ก้าวที่  39 ผีพนันสิง

ารเปลี่ยนแปลงในแผนกข่าวอาชญากรรม หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ภายหลังคดีฆาตกรรมแม่ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์ถึงปลายทางของการจับกุมทีมสังหารใจอำมหิต

กิจจา ทองเกลา นักข่าวรุ่นพี่นักเรียนเก่าเทพศิรินทร์ของผมที่ประจำอยู่กองบัญชาการตำรวจนครบาลถูกสั่งย้ายลงไปประจำรถตระเวนข่าวอีกครั้ง ความขยันผิดที่ผิดทางผิดสนามจนเจอพงหนามฤทธิ์เดชของนายตำรวจชั้นผู้ปฏิบัติดอดส่งข้อมูลคดีให้หนังสือพิมพ์ข่าวสด ทำเอาเขาติดร่างแหพร้อมกิตติพงศ์ นโรปการณ์ นักข่าวหนุ่มประจำกองบังคับการปราบปราม

สักวันแล้วเราจะกลับมาพบกันใหม่ ผมมีลางสังหรณ์อย่างนั้น

ต้อย-สมมาส บรรพต อดีตนักข่าวช่างภาพฝีมือดีของหนังสือพิมพ์หัวสีบานเย็นถูกดึงมาเสริมเขี้ยวในอาณาจักรยักษ์เขียวเลขที่ 1 บนถนนวิภาวดีรังสิต ได้รับโอกาสเข้าไปเสียบภารกิจแทนกิจจา ทำหน้าที่ดูแลข่าวประจำกองบัญชาการตำรวจนครบาล ยุคพลตำรวจโทโสภณ วาราชนนท์ เรืองอำนาจนั่งเก้าอี้แม่ทัพคุมกิจการตำรวจเมืองหลวง

นักข่าวหนุ่มชาวเมืองจันทบุรีมีบุคลิกเนี้ยบไปทางสุภาพบุรุษเจ้าสำอาง มีความเชื่อมันในตัวเองสูง อัตตาเป็นที่หนึ่ง ไม่ชอบสุงสิงกับใคร เดินเดี่ยวหายขึ้นซอยนายพลแทบครึ่งค่อนวันจนแรก ๆ ผมไม่กล้าสนทนาความด้วย

นอกจากความเปลี่ยนแปลงในสำนักข่าวหัวเขียวแล้ว นาฬิกายังพาให้เส้นทางนักหนังสือพิมพ์แต่ละค่ายขยับขยายออกจากถิ่นที่ตัวเองประจำ ชัยวุฒิ มั่นสิงห์ เดอะเนชั่น ไปประจำกรมตำรวจ มี มะลิวัลย์ มงคลทรง นักข่าวสาวน้องใหม่ทำหน้าที่แทน ขณะที่ไชยรัตน์ ส้มฉุน ถอดเสื้อเดอะเนชั่นไปหวังอนาคตไกลอยู่แผนกข่าวส่วนกลาง หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ส่วนศักดา เจ๊กจั่น วิ่งวุ่นฝุ่นตลบเมื่อหนังสือพิมพ์เดลิมิเรอร์ใกล้ปิดตัว ปัญญา พันธุ์เผือก เลิกเมาชั่วคราว เมื่อได้รับโอกาสก้าวไปสังกัดไทยสกาย ทีวี

ชาญชัย กายพันธ์ และเจตนา จนิษฐ คู่หูแห่งมติชน มุ่งหน้าประจำกรมตำรวจ และเข้าไปอยู่ในรังประชาชื่นเลื่อนตำแหน่งสูงจ่อคิวต่อทายาทหัวหน้าข่าว ปล่อยร่างเด็กใหม่แดนสะตออย่างสุกิจ อิ้วหะซัว มาต่อยอดข่าวแทน พร้อมกับการแจ้งเกิดคนข่าวนักเขียนอาชญนิยายเลือดใหม่ของค่ายถอดแนว “วสิษฐ เดชกุญชร” อย่างอำนาจ จันทร์แดง มี พจน์ สุขเมือง มาแทนวัลลภ ชัชแววศรี ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเดลินิวส์

