ก้าวที่  43 ตระเวนข่าว

 “เอ็งมันหยิ่งจองหอง ทำแบบนี้ เหมือนถีบหัวเรือส่ง” เจ้าของนามปากกาเปลวสีเงินลั่นประโยคดังก้องหูผม “พ่อเอ็งอุตส่าห์ฝากฝังเอ็งให้ข้าช่วยดูแล”

ผมหน้าชา จริงเท็จอย่างที่หัวหน้ากองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์รุ่นลายครามพูดหรือไม่ ผมไม่รู้ แต่ผมมั่นใจว่า ผมไม่เคยใช้บารมีผู้พ่อมาอยู่ชายคาหนังสือพิมพ์น้องใหม่สยามโพสต์เมื่อ 3 ปีก่อน มันเป็นการจากลาที่จบไม่สวย

“ออกไปได้แล้ว”

ผมยกมือไหว้ “ขอบคุณครับป๋า”

เดินห่อเหี่ยวออกจากห้องหันหน้าเลี้ยวขวาผ่านไปยังห้องบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา อรุณ ลานเหลือ นั่งสงบอยู่บนโต๊ะ แกเป็นผู้เฒ่าในวงการที่ทุกคนให้ความเคารพนับถือ แต่บั้นปลายชีวิตต้องเดินทางขึ้นโรงขึ้นศาลในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำผิด

ผมระเบิดความอัดอั้นที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่กี่นาทีให้แกฟัง “ป๋าโรจน์หาว่าผมจองหอง หาว่าพ่อผมฝากมาแล้วทำไมต้องถีบหัวเรือส่ง ผมไม่สบายใจเลยลุง”

นักหนังสือพิมพ์วัย 70 เศษส่ายหัวเห็นใจ

“โรจน์มันไม่น่าพูดแบบนี้เลย” อรุณว่า “โชคดีนะหลาน”

ขยับปีกออกจากรังเก่าแทนที่หัวใจจะพองโตเมื่อเตรียมก้าวไปอยู่ต้นสังกัดใหม่ หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ที่มียอดจำหน่ายมากที่สุดของประเทศ ผมกลับต้องพกความชอกช้ำจากคำพูดของผู้ใหญ่ที่ผมให้ความเคารพนับถือ

“ลูกประสงค์หรือ” คำทักทายที่เคยเจอกันครั้งแรกน้ำเสียงไม่ต่างจากผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก ภาพนั้นมันเลือนรางไปในทันทีที่ผมโดนคำสาดว่า “จองหอง”

ลาก่อนสยามโพสต์ ลาก่อนเพื่อนฝูงร่วมบุกตลาดหนังสือพิมพ์ที่เต็มไปด้วยเสือ สิงห์ กระทิง แรด ผมไม่เคยลืมบุญคุณโรงเรียนอาชีพแห่งแรกในชีวิตที่สั่งสอนวิชาล่าข่าวอย่างหิวกระหาย

ทิ้งเงินเดือน 13,000 บาท ไปเริ่มต้นสตาร์ตใหม่แค่ 8,500 บาท กับความหวังเงินโบนัสประจำปีกับเงินโอที 3 เท่าของวันหยุดนักขัตฤกษ์ ทั้งบุญเสริม พัฑฒนะ สมมาส บรรพต และกิจจา ทองเกลา ขุนพลผู้ร่วมชักนำผมเปลี่ยนสำนักต่างการันตีมันต้องดีกว่าที่เก่า

ทว่าผมไม่ได้มองที่เม็ดเงิน ผมกลับให้ความสำคัญในเนื้องานข่าวอาชญากรรมที่เปิดเวทีให้ผมได้โลดแล่นบนสังเวียนมากกว่ารังเดิม เติมเต็มสิ่งที่ผมโหยหา

เริ่มต้นทำงานนั่งรถตระเวนข่าวเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2538 กลิ่นน้ำหมึกที่คุ้นเคยทำให้ผมนึกถึงตอนเข้ามาฝึกงาน ย่างก้าวหักเหสำคัญมาอยู่สายข่าวอาชญากรรมเกิดจากแรงบันดาลใจครั้งนั้นประเดิมด้วยการเข้าเวรดึกพระนคร เสียงวิทยุลั่นรถ รหัส 604 ของประทีป สุวรรณพืช ผมยังจำแม่น แต่ระลอกนี้รหัส 603 ประจำตัวของกิจจา ทองเกลา เตรียมถ่ายทอดส่งต่อถึงผม

