ก้าวที่  31 เสี่ยสันติ

พ้นคืนแห่งการตัดสินใจของทางแยกในชีวิต

รสสุราเจือปนกับแกล้มที่แต่งแต้มฝีมือปรุงอาหารตามแบบฉบับคนอีสานข้างปั๊มน้ำมันริมถนนสุนทรโกษา พวกเราเรียกมันว่า “ร้านเจ๊เขียว” แหล่งรวมความสามัคคีกลมเกลียวในหมู่มิตรรักนักหนังสือพิมพ์สยามโพสต์

ผมลืมจุดหักเห ไม่คิดเสียดายที่ทิ้งโอกาสทองอนาคตของอาชีพคนข่าว เมื่อปฏิเสธการเข้าร่วมชายคาค่ายประชาชื่นอย่างไม่ไยดี ทั้งไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าเข้าไปพูดคุยเจรจากันเป็นมั่นเป็นเหมาะกับบรรดาหัวกะทิระดับพระกาฬของพวกเขา

กลับมาพักกายแก้กระหายด้วยกลิ่นไอแอลกอฮอล์กับเหล่าเกลอร่วมอุดมการณ์ที่ทำผมลังเลจนต้องดับไฟที่จะก้าวไปสู่การเริ่มต้นในสังกัดใหม่

“เอาชน” ผมชูแก้วอำพัน “หมดแก้วเพื่อน”

“มึงไม่ไปมติชนแล้วหรือ” เรืองชัย ชาญวณิชกุลชัยถาม

ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบไม่บอกเหตุผล

“บ้าหรือเปล่าวะ”

“ทำไม”

คราวนี้สหายที่ร่วมก่อตั้งสยามโพสต์ แต่ไปเติบโตอยู่สายกีฬาหัวเราะไม่ตอบบ้าง

เพื่อนผมรายนี้จบมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีความสามารถด้านภาษาอังกฤษเลยได้มีบทบาทในการเข้ามาแปลข่าวกีฬาลงหน้าหนังสือพิมพ์น้องใหม่ มันกระดกเหล้าไม่เก่ง แต่มักเฮไหนเฮนั่นตามคำเชิญชวนไปตั้งวงน้ำนรกของเพื่อน ผิดกับพฤกษ์ รัตน์นราทร หนุ่มลูกแม่โดมร่วมโต๊ะกีฬาอีกคนที่คอทองแดงดีกรีร้อนแรงไม่แพ้ผม

ความที่เกรงใจเพื่อนนั่นเอง ทำให้วันหนึ่งเรืองชัยพลาดท่าตกข่าวกีฬาดังในต่างประเทศ

“เสร็จยังมึง” คืนนั้นผมจำแม่นว่า เป็นฝ่ายกระตุ้นให้มันเร่งปิดหน้า “เออ ๆ โอเค เสร็จแล้ว” มันกูลีกูจอเก็บของบนโต๊ะ “ไป ๆ”

วงสุราฮาเฮตามประสาหนุ่มโสดอยู่กับกองขวดโซดา บนโต๊ะเกลื่อนไปด้วยจานไส้ย่าง เมนูโปรดร้านเจ๊เขียวของเรืองชัยที่เหลือแค่รอยอาลัยกลายเป็นจานเปล่ากองพะเนิน แสงทิพย์หลายแบนสั่งมาไม่หยุดจากปากของพฤกษ์ ขณะที่เพื่อนรักร่วมมหาวิทยาลัยของผมอย่างสัญญา อู่ตะเภา เลือกถองเหล้าน้อยกว่ากับแกล้มหลากรสที่อยู่บนโต๊ะ

รุ่งขึ้นเกิดเรื่องราวชวนขำ แต่ไม่ขำสำหรับเรืองชัย

“ฉิบหาย” มันตีหน้าเศร้าปนซีด “กูตกข่าว ป๋าเรียกไปด่าเลย” เจ้าตัวพ่นควันบุหรี่ หลังเข้าคอร์สอบรมออกมาจากห้องโรจน์ งามแม้น เจ้าของนามปากกา “เปลว สีเงิน”

“เรื่องอะไรวะ สายกีฬามีตกข่าวกะเขาด้วยหรือ”

“ไอร์ตัน เซนนา รถคว่ำตายว่ะ”

