ก้าวที่ 25 ฮ.ล่า “ฮ่อ”ผยอง

ตกเนื้อเต็มร่าง เป็นคนข่าวเต็มตัว

วันเวลาในสนามข่าวแรกรุ่นผ่านไปรวดเร็วผลาญชั่วโมงยามค่ำคืนอยู่ในโลกของวงเหล้า หวงชีวิตหนุ่มโสด ลิงโลดตามประสาผู้ชาย ขณะที่รุ่นพี่นักหนังสือพิมพ์ผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนล้วนมีครอบครัวลูกเมียกันเกือบหมด แต่ยังอดไม่ได้ที่จะมานั่งร่วมสนทนาทำตัวเป็นปิศาจสุราหัวราน้ำจนดึกจนดื่นแทบทุกวันทำงาน

ตกลงผมเป็นคนจุดชนวนชวนไปแล้วหรือเนี่ย

ความสุขของนักหนังสือพิมพ์น้องใหม่ฉบับเล็กของผมเวลานั้น ไม่มีอะไรดีไปกว่าได้รับความไว้วางใจจากแหล่งข่าวที่เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ถึงชั้นผู้น้อยในกองบัญชาการตำรวจนครบาล อีกทั้งได้มิตรร่วมอาชีพเป็นรุ่นพี่มากประสบการณ์ที่สวมวิญญาณครูสอนเราในภาคสนามแบบไม่ได้ตั้งใจ

ผมเปลืองเวลาหนุ่มจมอยู่กับวงเหล้าก็จริง แต่ตรงนั้นมันทำให้ผมได้วิชาครูพักลักจำมาสู่เมมโมรีบนรอยหยักสมอง ทว่าไม่เคยลำพองว่า ตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ ปีกแข็งปีนเกลียวเลยสักนิดเดียว ผมยังคงเรียบร้อย อ่อนน้อมถ่อมตนยามอยู่ในฝูงพญาอินทรีคอยเป็นลูกไล่ที่ดี แต่ไม่ถึงกับสวมบทลูกไก่ในกำมือ

ถ้าพวกพี่ชี้นกแล้วบอกว่าเป็นไม้ ผมก็ว่าไม้ตามเขา แต่ใจของเรารู้อยู่แก่ใจว่า มันคือ นก ไม่เช่นนั้นผมคงไม่ปีกกล้าบินบนท้องฟ้าของโลกน้ำหมึกอย่างสง่าจวบปัจจุบันนี้

นับว่าคุ้มค่าแล้วที่เลือกยึดอาชีพนักหนังสือพิมพ์ที่รุ่นเก่าสมัยพ่อมองว่า “ไส้แห้ง” แต่ไม่เคยแล้งจากน้ำใจในหมู่คนข่าวอาชญากรรม ถึงจะไม่ขาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ไม่ถึงกับดำทะมึน ผมเลือกทางเดินเป็นสีเทาหน่อย

ยึดหลักสุภาษิตคอยย่องตามหลังผู้ใหญ่ หมาไม่กัดดีที่สุด

อุดมการณ์อาจกินไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยคิดขายตัว

ว่าไปนั่น เพ้อรำพันยาวเหยียดรำลึกวัยฉกรรจ์อันหอมหวาน สงสัยฤทธิ์แอลกอฮอล์ในร่างยังสิงอยู่เต็มกาย มันถึงทำภาพเก่าเล่าอดีตวนเวียนหาหลักสำคัญไม่เจอ

เรียกความทรงจำได้แค่ว่า หัวราน้ำเกือบฟ้าสางครั้งใด วันใหม่มักมีเรื่องให้ชวนแฮงก์แต่หัวรุ่งเป็นประจำ

เหมือนเมื่อคืนวันที่ 6 กันยายน 2536 ขบน้ำแข็งกระแทกน้ำสีชากลมกลืนโซดาอยู่ซุ้มมะรุมตั้งแต่พระอาทิตย์ลาลับ เพื่อนเก่าสมัยห้องเรียนมัธยมฉายาอีที-ณรงค์ฤทธิ์ อาจหาญ เป็นแขกอาสามาเยือนคลายเหงา