ส่งผลให้ผมเลื่อนลำดับอาวุโสไปอยู่ต้นแถวของนักข่าวประจำกองบัญชาการตำรวจนครบาลเคียงข้างต้น-ศักดา บุญประเสริฐ ของข่าวสด ทั้งที่อายุเพียง 25 ปี แต่ก็ต้องปรับตัวไม่น้อย เมื่อฝูงมิตรในวงเหล้าต่างหายหน้าหายตากันไปทีละคน ถ่ายเลือดนักข่าวหน้าใหม่มาแต่ละคน ไม่ค่อยมีใครชอบใช้ชีวิตปะปนอยู่กับดงสุรา

ย่างเข้าเทศกาลส่งท้ายปี 2537 เริ่มต้นศักราช 2538

ผมเริ่มสนิทคุ้นเคยพูดคุยกับต้อย -สมมาส มากขึ้น แม้ทางเดินในสนามข่าวจะไปคนละแนว คนละทาง ต่างไม่ยุ่งซึ่งกันและกัน ไม่ขอข่าวกัน

“ไปบ้านพี่วิวัฒน์ไหมพี่” ผมหาเพื่อนไปงานเลี้ยงปีใหม่บ้านพันตำรวจเอกวิวัฒน์ วรรธนะวิบูลย์ ผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครเหนือย่านสะพาน 99 คลองประปา ประชาชื่น

“ข้าว่าจะไปเหมือนกัน เขาชวนกันอยู่” สมมาสว่า “แล้วพรุ่งนี้เจอกัน”

“โอเคครับพี่”

โบนัสปีนั้นเหยียบหมื่น ผมหลงระเริงฟู่ฟ่าพาร่างผอมเกร็งร่วมงานสังสรรค์นักสืบมือพระกาฬของนครบาลเหนือ หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตา แต่ผมเริ่มรู้สึกว่า ในวงของพวกเขามีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแยกค่ายจำแนกผู้เป็นนายกันอย่างชัดเจน

ตกบ่ายหลังอิ่มหมีพีมัน โต๊ะอาหารบางตา ขาสุราไม่ค่อยมี อาจเพราะตะวันโด่ง “ไม่ขึ้นไปข้างบนกับเขาล่ะ” พันตำรวจเอกนักสืบเจ้าของบ้านเอ่ยปาก “ไปสิ” แกย้ำ ทั้งที่แกยังขลุกบทสนทนาติดพันอยู่กับกลุ่มคนข่าวมติชนที่คลุกคลีตีโมงกันมานาน

ต้อย-สมมาส พยักหน้าส่งสัญญาณให้ผมเดินตามขึ้นชั้นบน

ห้องแอร์เย็นฉ่ำคลาคล่ำไปด้วยตำรวจนอกเครื่องแบบสังกัดสืบสวนเหนือ ห้องนั้นโล่ง ไม่มีโต๊ะเก้าอี้ หลายคนส่วนใหญ่นั่งล้อมวงจับกลุ่มสลับเสียงเฮควันบุหรี่อบอวลเหมือนไม่เกรงเจ้าบ้าน

“เจ้าป๊อกเก้าเด้ง” ทุกคนแทบเงียบ แบงก์ห้าร้อย แบงก์พันว่อน

ผมได้แค่ชำเลือง เงินหน้าตักกองนั้นน่าจะหลายหมื่นบาท แต่พวกเขาทำมันเหมือนเศษกระดาษไม่มีคุณค่า

“เจ้าบอด” ผู้กำไพ่สามใบบนมือเหงื่อตก ความแรงของเครื่องปรับอากาศไม่ช่วยอะไร 3-4 ตาติดกันผมสังเกตผู้สวมชฎาเป็นเจ้าไม่มีดวง ลูกค้าชักได้ใจสะพัดค่าเงินเสี่ยงเพิ่มขึ้นในแต่ละมือ