“อะไรนะ จริงดิ เมื่อไหร่” ผมซัก เพราะวันนั้นไม่ได้มีเวลาอ่านข่าวเหมือนกัน

“เมื่อคืนตอน 3 ทุ่ม” เพื่อนโต๊ะข่าวกีฬาอัดควันดับเครียดเต็มปอดแล้วพ่นลมฟุ้งกระจายไปด้วยสีเทาเต็มเพดาน “กูเดินไปดูเทเล็กซ์ตอนใกล้ 3 ทุ่ม แม่งยังไม่มีอะไรเลย ห่าเอ๊ย ซวยจริง ป๋าสวดกูแหลก”

ไอร์ตัน เซนนา นักแข่งรถสูตรหนุ่มชาวบราซิลกำลังเป็นแชมป์โลกเนื้อหอมที่โด่งดังมาก เขาเพิ่งเซ็นสัญญาร่วมทีมวิลเลียมส์-เรย์โนลด์ ก่อนมาจบชีวิตระหว่างการแข่งขันซานมาริโนกรังปรีซ์ รายการที่ 3ของปี ที่สนามเอาโตโดรโม เอนโซ เอ ดิโน เฟอร์รารี ประเทศอิตาลี เมื่อรถหลุดโค้งไปชนกำแพงคอนกรีตด้วยความเร็ว 211 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

นับเป็นโศกนาฏกรรมช็อกโลกทว่าหนังสือพิมพ์สยามโพสต์ตกข่าว

“โทษว่ะ กูไม่น่าเร่งมึงเลย” ผมตบบ่าปลอบเพื่อน

“ช่างเถอะ กูผิดเอง ใครมันคิดว่าจะมีอะไร 3 ทุ่มกว่าก็ใกล้ปิดต้นฉบับแล้ว”บุหรี่มวนต่อมวนถูกเผาขึ้นมาอีก

“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวคืนนี้กูเลี้ยงมึงเอง”

เรืองชัยส่งสายตาลังเลผ่านแว่นแล้วหัวเราะลั่น “ไม่เอาแล้วโว้ย พักก่อน”

“เออ ไม่เป็นไร พักผ่อนบ้างก็ดีนะมึง” ผมรู้ว่าเพื่อนคนนี้ร่างกายไม่แข็งแรง สังเกตจากตอนที่เคยชวนไปเตะฟุตบอลแล้วออกอาการหืดหอบคล้ายจะเป็นลมบ้าหมู หายใจไม่ทันชักตาตั้งจนต้องช่วยกันหาอะไรงัดปากไม่ให้มันกัดลิ้นตัวเอง แต่ตัวมันมักบอกไม่เป็นอะไร พยายามฝืนทำปกติ

“มึงนั่นแหละควรพักบ้าง” สหายร่วมค่ายเป็นฝ่ายย้อนเตือนสติแทน

ผมกลับมายืนที่เดิมเป็นนักข่าวประจำกองบัญชาการตำรวจนครบาล แทบเข้าหน้า 2 คนข่าวอาวุโสของหนังสือพิมพ์มติชนไม่ติด ด้วยความที่ไปหักมุมปฏิเสธจะเข้าอยู่ชายคาเดียวกัน ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ปรารถนาของนักข่าวน้องใหม่หลายคน

“บ้าหรือเปล่าวะ” ผมยังนึกถึงคำที่พ่นมาจากปากเพื่อนในวงเหล้า

ก่อนหน้าผมก็เคยปฏิเสธคำทาบทามของบุญเสริม พัฑฒนะ และกิจจา ทองเกลา คู่คนข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐถึง 2 ครั้ง 2 ครา ทั้งที่เคยฝึกงานตระเวนข่าวอาชญากรรมนานกว่า 2 เดือนสมัยสวมร่างนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

เหตุผลขณะนั้นแค่รู้สึกว่า ตัวเองมาจากคนต่างขั้วอำนาจที่เปลี่ยนไปในองค์กรหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ หากไปอาจไม่เจริญก้าวหน้า แต่ยังถนอมน้ำใจผู้ใหญ่ที่เอ่ยปากชวนด้วยการบอกเขาว่า ประสบการณ์น้อย คงจะยังไม่ดีพอสำหรับไทยรัฐ