ด้วยการเข้าเวรดึกเขตธนบุรีอีกเหมือนกัน

“เขาให้ข้านั่งกับเอ็งไปก่อน” รุ่นพี่นักเรียนเก่าเทพศิรินทร์อธิบาย “อาทิตย์หน้าเขาจะให้ข้าลงกรมตำรวจแล้ว เอ็งเตรียมตระเวนเดี่ยวได้เลย สบายอยู่แล้ว”

“เอางั้นหรือ” ผมไม่ค่อยมั่นใจตัวเอง

“ไอ้ห่า ผ่านงานมาตั้งเยอะ กลัวอะไรวะ”

“กลัวพลาดตกข่าวสิพี่” ประโยคนี้ผมตอบในใจ ภาพหลอนตอนฝึกงานวันสุดท้ายในเหตุการณ์ที่ประทีป สุวรรณพืช รุ่นพี่ฝึกข่าวพลาดรูปสำคัญจากเหตุการณ์ชายเมายาบ้าใช้มีดจี้จับเด็กเป็นตัวประกันท้องที่สถานีตำรวจนครบาลหัวหมากทำผมกระดากอย่างบอกไม่ถูก

ย้อนทบทวนวิชาตระเวนข่าวเมื่อ 4 ก่อนหน้า แม้เป็นห้วงเวลาสั้น ๆ เพียง 2 เดือน แต่ก็ทำให้ผมเรียนรู้อะไรเยอะมาก เที่ยวนี้ได้มาทำงานจริง นั่งเคาะสนิมลงแจกหนังสือพิมพ์ 2-3 โรงพัก ขึ้นไปนั่งศูนย์วิทยุรามาสักพัก ขยับเข้าโรงพักบางรัก ไปศูนย์วิทยุนารายณ์ แล้วข้ามต่อโรงพักภาษีเจริญ ขึ้นศูนย์วิทยุกรุงธน ก็คลายความตื่นเต้นในคืนแรกของสีเสื้อสังกัดใหม่ได้บ้าง

“น้องใหม่ครับพี่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วย” กิจจาแนะนำเจ้าหน้าที่วิทยุเกือบทุกศูนย์อย่างสนิทสนม “เอ็งไม่มีอะไรก็มานั่ง มานอนที่นี่แหละ เดี๋ยวมีเหตุพวกพี่เขาก็สะกิดเอง” เขาหันมาบอกต่อ “มีอะไรก็ฝากท้องกับพวกพี่เขาได้ ของกินเพียบ”

ผมทำความรู้จักท้องถนนยามราตรีในท้องทุ่งมหานครและธนบุรีตามนาฬิกาอาชญากรรมที่คำนวณจากประสบการณ์คนข่าวตระเวนรุ่นเก่าที่พวกเขาจะกะเก็งเอากันว่า ควรแวะโรงพักไหนในเวลาใดเพื่อจะเจอข่าวบนโรงพัก

ที่สำคัญควรจะใช้เวลาใดร่อนหาร้านอาหารอร่อยยามดึกซัดเข้าใส่กระเพาะ ส่วนใหญ่กิจจาพาผมท่องละเมียดของกินเพื่อให้อิ่มก่อนเดินทัพ ตั้งแต่ เกาเหลาเลือดหมูสะพานควาย ก๋วยจั๊บอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ข้าวมันไก่ตอนประตูน้ำ โจ๊กสามย่าน ไม่ก็ร้านข้าวต้ม ก๋วยเตี๋ยวข้างทางละแวกเพชรเกษม

ตลอด 5  คืน ผมแทบไม่มีข่าวติดไม้ติดมือส่งโรงพิมพ์เลย เหมือนดวงโจรไม่ค่อยสมพงษ์ถูกโฉลกกับที่ทำงานใหม่ของผม