“เจ้าบอด…เย้” เที่ยวนี้ลูกค้าขานแต้มแทน สายตาเจ้ามือล่อกแล่กเหมือนหาตัวช่วย “กูไม่มีให้ยืมโว้ย ไม่ต้องมามอง” ผู้กำกับเจ้าบ้านโผล่มาค้อน “เอามือบ๊วยห้าพัน” แกโยนเงินกลางวง “เอาโว้ย ลุ้น ๆ แจกเร็ว ๆ สิ” ลูกน้องหลายคนหันมาเชียร์นาย ผมยิ่งตื่นเต้นไปด้วย ส่วนสมมาสนิ่งเงียบคิดการใหญ่กว่า

“ไม่เล่นหรือต้อย” นายดาบคนหนึ่งจูง เขาส่ายหน้า “เดี๋ยวดูตานี้ก่อน”

นายพันตำรวจเอกหยิบไพ่มาแง้มดูดอกอย่างพอใจ ทุกคนไม่มีใครรู้ผู้เป็นนายถือแต้มเท่าไหร่ หลายคนจั่วไพ่ใบที่สาม “นายเอาไหมครับ” เจ้ามือกระเซ้า

“กูอยู่”

“ถ้าป๊อกเปิดเลยนาย”

“กูยังไม่เปิด มีอะไรปะ กูอยู่” นอกจากยศใหญ่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดแล้วยังถือสิทธิ์เจ้าของบ้านยียวนลูกน้อง

เจ้ามืออึ้งพูดไม่ออก มองไพ่ตัวเองแล้วเอือมระอาใจจั่วใบที่สาม ทำผู้กำกับยิ้มเยาะ

“สองแต้ม” คนในวงขานแทนอีกครั้ง “เจ้ารำวงอีกแล้ว”เสียงเหน็บแนมดังกลบห้อง

“ยกครับนาย ผมหมดเค้าแล้ว” เจ้ามือชิงออกตัวดื้อ ๆ “ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย เพราะหมดตูดจริง ๆ นะนาย” พันตำรวจเอกมาประสบการณ์หน้าเจื่อน “เฮ้ย หมื่นห้า เอามาเลย” แกเค้นทวง แต่แววตาเห็นอกเห็นใจลูกน้อง “เอาอย่างนี้” หยุดควักกระเป๋านับเงิน “มึงเอาไปหมื่น กูให้ปีใหม่ เอาไปให้ลูกเมียมึงนะ อย่าเสือกเอาไปกินเหล้า แล้วเลิกเล่นซะ”

วงไพ่อื้ออึง บางคนเข้าเนื้อ ส่วนคนกำไรกระหยิ่มยิ้มย่องลุกเร็วทันควัน เงินเพื่อนร่วมอาชีพเป็นเหมือนโบนัสสวัสดีปีใหม่เต็มกระเป๋า

“ไม่เล่นต่อหรือ” จ่าสิบตำรวจปลุกเร้า

“ไม่มีใครเป็นเจ้าแล้ว”

“ผมเป็นเอง ใครจะเล่นอีกหรือเปล่า” สมมาสรอจังหวะอยู่นาน ตำรวจนักสืบมองหน้ากันแบบงง ๆ เอาไงกันดี

“เอ็งหุ้นกับข้าไหม” เหยี่ยวข่าวไทยรัฐหันมาถามผมหลังลูกค้าตอบสนองลงนั่งล้อมวงรอ

“ยังไงพี่ต้อย” ผมลังเล

“เอามาคนละสองพันก่อน”

ผีพนันสิงเข้าผมซะงั้น เมื่อเปิดกระเป๋าหยิบเงินสองพันบาทโยนให้พี่เขาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว โดดลงเรือเผชิญวิกฤติลักลอบได้เสียหน้าดำคร่ำเคร่งอยู่หลายชั่วโมง หวังแลกมิตรภาพระหว่างแหล่งข่าวดาวมือปราบในอนาคตหลายชีวิต

“ตาแรกเจ้าจ่ายรอบวงโว้ย” ลูกค้าขานอีก ทำอย่างผมกับสมมาสเป็นมือใหม่ไก่อ่อนไม่เจนสมรภูมิ