ปิดประตูโอกาสย้ายสำนักที่อาจปูทางอนาคตในวงการนักหนังสือพิมพ์ ผมไม่รู้เหมือนกันว่า คิดถูก หรือคิดผิด ดีที่มีเพื่อนหลายกลุ่มคอยยึดติดไม่ให้ต้องฟุ้งซ่าน ประทังอารมณ์สุขสำราญเบิกทางก้าวเกี่ยวประสบการณ์ตามประสาคนหัวแข็งต่อ

เช้าวันที่ 2 สิงหาคม 2537 มีเพจเจอร์เรียกตัวให้โทรศัพท์กลับโรงพิมพ์

“ครับพี่”

“เอ็งอยู่ไหนวะ” หัวหน้าอัมพร พิมพ์พิพัฒน์ เขย่าเสียงเข้ม

“กำลังเข้าวังปารุสฯครับพี่”

“รู้เรื่องที่แก่งคอยหรือยัง”

“เรื่องอะไรครับ”

“ลูกเมียเสี่ยสันติถูกฆ่า ไอ้ห่าไม่อ่านหนังสือพิมพ์หรือ” เสียงแกยิ่งเข้มข้นขึ้น

“เสี่ยสันติไหน” ผมงัวเงียและงุนงง

“ไอ้ห่า” หัวหน้ากระชากดังกว่าเก่า “เอ็งไม่รู้อะไรจริง ๆ หรือ ไอ้เสี่ยสันติ พ่อค้าเพชร พัวพันคดีเพชรซาอุฯไง เรื่องใหญ่นะเอ็ง” อัมพรพักหายใจแล้วสั่งการ “อย่างนี้นะ เย็นนี้ เอ็งไปที่วัดเทพศิรินทร์นะ ศพ 2 แม่ลูกอยู่ที่นั่น ไปดูซิว่า เสี่ยสันติมันมางานศพหรือเปล่า สัมภาษณ์มันมาด้วย”

“ครับ” รับบัญชาเหงื่อตก คิดในใจไม่มีอะไรอยู่ในสมองสักนิดเกี่ยวกับคดีเพชรซาอุดีอาระเบีย รู้เพียงคร่าว ๆ จากเรื่องเล่าของคนข่าวรุ่นพี่

“แล้วไอ้เสี่ยสันติ มันหน้าตาเป็นอย่างไร กูจะรู้ไหมเนี่ย” ผมพูดคนเดียวหลังหัวหน้าวางหูแล้ว

รีบอาบน้ำแต่งตัวบึ่งเก๋งบีเอ็มดับเบิลยู 2002 มรดกตกทอดของผู้บังเกิดเกล้าเข้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล ควานหาหนังสือพิมพ์หลากฉบับอ่าน มีเพียงข่าวสดฉบับวันที่ 2 สิงหาคม 2537 พาดหัวตัวเบิ้ม

“สีกากีอุ้มฆ่า ลูกเมียสันติเพชรซาอุ”

เรื่องราวถูกเปิดเผยเมื่อเวลา 02.30 นาฬิกาของวันที่  1 สิงหาคม 2537 ร้อยตำรวจเอกเสมอ นวลฉวี ร้อยเวรสถานีตำรวจทางหลวงหินกอง จังหวัดสระบุรี รับแจ้งรถยนต์ประสบอุบัติเหตุและมีผู้เสียชีวิตอยู่บริเวณปากทางเข้าหมู่บ้านริมบึง เยื้องโรงฆ่าไก่ซีพี ถนนมิตรภาพ ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 117-118 ตำบลตาลเดี่ยว อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี

ที่เกิดเหตุพบรถเบนซ์รุ่น 230 อี สีขาว ทะเบียน 8 ฉ-2377 กรุงเทพมหานคร ภายในรถพบผู้เสียชีวิต 2 คน ตรงที่นั่งคนขับทราบชื่อ นางดาราวดี ศรีธนะขัณฑ์ อายุ 38 ปี ภรรยานายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ อายุ 40 ปี เจ้าของร้านขายเครื่องเพชร-ทองสันติมณี ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาคดีเพชรซาอุฯ มีบาดแผลถูกแทงด้วยเหล็กแหลมที่กลางหน้าผากทะลุขมับขวา

