์ ริมถนนสุนทรโกษา คลองเตย ผมก็จะรีบแจ้นกลับบ้านรอลุ้นทีมโปรด “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ลงบู๊แข้งดิวิชั่น 1 ซึ่งเป็นช่วงขาลงหลัง “คิง เคนนี่” เคนนี่ ดัลกลิช นักเตะดังของทีมผันตัวไปเป็นผู้จัดการทีมถึงขั้นพาสโมสรคว้าดับเบิลแชมป์หนแรกในประวัติศาสตร์ลูกหนังเมืองผู้ดีทนแรงกดดันไม่ไหวไขก๊อกโบกลาเก้าอี้ เปิดทางให้แกรม ซูเนสส์ อดีตจอมทัพหนวดเหล็กของหงส์แดงเข้ามาทำหน้าที่แทน แต่ผลงานของเขาเริ่มออกทะเลกลายเป็นจุดเริ่มของความตกต่ำทำทีมสโมสรขวัญใจวัยเด็กของผมห่างเหินความสำเร็จในลีกสูงสุดนานเกิน 20 ปี

นอนฝันร้ายจากความพ่ายแพ้ (ซ้ำซาก) ของลิเวอร์พูล ผมต้องสะดุ้งตกใจตื่นก่อนเวลาในเช้าวันอาทิตย์ที่มีเวรเข้าประจำโรงพิมพ์แยก ณ ระนอง งัวเงียฟังศูนย์วิทยุกรุงธน ข่ายสื่อสารของกองบังคับการตำรวจนครบาลธนบุรีจนตาสว่าง

“อะไรวะ จี้ตัวประกันตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่เลิกอีก” ผมพึมพำอยู่บนเตียง

รีบแจ้นอาบน้ำแต่งตัวสะบัดก้นออกจากบ้าน

“ไปไหนแต่เช้าเลยลูก” แม่ถาม

“มีงาน ไปก่อนนะ” ผมตอบห้วน ๆ แล้วเดินเลาะรั้วเทคนิคกรุงเทพไปเรียกรถแท็กซี่ริมถนน

“ไปซอยสุขสวัสดิ์ 32”

เช้าวันอาทิตย์ของกลางเดือนมกราคม 2536 ถนนกรุงมุ่งสู่ราษฎร์บูรณะโล่งหูโล่งตา ผู้คนยังคงนอนหลังสบาย แต่ที่ร้านขายของชำสุขเจริญ เลขที่ 239-240 ปากซอยสุขสวัสดิ์ 32 เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร กำลังอยู่ในขั้นวิกฤติ ทั้งคนแก่และเด็ก 5 คนขวัญผวาตัวสั่นหน้าซีดมาตั้งแต่ตอนตี 2 กว่า หลังมีชายสวมเสื้อยืดสีน้ำเงิน กางเกงชุดพรางทหาร ตัดผมสั้นเกรียน อาการคลุ้มคลั่ง มือขวาสวมถุงมือดำข้างเดียว กำปืนลูกซองยาวไว้แน่น ส่วนมือซ้ายถือ 11 มิลลิเมตรดำมะเมือมกวาดสายตาเหี้ยมขู่ใส่เหยื่อทั้ง 5 ชีวิตบนชั้น 2 ของร้านขายของชำ

“อย่าเพิ่งเคลียร์นะ ขอให้กูไปถึงก่อนเถอะ” ผมลุ้นใจจดใจจ่ออยู่บนรถแท็กซี่ หูฟังการรายงานความเคลื่อนไหวของสถานการณ์อยู่เป็นระยะ พลตำรวจโทจำลอง เอี่ยมแจ้งพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พลตำรวจตรีธีระชัย เหรียญเจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พลตำรวจตรีวรรณรัตน์ คชรักษ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาลธนบุรี ไปบัญชาการเหตุการณ์ตั้งแต่ตอนดึก

“ไปได้แค่นี้ครับพี่ ข้างหน้าเขาปิดถนน” โชเฟอร์ว่า

“ถ้างั้นจอดตรงนี้แหละ ขอบคุณมาก”

