คู่ชีวิตนายพลแม่ทัพปราบปรามยานรก
คุณต้อย-นุชนารถ กองวิสัยสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน ) ภริยาคนเก่ง พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 34
เธอเป็นลูกนายตำรวจอยู่อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น แต่ตัวเองเกิดจังหวัดหนองคาย วัยเด็กอยู่กับยาย หลังจบมัธยมปลายโรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร ตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ มาเรียนต่อคณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด มหาวิทยาลัยรามคำแหง ด้วยความคิดอยากไปช่วยงานธุรกิจสัมปทานยาสูบเจ้าใหญ่สุดที่ยายทำอยู่ พอเอาเข้าจริงไม่ได้มีโอกาสกลับไปอีกเลย เพราะเมื่อผู้เป็นยายเสีย ไม่มีใครถนัดสานงานต่อ สุดท้ายกิจการโดนนายทุนเทคโอเวอร์ไป
คุณต้อยถึงไปสมัครงานที่ซีเอ็ด เริ่มงานขายโฆษณา ก่อนมาจับงานหนังสือ พิมพ์วารสารอิเล็กทรอนิกส์เล่มแรก แหล่งรวมความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในสมัยนั้นที่ไม่ค่อยมีใครรู้มากเท่าไร กลายเป็นวารสารวิชาการนิยมกันอย่างแพร่หลาย เป็นหนังสือเล่มแรกในประเทศไทยที่มีโฆษณาต้องทำเป็นดัชนีคล้ายสมุดหน้าเหลือง เยลโล่เพจเจส ให้ค้นหาร้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แต่ละแขนง ก่อนขยายออกไปเป็นนิตรสารไมโครคอมพิวเตอร์ หนังสือวิทยาศาสตร์ ตำราเรียนสำหรับเด็ก
“สมัยก่อนซีเอ็ด เกิดได้โดยไม่มีการตลาด ไม่เคยตั้งว่างบโฆษณา เพราะดีเด่นด้วยตัวของมันเอง เราสร้างความรู้ให้คนทั่วประเทศ ให้เด็ก หรือผู้ใหญ่ที่สนใจ เหมือนกับว่า เป็นอะไรที่สร้างคน พอเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ก็มีมูลค่า เป็นบริษัทที่ให้ความรู้ ให้การศึกษา ทำให้เทคโนโลยีให้คนไทยเก่งขึ้นทุกเรื่อง เป็นคลังความรู้ ทุกวันนี้ก็ยังใช้ตรงนี้อยู่ในการทำอะไรก็ได้ เพื่อให้เด็กและผู้ใหญ่เก่งขึ้น แม้สภาพการเสพสื่อจะเปลี่ยนไปในยุคปัจจุบัน”
ส่วนเรื่องชีวิตรัก คุณต้อยยิ้มคิดทบทวนสักพักแล้วเอ่ยขึ้นว่า จริง ๆ ไม่อยากเล่า เหมือนนิยาย ถามว่าชอบตำรวจไหม ก็ชอบ เพราะพ่อเป็นตำรวจ น้องชายก็เป็นตำรวจ เท่ากับมีความเป็นตำรวจในตัว พอมากรุงเทพฯ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย อยู่พอพัก ก็มีเพื่อนเป็นแฟนตำรวจทหารหลายคน หลังจากนั้นออกมาจากหอ พี่ชายทำงานเมืองนอกกลับเมืองไทยเลยเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน เป็นบ้านเช่าหลายหลังที่มีอาณาบริเวณในรั้วเดียวกัน
เป็นเหตุให้ทั้งคู่พบรักกันบังเอิญ เธอบอกว่า มีจดหมายของเขาส่งมาผิดบ้าน เป็นจดหมายรักส่งมาจีบใครไม่รู้ในบริเวณบ้านเช่าที่เราอยู่ ตอนนั้นเขาเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ เราเลยส่งจดหมายกลับไปถึงเขาที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ระบุว่า จดหมายของเขาส่งมาผิดบ้าน ปรากฏว่า เขาส่งกลับมาขอบคุณ หลังจากนั้นก็เริ่มสานสัมพันธ์ทำความรู้จักกันทางจดหมาย “มันเป็นไปแล้วจริงๆ แค่จดหมาย 2 ฉบับ ผู้ชายผู้หญิง ทั้งที่ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้ากัน วันหนึ่งก็นัดเจอกัน ครั้งแรกที่พบ เขาก็เป็นแบบนี้ บู๊ ๆ ห้าว ๆ เป็นผู้ชายที่จีบผู้หญิงไม่เป็น”
“เจอหน้ากันครั้งแรก ยอมรับไม่ชอบเลย ผิดกับที่คาดหวัง วาดภาพไว้ว่า นักเรียนนายร้อยต้องหล่อสมาร์ท แต่เขาไม่ใช่” คุณต้อยหัวเราะรำพันถึงความหลัง ทว่าทั้งคู่ก็ติดต่อกันเรื่อยมา เหตุผลจากฝ่ายชายเป็นคนจริงใจ วันหนึ่งบ้านเธอโดนขโมยรองเท้าไปเจออยู่ที่ร้านซ่อมรองเท้าปากซอย นักเรียนนายร้อยตำรวจหนุ่มรู้ข่าวถึงกับบุกไปรื้อถึงร้าน พิสูจน์ให้เห็นว่า ชายหนุ่มคนนี้ปกป้องดูแลเธอได้