ส่วนเบาะด้านหลังเป็นศพเด็กชายเสรี ศรีธนะขัณฑ์ อายุ 14 ปี ลูกชาย ถูกตีที่แขนซ้ายและท้ายทอย ต้นแขนมีรอยโดนแทง สันนิษฐานเบื้องต้นว่า ไม่ใช่เป็นการเกิดอุบัติเหตุ การเสียชีวิตน่าจะมาจากฆาตกรรม ฆาตกรอาจฆ่าเหยื่อมาจากที่อื่นแล้วเอาศพใส่รถมาจอดขวางไว้เพื่อให้รถคันอื่นที่ผ่านมาเฉี่ยวชนอำพรางคดี

ข่าวสดกล้าฟันธงเป็นฝีมือคนในเครื่องแบบด้วยการเกาะข่าวอย่างลับ ๆ มานานเดือนเศษถึงการหายตัวไปของ 2 แม่ลูกเหยื่อฆาตกรรมโหดเหี้ยมอันมีมูลเหตุเกี่ยวโยงถึงคดีเพชรซาอุดีอาระเบียเมื่อหลายปีก่อนหน้า

คนเดียวที่จะให้ความกระจ่างชัดที่สุด คือ สันติ ศรีธนะขัณฑ์

การบ้านแรกของผม ทำอย่างไรจะเข้าถึงเสี่ยพ่อค้าเพชรคนดัง หัวหน้าอัมพร พิมพ์พิพัฒน์ มอบหมายให้ไปวัดดูบรรยากาศงานศพเหยื่อแม่ลูกนับเป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสมากประสบการณ์มองขาด หากสันติ หลบหน้าไม่โผล่ยิ่งส่อให้เห็นถึงเค้าเงื่อนงำคดีการตายของลูกเมียมากขึ้น

ขับรถไปจอดโรงเรียนเยือนถิ่นเก่าฆ่าเวลารอนาฬิกาเริ่มพิธีสวด ผมไปหยุดยืนไหว้พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 8 มิ่งขวัญของชาวเทพศิรินทร์ ก่อนเข้ากราบอัฐิเจ้าคุณนรรัตน์ เปิดลิ้นชักอดีตเอาขึ้นมาฉายภาพความทรงจำ

“ผมขอครั้งสุดท้าย และจะไม่ขออะไรอีกเลยทั้งชีวิตได้ไหมครับ” ตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ที่ถือเป็นนักเรียนเก่ารุ่นพี่ “ผมอยากให้เทพศิรินทร์ได้แชมป์จตุรมิตรครับ” นับเป็นความคาดหวังของลูกแม่รำเพยทุกชีวิต

ปีนั้นจะเป็นปีสุดท้ายในบทนักเรียนมัธยมขาสั้นสำหรับผม เช่นเดียวกับคำอธิษฐานขอเจ้าคุณนรรัตน์ที่ไม่แตกต่างกัน ปรากฏมันเป็นคำขอครั้งสุดท้ายที่ไม่สัมฤทธิ์ผล ทีมอภิมหาอำนาจลูกหนังนักเรียนยุคฟุตบอลประเพณีจตุรมิตรสามัคคีปี 2530 เต็มไปด้วยขุนแข้งเลื่องชื่อ อาทิ ประสงค์ พันธุ์สวัสดิ์ ถาวร สุริยะผล สมชาย และเมาะ ทรงเดช แสงนิกร ภูเมศร์ อั้งสุวรรณกูล พ่ายแพ้คู่ต่อกรตลอดกาลอย่างสวนกุหลาบวิทยาลัยไป 0-1

แม้ไม่สมหวัง ผมก็ไม่ถือโทษโกรธเคืองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจชาวลูกแม่รำเพย แถมผมยังรักษาสัญญาไม่อธิษฐานขออะไรนับจากบัดนั้น ทุกครั้งที่กลับเยือนสถาบัน ผมแค่ไหว้สักการะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เหมือนเดิม และเหมือนกับที่ผมบูชาศรัทธาเจ้าคุณนรรัตน์ไม่เสื่อมคลาย

นาฬิกาตระหง่านบนตึกเยาวมาลย์อุทิศบอกเวลาบ่ายสามเศษ ผมยกข้อมือเทียบเวลาจริงอดขำไม่ได้ “มันจะหกโมงเย็นแล้วนี่หว่า ไม่ตรงเวลาอีกแล้ว” ส่ายหัวเดินตามเส้นทางที่ชำนาญ ก้อนขี้หมามักอยู่มุมไหนเด็กเทพส่วนใหญ่ไม่เคยพลาดท่า