ผมเดินดุ่ยผ่านเข้าไปเป็นระยะทางกว่า 200 เมตร ตำรวจปิดการสัญจรไปมาเพราะกลัวชาวบ้านโดนลูกหลง ร้านชำเกิดเหตุอยู่ตรงไหนผมยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ย่ำผ่าเข้าไปกระทั่งเจอนักข่าวตระเวนอาชญากรรมจับกลุ่มกันอยู่

“สวัสดีครับพี่เขียว” ผมทักทายประเสริฐ รวยป้อม อดีตคู่บัดดี้ผลัดเดียวกับประทีป สุวรรณพืช ที่ผมเคยไปฝึกงานตระเวนข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ “เฮ้ย เอ็งผ่าเดินเข้ามาได้ยังไงวะ เดี๋ยวก็โดนยิงตายห่าหรอก” เสียงของกิจจา ทองเกลา หนุ่มนักข่าวตระเวนหัวเขียวอีกคนเอ็ดตะโรเล่นเอาผมสะดุ้งตกใจ

“บ้านหลังไหนหรือพี่”

“ก็หลังนั้นไง” กิจจาชี้มือ “ที่เอ็งเพิ่งเดินข้ามถนนเข้ามานี่แหละ”

“ฉิบหาย เกือบไปแล้วเรา” ผมเสียวสันหลังวาบ “ ก็ไม่เห็นมีตำรวจบอกซักคน”

วีระชัย มหาพาสุวัฒน์ เสี่ยเจ้าของร้านละล่ำละลักหลุดมาได้คนเดียวเล่านาทีชีวิตกับตำรวจชั้นผู้ใหญ่ว่า ระหว่างกำลังนอนหลับสนิทอยู่ชั้น 2 กับญาติพี่น้อง ได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากในบ้านจึงปลุกคนอื่น ๆ แต่ยังไม่ทันทำอะไร คนร้ายก็คว้าปืนเข้ามาในห้องนอนจี้สั่งให้ทุกคนมารวมกัน ลักษณะมันเหมือนคนบ้าคลั่ง รูปร่างบึกบึน “ช่วงชุลมุนนั้นเอง ผมตัดสินใจกระโดดหนีจากชั้น 2 มานอกบ้านแล้วรีบแจ้งตำรวจ” ขณะลำดับความตัวเขายังไม่เลิกสั่น

สถานการณ์วิกฤติตัวประกันตึงเครียดมากว่า 5 ชั่วโมง พันตำรวจโทวิโรจน์ พานิชผล สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจนครบาลราษฎร์บูรณะยกโทรโข่งเจรจาเกลี้ยกล่อมจนเสียงแหบเสียงแห้งมาทั้งคืน “นี่ผมสารวัตรใหญ่พูดนะ ท่านต้องการอะไร มาคุยกัน อย่าทำร้ายตัวประกัน”

“ปัง ปัง” เสียงปืนดังลั่นแทนคำตอบจนทั้งตำรวจ นักข่าว ชาวบ้านต้องก้มหัวหลบหมอบ

สักพักมันบอกว่า “ช่วยหารถให้ 1 คันจะกลับบ้าน แต่คนขับต้องเป็นผู้หญิง พร้อมปืน.38 อีกกระบอก ผมต้องการด่วน”

ตำรวจที่เฝ้าความเคลื่อนไหวสังเกตเห็นมันเดินเหมือนหนูติดจั่นอาการกระสับกระส่ายอยู่ใกล้หน้าต่างชั้น 2 ของร้าน มือกำปืนแน่น พันตำรวจโทวิโรจน์ พยายามพูดถ่วงเวลา แต่มันกลับลั่นกระสุนข่มอีกครั้ง “ที่สั่งน่ะได้หรือยัง รถมาหรือยัง” มันย้ำคำพร้อมเอาเบียร์กระป๋องในร้านมากระเดือก

การปิดล้อมของตำรวจครั้งนี้ไม่ต่างฉากในหนังแรมโบ้ภาคแรกที่โด่งดังทั่วโลก ผิดกันตรงที่ไอ้คลั่งจับตัวประกันไม่ได้ถูกส่งมารับบทพระเอกบู๊ล้างผลาญเหมือนซิลเวสเตอร์ สตอลโลน แต่มันเป็นผู้ร้ายคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญที่มือกฎหมายต้องจัดการ