ผมทำหน้าที่แจกไพ่ ปล่อยให้นักข่าวรุ่นพี่ลุ้น ผมถือคติว่า หากประเดิมตาแรกเสีย รับรองเล่นทั้งคืนไม่มีทางโยนผ้า

พันตำรวจเอกวิวัฒน์ วรรธนะวิบูลย์ เดินขึ้นลงเข้าออกเป็นระยะเพื่อดูความเป็นไปของเจ้ามือและลูกน้องที่กำลังรุมกินโต๊ะคู่นักข่าวหนุ่มผู้มาเยือน แปลกที่แกไม่กล้าแทง เอาแต่ดูเชิงเหมือนไม่อยากตกเป็นขี้ปากพวกเราหรือยังไงก็ไม่ทราบแน่ชัด

หลายตาผ่านไป ผมแจกไพ่เข้าลูกค้า ทำหุ้นส่วนหงุดหงิด พอพี่ท่านออกอาการหงุดหงิด พลอยทำเอาผมไม่มั่นใจที่จะแจกไพ่ต่อ เงินคนละสองพันทุนแรกเริ่มหมดหน้าตัก “เฮ้ย เอาลงมาอีกคนละสองพันสิ” สมมาสเปิดกระเป๋าหยิบพ่นเสียงกระซิบ ผมกระมิดกระเมี้ยนควัก

เงินโบนัสประจำปีกำลังละลายหายไปกับการพนัน

“ชักไม่สนุกแล้ว” ผมคิด

แต่กระโดดลงไปแล้วจะถอนตัวก็ลำบาก ก้นกระเป๋าเหลือเงินพันกว่าบาท หากพี่แกเรียนหุ้นเพิ่มผมจะเอาจากไหน มองซ้ายมองขวาจะหาหยิบยืมใครยิ่งไม่มีทางแน่นอน สายตาที่ล้อมวงของตำรวจนักสืบมีแต่จ้องมองรอจังหวะวัดดวงสูบเงินที่กองร่อยหรอบริเวณหน้าตัก

“มา เดี๋ยวข้าแจกบ้าง” สมมาสเปลี่ยนอิริยาบถ

ผมไม่รอช้ายื่นสำรับไพ่ทันที

“ป๊อกเก้าเด้ง” ผมไม่รีรอเมื่อเห็นขอบไพ่ใบหลัง หุ้นส่วนผู้พี่กวาดเงินกองใหญ่รอบวงเข้าอ้อมกาย อาการหิวกระหายของเหล่าลูกค้ามองกันตาละห้อย

“ป๊อกเก้าเด้งอีก” ผมลุ้นขึ้น หรือว่าสามาสแจกใบขึ้นไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ เหมือนเรามีแรงฮึดบนสังเวียนนักสู้ มวยที่โงนเงนใกล้ถูกหมัดน็อกกลับออกพุ่งทะยานมาจากมุมยิ่งกว่างูจงอางแผ่แม่เบี้ย

“เจ้าสามขอบ” เที่ยวนั้นรวมกันน่าจะเหยียบหมื่นกว่า ลูกค้า 10 กว่ามือแทงอย่างต่ำห้าร้อยบาท สูงสุดให้อั้นแค่สองพันบาทเฉพาะมือบ๊วย ไม่มีใครป๊อกเลย

เมื่อดวงตีกลับมาฝั่งเจ้า หลายคนพากันถอดใจ แต่หนุ่มหน้าตี๋มาดกวนกลับสู้ไม่ถอย ผมไม่เคยคุ้นหน้าค่าตา แต่ว่านักสืบในวงสนิทสนมกันดี

“ไอ้นี่มันใครวะ” สมมาสกระซิบระหว่างรวบไพ่ ส่วนผมรวบเงินอีกกองพะเรอล้วนเป็นแบงก์ห้าร้อยกับแบงก์พัน

“ไม่รู้เหมือนกันพี่”

“ข้าไม่ค่อยถูกชะตามันเลย” หนุ่มเมืองจันทบุรีให้เหตุผล

ผมก็มองแปลก ดูเหมือนเป็นพวกนักเล่นอาชีพมากกว่าตำรวจ

ผ่านไปหลายตา เขายังปักหลักสู้กับเรา แต้มเท่าบ้าง เหนือกว่าบ้าง พวกผมจะกินแต่ละทียากเย็นแสนเข็ญ