“คืนพรุ่งนี้เอ็งบินเดี่ยวแล้วนะ” หนุ่มรุ่นพี่เตือนสติ

ผมใจหายวาบ

“วันจันทร์ข้าถูกส่งไปประจำกรมตำรวจแล้ว” ศิษย์เก่านิติศาสตร์จากรั้วจามจุรีไม่ลืมเหตุผลที่เลือกผมเข้ามาทำหน้าที่ตระเวนข่าวแทนเมื่อมีตำแหน่งว่างเปิดกว้าง “ข้าขอบอกเอ็งไว้อย่าง นั่งรถตระเวน อย่าให้คนขับรถมันขี่เอ็งได้”  เหมือนเขาจะรู้ความเขี้ยวของรหัส 803 โชเฟอร์ประจำรถ

ผมพยักหน้ารับคำแบบหนักใจ

คืนวันเสาร์ คืนสุดท้ายของเวรดึกครั้งแรกในชีวิตนักข่าวอาชญากรรมไทยรัฐเต็มตัว ผมวางมาดนิ่งคุยกับคนขับรถที่อาวุโสกว่า สงวนท่าทีไม่ให้ถูกชักใบให้เรือเสียได้ง่าย อีกฝ่ายยอมวิ่งรถตามเส้นทางตระเวนข่าวของผมด้วยอาการเต็มใจ

ผมเลือกเส้นทางประจำสมัยมีพี่เลี้ยงประคองก่อนหน้า เพราะไม่มีเหตุการณ์ระทึกน่าสนใจที่จะเป็นข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์ ก่อนพวกเราจะไปจอดนอนนิ่งอยู่พระราม สถานที่สุมหัวของคนข่าวตระเวนภายในห้องชมรมผู้สื่อข่าว-ช่างภาพอาชญากรรมที่ยามกลางวันกลายเป็นบ่อนพนันย่อย ๆ ฆ่าเวลา

รถตระเวนของหนังสือพิมพ์ข่าวสด เดลินิวส์จอดนิ่งฝ้าขึ้นด้วยไอความเย็นของแอร์ ทั้งนักข่าว คนขับรถ และช่างภาพนอนหลับสนิทแสดงให้เห็นว่า ไม่มีข่าว หรือไม่มีใครแอบดอดไปตีหัวเด็ดยอด

“นอนเหอะโต้ง ตีสามกว่าแล้ว” โชเฟอร์เอนเบาะพิงหลัง

“น้าหลับก่อนเหอะ ผมยังไม่ค่อยง่วง” อารามตื่นเต้นในชั่วโมงบินที่ยังน้อยทำตาค้าง แต่แล้วก็เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีเกือบ 6 โมงเช้า ฟ้าเริ่มสาง คนขับคู่กายหลับสนิท แต่ปิดแอร์จนในรถร้อนอบอ้าว ผมเปิดประตูเดินลงไปสูดอากาศยามเช้า เข้าห้องน้ำที่ห้องชมรม เพื่อนนักข่าวฉบับอื่นกลับรังหมดแล้ว

เช้าวันอาทิตย์เงียบตามเคย บ่ายต้องเข้าควงเวรต่อตามระบบงานของรถตระเวนข่าว แต่แล้วแม่ข่ายศูนย์วิทยุกรุงเทพก็ดังขึ้นส่งสัญญาณแจ้งพบศพเหตุ 241 ภายในวัดญวนนางเลิ้ง ถนนลูกหลวง แขวงคลองมหานาค กรุงเทพมหานคร

“อยู่ตรงนี้เองนี่หว่า” ผมมโนเส้นทางแล้วรีบปลุกคนขับรถ

เขางัวเงียสตาร์ตเครื่องทำท่าจะหันหัวออกมุ่งหน้ากลับโรงพิมพ์ ผมต้องรีบชักสติ “ไปนางเลิ้ง ตรงวัดญวน มีเหตุ 241” เขาหันมาดูนาฬิกาจะอ้าปากโบ้ยให้เวรเช้ามาทำดีกว่า แต่ผมยืนยันคำเดิม “รีบเลยน้า”

ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ถึงที่เกิดเหตุ หยิบกล้องถ่ายรูป เหน็บปากกา กระดาษจดข่าวเตรียมพร้อม บรรดาไทยมุงอออยู่นอกแนวกั้นเชือก ผมเดินมุดเข้าไป หันซ้ายหันขวา ไม่มีนักข่าวคนอื่นสักฉบับ ลั่นชัตเตอร์มือสั่นด้วยความประหม่า

ศพแรกในชีวิตนักข่าวสังกัดหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ผมแปลกทำไมดันตื่นเต้น ทั้งที่ผ่านประสบการณ์สารพัดคดีเลือดมาอย่างโชกโชนก่อนหน้าตลอด 3 ปี