เวลายิ่งยืดเยื้อตัวประกันยิ่งอยู่ในสภาวะเสี่ยงอันตราย

กระสุนของมันดังขึ้นอีก คราวนี้เจาะเข้าชายโครงขวา หน้าอก และคางของสิบตำรวจเอกสราวุธ กุลโมรานนท์ ตำรวจกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลธนบุรีจนร่วง ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้บริเวณนั้นต้องคลานเข้าไปลากตัวส่งโรงพยาบาลราษฎร์บูรณะ

ยิ่งทำให้ผมสะท้านมากกว่าเก่า นึกภาพไม่ออกหากมันยิงตอนที่ผมกำลังเดินข้ามถนนผ่านหน้าคิลลิ่งโซนของมันพอดีจะเป็นอย่างไร

“เห็นไหมเอ็ง” กิจจากระแทกไม่เลิก แกเป็นรุ่นพี่โรงเรียนเทพศิรินทร์  แต่ห่างกันหลายรุ่นไม่ทันกัน เพิ่งมารู้ในสมรภูมิวันนั้นแหละถึงได้คุยกันสนิทมากขึ้น ผมเลยอดทนคำบ่นเสียงดังตามสไตล์ของแกแบบเอาหูไปนาเอาตาไปมองสาวดีกว่า

“ไปตามอรินทรราชมา” ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคำรามเข้ม “มันชักไม่ไหวแล้ว”

เหล่านักข่าวเจนสนามได้ยินดังนั้น รู้ทันทีว่า งานนี้ไม่ยืดเยื้อแล้ว แต่ผมเพิ่งรู้จักอรินทราชครั้งแรก อรินทราช 26 ตำรวจหน่วยสวาทที่มีฝีมือฉกาจฉกรรจ์ พิษสงร้ายกาจของกองบังคับการตำรวจสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ หรือ 191

นักรบฟาติกสีน้ำเงินอาวุธครบมือสวมไหมพรมคลุมหน้าทำท่าทะมัดทะแมงคืบคลานล้อมบ้านเป้าหมายชนิดไอ้คลั่งไม่ทันระวัง อีกส่วนประจำการอยู่บ้านหลังตรงข้ามมีปืนยาวติดลำกล้องเตรียมพร้อม

“อย่าทำอะไรตัวประกันนะ รถกับของที่สั่งไว้กำลังมาแล้ว ใจเย็น ๆ” สารวัตรใหญ่ได้รับคำสั่งให้เจรจาต่อเพื่อเบนความสนใจ คราวนี้มันถอดเสื้อจิบเบียร์โชว์อยู่หน้าต่าง แต่ยังส่ายปืนไปมา

“ปัง ปัง ปัง” เสียงปืนดังชุดใหญ่มาจากฝากตรงข้าม ร่างของไอ้คลั่งทรุดฮวบ กำลังหน่วยปฏิบัติการพิเศษอีกชุดบุกพังประตูห้องเข้าไปช่วยเหลือตัวประกันออกมาได้อย่างปลอดภัยท่ามกลางความโล่งอกของทุกฝ่าย

พันตำรวจตรีลือชัย สุดยอด หัวหน้าชุดอรินทราช 26 ทำความเคารพผู้บังคับบัญชาแล้วพาลูกน้องขึ้นรถกลับไปภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจสำคัญ

สารวัตรลือชัย นายตำรวจผู้ปิดทองหลังพระเป็นคนลั่นไกสยบคลั่ง แต่ไม่ยอมเปิดตัว หรือให้สัมภาษณ์สื่อใด ๆ ในวันนั้น ทว่านักข่าวทุกคนรู้ในฝีไม้ลายมือและความเป็นตัวทนของเขาอย่างดี

สุดยอดสมสนามสกุล สมคำร่ำลือที่ผมได้สัมผัสในเหตุการณ์ชวนระทึกขวัญเช้าวันอาทิตย์ที่ผมต้องลุกขึ้นจากที่นอนก่อนเวลาอันควร

คุ้มค่าจริง ๆ

RELATED ARTICLES