เข้าสู่ศาลาสวดศพแม่ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์ ผมเริ่มหวั่นตามความคิดเดิมแต่แรกว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าใคร คือ เสี่ยสันติ บรรยากาศในงามเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ญาติพี่น้องผู้ตายทยอยเข้ามา แต่ไม่ถึงกับล้นศาลา น่าแปลกไม่มีนักข่าวสักฉบับ หรือทีวีสักช่องมาตามเก็บรายละเอียด

ชายวัยกลางคนสวมเสื้อเชิ้ตสีดำ สวมแว่นตาดำ โผล่หลบมุมเข้ามานั่งเข้มขรึมอยู่ท้ายศาลา พนมมือพลันที่พระภิกษุขึ้นสวดจบแรก เขาไม่พูดไม่จาทักทายใคร ทำให้ผมฉุกสงสัยกะว่า รอพิธีการเสร็จสิ้นก่อนค่อยเข้าบรรเลงเพลงรุกตามมารยาท

สวดที่สองเริ่มขึ้น “กุสะลา ธรรมมา อะกุสะลา ธรรมมา…” ความชะล่าใจเกินไปทำผมพังเสียแล้ว เมื่อหันอีกที หนุ่มใหญ่สวมแว่นดำอันตรธานหายจากศาลาแล้ว

สิ่งที่ผมคาดไม่ผิดเฉลยขึ้นหลังพิธีการจบกระบวนประเพณีอภิธรรมผู้ล่วงลับแม่ลูก

“เสี่ยสันติไปไหนแล้วครับ” ผมยิงคำถามญาติแบบลักไก่ ไม่ใช่ปล่อยไก่แบความโล่งของหยักสมองถามว่า “เสี่ยสันติมาหรือเปล่า”

เธอหันซ้ายหันขวา “เอ้ เมื่อกี่ยังเห็นนั่งอยู่เลยค่ะ ตรงนั้นอะ”

ผมแทบเข่าอ่อน ชายสวมแว่นดำคนนั้น คือ เสี่ยสันติ ศรีธนะขัณฑ์ ผู้กำความลับของเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับลูกเมียทั้งหมด

ผ่านออกประตูข้างวัดฝั่งโรงเรียนพลับพลาไชย รถเข็นขายทอดมันกำลังเก็บอุปกรณ์ ซิ้มปาดเหงื่อโทรมกาย กลิ่นทอดมันหอมฉุยเตะห้วงอดีต จำได้ว่า เป็นทอดมันเจ้ายอดฮิตที่ขายดิบขายดียามเลิกเรียน ท้องเริ่มกิ่ว แต่ภารกิจของผมยังไม่เสร็จ

จัดแจงหยอดเหรียญใส่ตู้โทรศัพท์สาธารณะกดหมายเลขถึงโรงพิมพ์

“ผมโต้งครับ ส่งข่าวหน่อยครับ”

“ข่าวอะไร” รีไรเตอร์เหมือนกำลังหมกมุ่น เสียงต๊อกแต๊กของเครื่องพิมพ์ดีดระรัวสัญญาณใกล้ปิดข่าว

“งานศพดาราวดีครับ”

“เอ่อ” เสียงเขาไม่ตื่นเต้นคงเป็นเพราะไม่ได้เกิดจากข่าวอาชญากรรม

ผมเล่าเรื่อยเปื่อยไม่มีสีสันปล่อยความผิดพลาดบกพร่องของตัวเองผ่านไป ทิ้งปมข่าวไว้เพียง “เสี่ยสันติย่องเงียบสวมแว่นดำมางานศพเมียกับลูกเพียงชั่วครู่แล้วแวบหายขึ้นรถตู้พร้อมผู้ติดตาม” ผมยัดตามสัญชาตญาณที่มั่นใจว่า ยามนี้พ่อค้าเพชรคดีดังไม่มีทางกล้าไปไหนมาไหนคนเดียวอย่างแน่นอน

ถึงกระนั้นก็ตาม ผมรู้ทันทีว่า การบ้านชิ้นต่อไป ไม่พ้นต้องเกาะตามข่าวใหญ่ระดับประเทศที่กำลังโด่งดังครึกโครมสะท้านสะเทือนวงการสีกากีล้านเปอร์เซ็นต์

คันไม้คันมือชักตื่นเต้นแล้ว

 

 

RELATED ARTICLES