คณะกรรมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ ที่ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานผ่าตัดองค์กรสีกากี กำลังมีการพิจารณาเรียกกลับตำรวจติดตามนักการเมืองและผู้มีอิทธิพล รวมไปถึงพวกที่มีอัตราพิเศษช่วยราชการในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
คืนเข้ามาเพิ่มอัตรากำลังพลในโรงพักทั่วประเทศที่กำลังขาดแคลน
อ้างมีข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีข้าราชการตำรวจไปติดตามดูแลบุคคลที่เคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อดีตข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และบุคคลผู้กว้างขวาง หรือผู้มีอิทธิพลอย่างไม่เป็นทางการ
เห็นควรกำหนดให้ผู้บังคับบัญชาผู้ทราบว่าผู้ใต้บังคับบัญชาผู้ใดไม่มาปฏิบัติงานที่หน่วย เพราะไปปฏิบัติภารกิจนอกเหนือหน้าที่และอำนาจอย่างไม่เป็นทางการดังกล่าวเป็นเวลาเกินกว่า 15 วัน รายงานต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
เพราะมองกันว่า ตำรวจที่ติดตามนักการเมืองมักได้ดีเจริญก้าวหน้ามากกว่าคนอื่น
ประจวบเหมาะกับกรณี พ.ต.อ.วทัญญู วิทยผโลทัย ผู้กำกับการฝ่ายวิจัยและพัฒนา ศูนย์พัฒนาด้านการข่าว กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ไปโผล่ชมฟุตบอลโลกที่ประเทศรัสเซีย เคียงข้างอดีตพี่น้องผู้นำประเทศ
นายตำรวจหนุ่มที่ถูกฉายาเป็น “เทวดา” ขี้ข้านักโทษหนีคดี ไม่มีใครกล้าแตะต้อง
ร้อนถึง พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ จเรตำรวจแห่งชาติ ต้องออกคำสั่งให้มาปฏิบัติราชการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจแห่งชาติขาดจากต้นสังกัดเดิม
พ.ต.อ.วทัญญู วิทยผโลทัย ได้ดิบได้ดีในหน้าที่ เพราะเป็นบอดีการ์ดให้ 2 อดีตนายกรัฐมนตรีตระกูล “ชินวัตร” จริงหรือ
จากเด็กหนุ่มฉลามชลนักฟุตบอลกองกลางฝีเท้าชั่งทองของโรงเรียนชลราษฎรอำรุงเข้าตา อาจารย์สุรินทร์ เข็มเงิน ย้ายมาสวมเสื้อชมพูฟ้าสวนกุหลาบวิทยาลัย กระทั่งฉาวแววติดเยาวชนทีมชาติไปเรียนคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
ปีเดียวระหกระเหินออกมาอยู่วิทยาลัยครูสวนสุนันทา ก่อนคว้า “โควตาช้างเผือก” เข้าเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 49 สวมเสื้อสีเลือดหมูพาทีมคว้าแชมป์กีฬาเหล่าและเป็นกำลังสำคัญให้สโมสรตำรวจในยุคนั้น
ชีวิตราชการสังกัดตำรวจสันติบาลจับผลัดจับพลูเข้าไปทำหน้าที่ทีมรักษาความปลอดภัย “ทักษิณ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี จนเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ขั้วอำนาจเปลี่ยนมือ เกิดการย้ายระเนนระนาด
เขาโดนเตะลงพื้นที่สมรภูมิชายแดนใต้ตำแหน่งสารวัตรปราบปราม สถานีตำรวจภูธรกรงปินัง จังหวัดยะลา ใช้เกมกีฬาฟุตบอลสร้างมวลชนในพื้นที่และบำรุงขวัญผู้ใต้บังคับบัญชาได้อย่างดีเยี่ยม
ถึงเวลาขั้นอำนาจตีกลับ เขาถึงโยกขยับมาทำงานสันติบาลตามบทเก่า แม้การกลับมาเที่ยวนี้จะทำให้เส้นทางการเจริญเติบโตของเขารวดเร็ว ได้ขึ้นเป็นนายเวร พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ติดยศ พ.ต.อ.เทียบเท่าตำแหน่งผู้กำกับ
แต่ได้มาทำหน้าที่เป็นนายตำรวจติดตาม ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย
ชีวิตของ พ.ต.อ.วทัญญู วิทยผโลทัย ไม่เคยมีโอกาสลงนั่งเก้าอี้พื้นที่ทำเลทอง นอกจากอดหลับอดนอน ทิ้งครอบครัวลูกเมีย ติดตามเป็นทีมรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญของประเทศ
สุดท้ายไม่วายพ่ายในเกมกีฬาสี ถูกบดขยี้แทบไม่มีที่ยืน
แข็งขืนก็ถูกหมั่นไส้ เสนอหน้ามากไปก็ถูกด่ายับ
ย้อนเรื่องราวในอดีตก็ไม่เห็นมีนายตำรวจติดตามนายกรัฐมนตรีคนไหนได้ดิบได้ดีนั่งเก้าอี้สูงสุดของหน่วย ไล่ตั้งแต่ พล.ต.อ.ชุมพล โลหะชาละ พาจอมพล ป. พิบูลสงคราม หนีข้ามชายแดนไปลี้ภัยต่างประเทศกว่าจะกลับเข้าเส้นทางสายหลักสูงถึงแค่รองอธิบดีกรมตำรวจ
พล.ต.ต.สุรพงษ์ ศิริภักดี ติดตาม พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ สิ้นสุดเส้นทางเกษียณแค่ตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ส่วน พล.ต.ท.พงษ์สันต์ เจียมอ่อน ติดตาม นายชวน หลีกภัย ได้ดีขึ้นมาหน่อยเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 และเกษียณตำแหน่งรองจเรตำรวจแห่งชาติ (สบ8)
ไม่ต้องเอ่ยถึง พ.ต.อ.นีรนาท ฉินประสิทธิชัย นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 43 ติดตาม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังร่อนเร่พเนจรกว่าจะขึ้นรองผู้บังคับการได้ต้องอาศัยรุ่นพี่ช่วยไปประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ทั้งหมดล้วนเป็นบทพิสูจน์ข้อครหา “เทวดา” ที่ใครมองว่าเป็นนายตำรวจติดตามนายกรัฐมนตรีแล้วจะได้ดิบได้ดีในชีวิตราชการ
พวกบริวาร ส่งข้าว-ป้อนน้ำ ระดับรัฐมนตรีผู้มีอำนาจต่างหากที่ไม่มีตำแหน่งเฉพาะตัว แต่เอาเวลาราชการไปก้มหัวรับใช้จมท้ายกอบโกยจนเป็นใหญ่กันมาหลายคนแล้ว
หากจะผ่าตัดองค์กรสีกากี ต้องตาดีมองให้ตรงโรค
ไม่ใช่บริโภคเอาความอคติต่างขั้วยัดใส่เต็มหยักสมอง