พวกเราทำสถิติใหม่ด้วยการเอาไอโซดาเพียง 2 ขวดดับแบนยี่ห้อแสงทิพย์ไปอย่างรวดเร็ว เจ๊เป้าเก็บร้าน เจ้านุชล็อกตู้เย็น บรรยากาศหัวทุ่งพญาไทหน้ากองบังคับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครเหนือเงียบสงัด

“ไปต่อกันดีกว่า” เพื่อนหนุ่มร่างผอมเกร็งเปิดฉาก

“ไปไหนวะ” ผมอิดออด

“ร้านข้าวต้มเป็นไง”

“มึงไม่อิ่มหรือ”

“แดกเหล้าอย่างเดียว”

ผมชั่งใจไม่นานก็ตอบตกลงโบกสามล้อไปนั่งริมถนนราชปรารภจัดแจงสำเร็จความใคร่น้ำนรกจนเกือบย่ำรุ่ง ก่อนตะเกียกตะกายขึ้นแฟลตสลบตามฟอร์ม รู้สึกตัวสะดุ้งอีกครั้งเมื่อแว่วเสียงวิทยุสื่อสารที่เปิดสแกนหาคลื่นหลายเครือข่ายของตำรวจบนหัวเตียง

“ปทุมวันเรียกม้าขาว เรียกม้าขาว”

“ม้าขาว ว.2 เปลี่ยน”

“รับแจ้งจากผ่านฟ้าขอ ว.7 ติดตามคนร้ายก่อเหตุ 200 อาวุธปืน มีผู้ได้รับบาดเจ็บเขตท้องที่ สน.ท่าข้าม”

“ม้าขาวทราบ ว.25”

เหลือบมองนาฬิกาเป็นเวลา 8 โมงเศษ ตั้งสติเอาไงดีหนอ

ถ้าลองเรียกม้าขาวที่หมายถึงเฮลิคอปเตอร์ของกองบินตำรวจคงไม่ธรรมดาแล้ว

“เอาวะ”สะบัดหน้าทิ้งความงัวเงียที่มึนหัวด้วยพิษเหล้ารีบอาบน้ำแต่งตัวลงไปหารถเกาะบึ่งมุ่งหน้าที่เกิดเหตุแบบต้องออดอ้อนรถข่าวตระเวนข่าวฉบับอื่นที่อยู่คนละเขตแทบจะหมดกลิ่นละมุด

เฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่กระพือใบพัดแหวกพงหญ้าไล่ล่าโจรร้ายที่กบดานอยู่อย่างระทึก

เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นขณะที่ดาบตำรวจสามารถ พูลเกิด และจ่าสิบตำรวจวรา นพมิตร เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ 191 นั่งรถจักรยานยนต์ออกตรวจพื้นที่มาถึงปั๊มน้ำมันสตาร์โฮลดิ้ง จำกัด เลขที่ 78 หมู่ 4 ถนนพระราม 2 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร พบชาย 3 คนยืนอยู่ในลักษณะมีพิรุธจึงแสดงตัวเข้าตรวจค้น

เมื่อเห็นตำรวจพวกมันต่างพากันเผ่นไปหลบใต้ท้องรถปิกอัพ สีขาว ทะเบียน 1 ห-6401 กรุงเทพมหานคร 1 ในจำนวนนั้นได้ชักปืน 9 มิลลิเมตรยิงใส่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ทั้ง 2 คน กระสุนพลาดหลงไปโดนนายสุรัตน์ ขำเนินพุ่ม อายุ 28 ปี คนขี่จักรยานยนต์รับจ้างที่กลางหลังจนร่วงจมกองเลือด

ตำรวจสายตรวจ 191 รีบวิทยุขอกำลังสนับสนุนทันที มีพลตำรวจตรีธีระชัย เหรียญเจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พลตำรวจตรีวรรณรัตน์ คชรักษ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาลธนบุรี พร้อมกับพวกเดินทางตามไปสมทบ