ร่างของหญิงสาวนิรนามผิวพรรณดี สวมเสื้อดำ กางเกงยีน นอนตะแคง ถูกสวมกุญแจมือไพล่หลังตายอยู่ใกล้บันไดทางขึ้นเมรุเผาศพของวัด ใบหน้าช้ำเหมือนถูกซ้อม ลำคอบ่งบอกโดนรัด มีคราบเลือดเกรอะกรัง ร้อยตำรวจเอกวิศรุต โสมทัต รองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง เป็นร้อยเวรถือสมุดจดบันทึกรายละเอียด

ตำรวจเชื่อว่า เธอถูกสังหารอย่างทารุณมาจากที่อื่นก่อนนำศพมาทิ้งประจานความอำมหิต

ผมใช้เวลาไม่เกิน 20 นาทีเก็บภาพและจดข้อมูลแล้วรีบโทรศัพท์เข้าโรงพิมพ์ เดชา ภู่พิชิต รีไรเตอร์รับสายเสียงเข้ม ผมพยายามปะติดปะต่อเรียบเรียงข่าวตามสเต็ปไม่ให้เขาสับสน แม้จะมีอาการรนรานอยู่บ้าง “ผมโต้งครับพี่ นักข่าวใหม่ที่มาแทนพี่บิลลี่”

“มีอะไรว่ามา” รีไรเตอร์เปิดประโยคซัก แต่สุดท้ายผมก็ผ่านมันไปได้ด้วยดี

มันเป็นข่าวพาดหัวหน้า 1 กรอบบ่ายฉบับเดียวบนแผงจากผลงานนักข่าวตระเวนน้องใหม่ของผมกับต้นสังกัดหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ

กลับเข้าแฟลตดับเพลิงที่พระรามตอนสายนอนหลับเป็นตาย สะดุ้งพรวดตื่นเอาบ่ายกว่า นาฬิกาชี้เวลาใกล้เข้าเวรแล้ว รีบอาบน้ำแต่งตัวเดินไปรอรถที่ชมรมผู้สื่อข่าว-อาชญากรรมด้านล่าง มันเป็นกำไรที่ประหยัดเวลาเดินทางด้วยความที่มีรังปักหลักอยู่ใกล้ชมรม

รถตระเวนมารับผมเข้าโรงพิมพ์แล้วมุ่งทะยานเข้าเขตฝั่งธนบุรี

ผมแวะโรงพักตลิ่งชัน วิ่งไปตามถนนบรมราชชนนีแล้วเลี้ยวเข้าถนนกาญจนาภิเษกไปโรงพักภาษีเจริญขึ้นไปนั่งจ่อมอยู่บนศูนย์วิทยุกรุงธน กระทั่งออกเวรตอนห้าทุ่ม

สิ้นสุดสัปดาห์แรกของชีวิตนักข่าวตระเวน

ทว่าศพสาวนิรนามยังฝังหัวผม เหตุที่เกิดอยู่ความรับผิดชอบของสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง เขตกองบังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือ ทำให้ผมไม่ได้เข้าไปตามความคืบหน้า อาศัยตามข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ในวันรุ่งขึ้น

คดีคลี่คลายกระจ่างอย่างรวดเร็ว เมื่อสมเกียรติ กลิ่นแสงธูป อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 101/502 หมู่ 4 หมู่บ้านซื่อตรง ถนนรัตนาธิเบศร์ ตำบลไทรม้า อำเภอเมืองนนทบุรี เดินทางเข้าพบร้อยตำรวจเอกวิศรุต โสมทัต ร้อยเวรเจ้าของคดี เนื่องจากสงสัยว่า ผู้ตายอาจเป็นตุ๊กตา กลิ่นแสงธูป ลูกสาววัย 30 ปี ที่หายออกจากบ้านไปเมื่อคืนวันที่ 5 กันยายน 2538 พร้อมรถเก๋งฮอนด้า ซีวิค สีแดง ทะเบียน 4 ฐ- 5082 กรุงเทพมหานคร ตลอดจนเครื่องประดับ ทรัพย์สินมีค่าและเงินสด รวมมูลค่า 500,000 บาท