“พี่ … คนนั่นใครอ่ะ” ผมตัดความอึดอัดถามสิบตำรวจเอกสมชาย แหยมไทย ที่กระเป๋าแห้งหมดตัวนานแล้ว แต่ยังลุ้นดูข้างเจ้า

“คนไหนน้า”

“โน้น” ผมแอบชี้

“อ๋อ นายแบน”

“อยู่ที่ไหน”

“เป็นผู้กองอยู่สืบสุทธิสาร เห็นว่าจะย้ายมาเป็นรองสารวัตรกองสืบ”

“อ้าวหรือ” ผมส่งข่าวต่อสมมาส ขณะที่นายตำรวจหนุ่มมัวลุ้นแต้มไพ่ไม่รู้ตัวว่าถูกสอดแนมถามประวัติ “ป๊อกแปดเด้ง” เขาเหมือนยังดวงดีได้อีก “แต่เจ้าป๊อกเก้าครับ” หมู่สมชายเผลอขานแทนเล่นเอานายร้อยตำรวจเอกชักสีหน้า

“ไอ้แหยม ตกลงมึงจะอยู่ข้างเจ้าใช่ไหม” ดาบตำรวจประทวน จ้อยบำรุง รุ่นพี่ร่วมสังกัดแซวแรง บรรยากาศความตรึงเครียดคลายลงเล็กน้อย

อาทิตย์ลาขอบฟ้า เข็มนาฬิกาเดินบอกเวลาทุ่มเศษ นักเล่นบางตา เงินหมุนเวียนหดหาย เพราะกลุ่มได้พากันเผ่นตามฟอร์ม พวกที่เหลือล้วนเข้าเนื้อ ภาษานักพนันเขาเรียก “ตามควาย” ผมคะเนกองหน้าตักที่พี่ร่วมหุ้นหยิบทุนคืนมาให้แล้วเริ่มนอนใจ

“อีกกี่ตาเลิกดี” คนข่าวหนุ่มมาดเนี้ยบดูข้อมือ “ผมมีธุระ อย่าว่ากันนะ” แกพูดถนอมน้ำใจ

ทุกคนพร้อมลงความเห็น “อีก 10 ตาเลิกก็แล้วกัน”

“โอเค”

เราใช้เวลา 10 ตาไปอย่างรวดเร็ว ได้บ้าง เสียบ้างสลับกันไป เหมือนคืนกำไรให้แก่ลูกค้าลอตสุดท้าย ก่อนทุกคนจะลุกแยกย้ายอำลา

“ขอบคุณมาก ไว้เล่นกันใหม่นะครับ” เจ้ามือแสดงไมตรีนอบน้อม

“ได้หรือเสียน้า”

“ยังไม่รู้เลย นิดหน่อยมั้ง” สมมาสแทงกั๊ก ผมเองก็ไม่รู้ยอด แต่มั่นใจไม่เสียแน่ เพราะทุนสี่พันบาทที่ลงไปอุ่นนิ่งกลับเข้ากระเป๋าแล้ว

เราเป็น 2 คนสุดท้ายที่เดินจากห้อง สมมาสควักกองปึกเงินมานับแบ่งกัน

“คนละแปดพันห้านะ” แกว่า “นี่ส่วนของเอ็ง”

“เหนื่อยชิบหายเลยพี่”

“เออวะ นึกว่าจะเสร็จเสียแล้ว” ถอนหายใจ “เอ็งไปไหนต่อว่ะ”

“ผมหรือ กลับบ้านพี่ พี่ล่ะ”

“ยังไม่รู้เหมือนกัน เจอกันวันจันทร์นะ”

“สวัสดีครับพี่” วิญญาณผีพนันเข้าสิงผมอิ่มชะล่าใจฉลองศักราชใหม่ไร้จุดหมาย ทว่าเสียงพรายกระซิบจับตายกำลังจะมา

 

 

 

 

RELATED ARTICLES