คนร้ายอยู่ในสภาพไม่ต่างหมาจนตรอก 2 คนยอมชูมือมอบตัว อีกคนที่ลั่นกระสุนยิงเจ้าหน้าที่หนีเข้าไปในปั๊มน้ำมัน เอาปืนจี้หัวนายวิเชียร เหลืองอรุโณทัย อายุ 35 ปี เจ้าของปั๊มบังคับให้หารถใช้เป็นพาหนะหลบหนี

เหยื่อหวาดผวากลัวตาย แต่ปฏิเสธคำขอ มันลังเลอยู่พักก็ตัดสินใจทิ้งตัวประกันหนีการติดตามของตำรวจที่ระดมกำลังกันมามากขึ้นออกจากปั๊มลัดเลาะเข้าตึกแถว 2 ชั้นแบ่งเป็นห้องให้เช่าใช้ปืนจี้นางหนูจอน ยาตรา อายุ 32 ปี และนางสมหมาย ไชยพยุง อายุ 26 ปี ที่กำลังนั่งซักผ้าอยู่หลังห้อง และเด็ก ๆ ให้มานั่งรวมกัน

“มันบอกให้อยู่เฉย ๆ อย่าเอะอะโวยวายแล้วจะไม่ทำอะไร สำเนียงพูดไทยไม่ค่อยชัดค่ะ” สาวโรงงานหายใจทั่วท้องเมื่อคนร้ายยอมปล่อยให้การกับนายพลนครบาล

“มันไปทางไหน”

“มันกระโดดหนีข้ามกำแพงด้านหลังตรงนั้นค่ะ” เธอชี้

พลตำรวจตรีธีระชัย เหรียญเจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ปีนชะโงกหน้าไปดู เห็นเป็นพงหญ้าสูงท่วมหัวกว้างเกือบ 2 ไร่ ถึงให้ประสานเอาเฮลิคอปเตอร์กองบินตำรวจมาด่วน

นาทีปฏิบัติการล่าวายร้ายตอนนั้น ผมบึ่งไปถึงพอดี

“เออ สวัสดีไอ้น้อง” นายพลคนดังรับไหว้ หน้าตาบ่งบอกถึงความเครียด ผมเลยยืนสังเกตการณ์ไม่กล้าผลีผลามถามอะไรให้แกรำคาญโดยใช่เหตุ

ฝูงกระจอกข่าวแห่กันจับกลุ่มลุ้น กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจโรงพักท่าข้าม จับมือกองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลธนบุรี และสายตรวจ 191 ตีวงปิดล้อมทางเข้าออกบริเวณดังกล่าว มีเฮลิคอปเตอร์กองบินตำรวจหมายเลข 2222 บินวนอยู่เหนือหัวคอยแหวกหญ้าออกเป็นหย่อม

“ระวังด้วย มันมีปืน” พลตำรวจตรีวรรณรัตน์ คชรักษ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาลธนบุรี เจ้าของฉายา “มือปราบหน้าหยก” ที่นักข่าวอาชญากรรมหลายสำนักตั้งให้เตือนสติลูกน้อง “ให้มันรู้ไปว่า มันจะหนีไปได้” เขาพึมพำ

ร้อยตำรวจกิตติ สกุลดี รองสารวัตรแผนกสายตรวจ 191 รับคำบัญชาแล้วนำสุนัขตำรวจลุยคืบเข้าไปในพงหญ้าประสานกับเฮลิคอปเตอร์ที่คุมเชิงอยู่ด้านบน

“นั่น ๆ มันอยู่ตรงนั้น”

“ปัง ปัง ปัง” คนร้ายระเบิดกระสุนเฉี่ยวหัวผู้หมวดสายตรวจ สุนัขตำรวจเห่ากรรโชกแค้นแทนผู้เป็นเจ้าของ

ผู้บังคับการตำรวจนครบาลธนบุรีส่งอาณัติสัญญาณทางสายตาให้โต้ตอบ เท่านั้นแหละเสียงพายุปืนดังสนั่นทุ่งกินเวลานานกว่า 10 นาที