พ่อของเธอดูรูปถ่ายศพแล้วถึงกับร้องโฮยืนยันเป็นร่างไร้วิญญาณของลูกสาวจริง

ปูมประวัติของเหยื่อฆาตกรรมโหดรายนี้เคยเข้าประกวดนางงามหลายเวที คว้าตำแหน่งธิดาคุ้มเกล้าเมืองนนทบุรี นางงามวันแรงงานแดนเนรมิต รองนางงานสงกรานต์วิสุทธิ์กษัตริย์ และรองนางงามนพมาศสวนสยาม ในนามของ “รัศมี เทวัญ” อีกทั้งเคยร่วมแสดงภาพยนตร์ไทยฐานะดาราตัวประกอบมาแล้วหลายเรื่อง

พฤติกรรมของเธอเลิกรากับสามีชาวญี่ปุ่น ระยะหลังชอบเที่ยวกลางคืนตามดิสโก้เธคย่านถนนรัชดาภิเษก รับงานเป็นนายหน้าจัดหาหญิงสาวให้นักท่องราตรีระดับเสี่ยใหญ่ เพื่อกินค่าส่วนแบ่งเปอร์เซ็นต์ติดต่อจัดหาคู่

พลตำรวจตรีอนันต์ ภิรมย์แก้ว ผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือ สั่งการให้ พันตำรวจเอกวิวัฒน์ วรรธนะวิบูลย์ ผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครเหนือ นำกำลังสืบสวนร่วมกับพันตำรวจโทประเวศน์ มูลประมุข สารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง ไม่กี่วันพบรถเก๋งฮอนด้าของเหยื่อผ่านไปเจอด่านตำรวจสถานีตำรวจภูธรตำบลลาดหญ้า อำเภอเมืองกาญจนบุรี นำไปสู่การควบคุมตัววิสิทธิ์ ทองสะอาด อายุ 20 ปี ดีเจสถานบันเทิงรัชดา คนขับรถ

เด็กหนุ่มแบ่งรับแบ่งสู้อ้างว่า ผู้บงการ คือถวิล บุญสุวรรณ และนายยา ไม่ทราบนามสกุล หลอกให้เขาติดต่อผู้ตายมาพบที่โรงแรมปีปอินน์ ถนนรัชดาภิเษก โดยทั้งคู่นั่งรถกระบะมารออยู่แล้ว ระหว่างนั้นเขาถูกวางยากล่อมประสาท จำอะไรไม่ได้ รู้แค่ว่า ผู้หญิงถูกฆ่าแล้วในโรงแรม ก่อนนำศพขึ้นรถเก๋งฮอนด้าไปทิ้งวัดญวน

หลังจากนั้น ทั้งหมดพากันขับรถผู้ตายออกต่างจังหวัด ทิ้งหลักฐานข้าวของส่วนตัวของผู้หญิงในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมแล้วเดินทางไปต่อมุ่งหน้าจังหวัดกาญจนบุรี แวะส่งนายยาระหว่างทาง พอเจอด่านตำรวจภูธร ถวิลฉวยโอกาสกระโดดรถหนีไปก่อน ดีเจผับสถานบันเทิงดังเลยจนมุมลำพัง

ประวัติเหี้ยมของถวิล บุญสุวรรณ เคยร่วมกับพวกอีก 4 คน มีสิบตำรวจตรีสมัย จันทรษี อดีตตำรวจสถานีตำรวจภูธรตำบลลาดหญ้า อุ้มขวัญเนตร สมบูรณ์ดี อายุ 42 ปี เศรษฐินีเจ้าของธุรกิจที่ดินไปสังหารในเขตอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2535

ต่อมาถวิลหนีคดีมาซุกปีกแก๊งมาเฟียคุมสถานเริงรมย์บนถนนรัชดาภิเษก เดินงานรับจ้างอุ้มฆ่าเต็มรูปแบบ รวมทั้งอยู่ในขบวนการค้ายาม้าปล่อยจำหน่ายลูกค้านักเที่ยวตามคาเฟ่ และผับหลายแห่งทั่วกรุง

สวมวิญญาณดาวโจรห้อยโหนอยู่ในวงจรนรก

ส่วนชีวิตของมันลงเอยอย่างไร ผมไม่ได้ติดตามต่อ เพราะผมมัวใจจดใจจ่อกับงานวิวาห์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

 

 

 

 

RELATED ARTICLES