“เคลียร์” ผู้ประสานงานม้าขาวบนฟากฟ้าเป่านกหวีดยุติการยิง

ร่างของคนร้ายนิรนามถูกสันนิษฐานเป็นชาวจีนฮ่อวัยประมาณ 30 ปีนอนหงายแช่น้ำในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงขายาวสีกากีมีบาดแผลถูกยิงพรุนทั่วลำตัว 10 กว่าแห่ง ปิดฉากชีวิตผู้ร้ายที่หาญกล้ายิงใส่ตำรวจเป็นผีเฝ้าทุ่งท่าข้าม

“ลื้อไปตามไอ้สารวัตรสืบบุปผารามบอกให้พยานคดีปาระเบิดบาร์รำวงเมื่อ 2 วันก่อนมาหาอั๊วหน่อย” พลตำรวจตรีธีระชัยตะโกนสั่งลูกน้อง ส่วนพันตำรวจโทสมชาย เจริญเนติกุล สารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลท่าข้ามเข้ารายงานความคืบหน้าการสอบปากคำเพื่อนร่วมแก๊งที่จนมุมก่อนหน้า

“มันเป็นพวกฮ่อจริงด้วยครับท่าน”

นายพลมือสอบสวนยิ้ม “แล้วมันว่าไงบ้าง”

สารวัตรสมชายแจงว่า 1 ใน 2 คนร้ายที่ถูกจับบอกว่า เป็นช่างซ่อมรถเดินทางมาจากจังหวัดตาก พักอยู่ย่านพระราม 2 เพิ่งรู้จักกับผู้ตายไม่นาน ก่อนเกิดเหตุชักชวนกันไปสมัครเป็นยามที่วงเวียนใหญ่  ระหว่างยืนเก้ ๆ กัง ๆ เจอตำรวจขี่รถผ่านมา เกรงว่าจะโดนจับ เพราะเข้าเมืองผิดกฎหมายเลยพากันวิ่งหนี และไม่คิดว่า ผู้ตายจะกล้าชักปืนยิงใส่ตำรวจ

ไล่เลี่ยกัน พันตำรวจโททศพล พัฒนภักดี สารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลบุปผาราม นำนายสุพจน์ แสนระบุญ พยานปากเอกที่เห็นเหตุการณ์จีนฮ่อปาระเบิดถล่มบาร์รำวงย่านวงเวียนใหญ่เมื่อคืนวันที่ 5 กันยายนมาดูศพคนร้ายดวงกุดที่ถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรม นายสุพจน์พยักหน้ายืนยันว่า เป็นคนเดียวกันแน่นอน

“คุณแน่ใจหรือ” นายพลตำรวจตรีมือกฎหมายซักเพื่อความชัวร์ “คุณจำได้อย่างไร”

“เอ่อ ผมจำรอยสักมังกรที่หน้าอก และแผลเป็นที่มือขวาได้ครับ ส่วนอีก 2 คนนั้นไม่เกี่ยวข้องครับ” พยานเอกให้เหตุผล เล่นเอานายพลอาวุโสหัวเราะ

“นายแน่มาก ขอบคุณนะ เดี๋ยวเชิญไปให้ปากคำที่โรงพักอีกทีนะคุณ ”

ผมรวบรวมหลายละเอียดเหตุการณ์วิสามัญฆาตกรรมกลับไปยังห้องนักข่าวประจำกองบัญชาการตำรวจนครบาลเอาช่วงบ่าย อาการแฮงก์ตอนเช้าหายเป็นปลิดทิ้ง มันเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นระทึกใจในปฏิบัติการแหวกพงหญ้าจับตายจีนฮ่อที่มีอัศวินม้าขาวมาช่วยในภารกิจสำคัญจนสำเร็จครั้งนี้

มันทำให้ผมเลือกขอม้าขาว (white horse)เหล้ายี่ห้อดังแห่งยุคนั้นมาตั้งวงจับกลุ่มถอนในตอนเย็นหลังพิมพ์ข่าวส่งแฟกซ์เข้าโรงพิมพ์เรียบร้อยแล้ว

ซุ้มมะรุมชุมทางนักสืบกลับมาคึกคัก ม้าขาวอภินันทนาการจากเจ้าของรหัส นส.เหนือ 1 เปิดฝากให้รสละมุนลืมเรื่องวุ่นตลอดเช้าที่ผ่านมา “เจ๋งว่ะพี่” ผมบรรยายภาพปฏิบัติการให้กลุ่มรุ่นอาวุโสนักข่าวภาคสายที่ตกขบวน

ปรากฏว่า พอเช้าวันรุ่งขึ้นผมกลับมานั่งเขลกกะโหลกตัวเองที่ทำข่าวแบบลวก ๆ ไม่ขยายผลคดีต่อให้มากกว่านี้ ทันทีที่เห็นหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ประโคมกันคึกคัก

เป็นรายงานข่าวเพิ่มเติมกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการวิสามัญฆาตกรรมชาวชาวจีนฮ่อ คาดว่าผู้ตายน่าจะเป็นหนึ่งในแก๊งของนายสุชาติ มาคำ หรืออาฉี อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 723/127 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร

อาฉี ผู้นี้มีธุรกิจห้องอาหารอยู่ในย่านถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กลุ่มชาวจีนฮ่อทั้งหมดที่เข้ามาหากินในเมืองกรุงจะต้องมาอยู่ในสังกัดของอาฉี ผ่านทางนายเฉี่ยว หลิว ลูกน้องคนสนิท ตามแนวทางการสืบสวนทราบว่า ทั้งคู่หน้าฉากจะทำธุรกิจเกี่ยวกับห้องอาหาร ส่วนหลังฉากเป็นแก๊งอุ้มเรียกค่าไถ่ พกปืนติดตัวตลอดเวลา มีแหล่งพบปะชุมนุมกันที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งย่านพระราม 4

ประวัติการก่ออาชญากรรมของอาฉี และสมุนมือขวา เคยสังหารชาวจีนหลายคนที่ทำธุรกิจในกรุงเทพมหานคร ตำรวจสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครเหนือเคยบุกเข้าจับกุม มีการยิงต่อสู้จนฝ่ายนักสืบได้รับบาดเจ็บ แต่ตัวมันหลบหนีได้

ข่าวฉบับอื่นระบุด้วยว่า นอกจากกลุ่มของอาฉีที่เข้ามาสยายปีกสร้างอิทธิพลก่ออาชญากรรมกลางกรุงแล้ว ยังมีชาวจีนอีกจำนวนหนึ่งอาศัยช่องว่างของกฎหมายเข้ามาขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทต่าง ๆ ตามเงื่อนไขที่ว่า หากมีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาทจะสามารถนำชาวต่างด้าวเข้ามาเพื่อช่วยในการดำเนินธุรกิจได้ 1 คน หากทุนจดทะเบียนมากก็จะสามารถนำชาวต่างด้าวเจ้ามาได้มากตามทุนที่จดทะเบียน

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่า ภายหลังได้มีการอนุญาตให้เปิดดำเนินกิจการแล้ว ปรากฏว่า ผู้ยื่นขอจัดตั้งบริษัทในประเภทดังกล่าวไม่ได้มีการประกอบธุรกิจตามที่อ้างแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ตำรวจเคยตรวจพบบ้านหลังหนึ่งย่านตลิ่งชัน มีการยื่นขอเปิดเป็นบริษัทถึง 13 บริษัท

“ตำรวจกำลังมีการติดตามดูบรรดาบุคคลที่มีการยื่นขอเปิดบริษัทนั้น ๆ อย่างใกล้ชิดแล้ว” ผมอ่านบรรทัดสุดท้ายด้วยใจสะท้าน

มันทำให้คิดว่า โลกหนังสือพิมพ์ของผมยังไม่ดีพอ

ขยันอย่างเดียว หากไม่มีประสบการณ์ก็ช่วยไม่ได้

มันต้องหูตากว้างไกล สร้างแหล่งข่าวให้มากกว่านั่งกระดกลิ้นจมอยู่ในวงเหล้าทุกเย็น

RELATED ARTICLES