ถึงกระนั้นทั้งคู่ต้องเจอกับบททดสอบจิตใจ เมื่อฝ่ายชายบรรจุเป็นรองสารวัตรอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ คุณต้อยเล่าว่า ความที่เขาเป็นคนห้าว ๆ รักก็ไม่เคยบอกรัก ชอบก็ไม่เคยบอกชอบ สไตล์ของเขาเป็นแบบนี้ คบกันจนจะเลิกกันอยู่แล้ว ต้องบอกว่าเป็นบุพเพสันนิวาสจริง ๆ พอเขาบรรจุไกลถึงอีสาน เราแทบไม่ได้เจอกัน เพราะเราก็มุ่งมั่นเรื่องงานของเรา ได้ไปเยี่ยมแค่วันหยุด กระทั้งรุ่นนี่คนหนึ่งของเขาเห็น และเชียร์อยากให้เราดูแลเขา ไม่ให้วอกแวกไปไหน ขอร้องไม่อยากให้เลิกกัน
“พี่คนนี้นั้นพยายามประคองให้เราอย่าหายไป ให้หมั่นมาดูแล ไม่ให้เขาไปหาใคร ถามว่าตอนนั้น หนุ่มนักเรียนนายร้อยตำรวจจบใหม่ พ่อแม่ออกรถสปอร์ตสีแดง ให้ไปขับโรงพัก โก้ขนาดไหน จนวันหนึ่งเป็นช่วงสงกรานต์ เราไปหาพอดี เขาใส่เครื่องแบบไปตรวจพื้นที่เจอชาวบ้านเอาเหล้าขาวให้กินจนเมาหมดสภาพ แล้วไม่มีใครดูแล มีตำรวจเอากลับมา เราก็คอยดูแล รุ่นพี่คนนั้นเลยตัดสินใจไปเชิญนายอำเภอมาจดทะเบียนสมรสให้เลย เพราะกลัวจะเลิกกันแล้วค่อยจัดแต่งงานทีหลัง”
เธอย้ำว่า นิสัยของเขาไม่เจ้าชู้ แต่เราจะห่วงเรื่องไปบู๊ตามสไตล์ของเขา แม้การทำงานของเราจะต่างกันสิ้นเชิง จากวันนั้นจนถึงวันนี้แทบไม่ได้อยู่ด้วยกันเลย เพราะต่างคนต่างทำงาน เขาอยากเป็นอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ เราก็อยากเป็นอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ เป็นสิบปี ไม่เคยได้อยู่บ้านเดียวกัน “ ตอนมีลูก เราเคยนึกสงสารตัวเอง ไปอยู่หอพัก แต่คนที่หอไม่รู้ว่า เราแต่งงานแล้ว พอท้อง คนมักจะมองว่า ไปท้องกับใคร ท้องไม่มีพ่อ เป็นขี้ปากคนสมัยนั้น ทุกคนเวลาท้องต้องมีสามีไปด้วยเวลาไปฝากท้อง แต่เราไม่มีใคร แต่ก็ทนมาได้”
“คิดว่าไม่แคร์ เขาไม่ได้เป็นคนเจ้าชู้ เขาก็โอเค รับผิดชอบดูแลเรา เพียงแต่ไม่มีเวลา เราเข้าใจเขา เรานัดหมอแล้วจะต้องขับรถจากโน่นมาพาเราไปหาหมอชั่วโมงหนึ่งแล้วต้องกลับไปก็ไม่ใช่ เราต้องเข้าใจ นี่คือ ชีวิตแม่บ้านของนักสืบ ทุกวันนี้ ถึงสอนแม่บ้านตำรวจทุกคนว่า ครอบครัวจะไม่แตกแยกอย่างไร ในเมื่อสามีก้าวลงจากบันไดก็ถามแล้วว่า ไปไหน ไปจีบสาว ไปกินเหล้า ไปเล่นไพ่หรือเปล่า คือ ไปคิดลบ แต่เราไม่มี เราคิดบวก ไม่เคยสงสัยเขา ห่วงอย่างเดียวจะกลับบ้านได้ไหม” ภริยาผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดระบายเรื่องราวที่ผ่านมา
ชีวิตคู่ช่วงแรกของเธอใช้ความอดทนสูง ฝ่ายชายย้ายมาอยู่นครราชสีมา เธอต้องเทียวไปหาช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ตีสี่ต้องตื่นเพื่อให้เขาขี่รถมอเตอร์ไซค์มาส่งขนส่งเพื่อขึ้นรถโดยสารกลับ เป็นแบบนั้นตลอด 3 ปี จนท้องลูกแรก นั่งรถมอเตอร์ไซค์จนแท้ง เขาพาไปส่งโรงพยาบาลแล้วบอกจะกลับไปเอาเสื้อผ้ามานอนเฝ้า วันนั้น คุณต้อยจำแม่นว่า นอนรอจนเที่ยงคืนก็ไม่มา เช้าก็ไม่เห็น รู้สึกโมโห เราไม่สบาย แท้งลูก จะไปทำงานอะไรก็ต้องกลับมาเฝ้าเรา แต่หายไปทั้งคืน พอติดต่อถามตำรวจถึงรู้ว่า เขาไปนอนอีกโรงพยาบาล เพราะไปช่วยดับไฟแล้วไม้ตกใส่หัว ลูกน้องพาส่งโรงพยาบาล
สุดท้ายกลายเป็นเธอต้องออกจากโรงพยาบาลเป็นฝ่ายไปเฝ้าสามีแทน “นี่แหละคือ ชีวิตคู่ เขาเป็นคนแบบนี้ งานต้องมาก่อน แต่เขาได้เราที่เข้าใจเขา เลยประคองครอบครัวกันมาได้ ถ้าผู้หญิงที่ไม่มั่นคง เราว่าอยู่กับเขาไม่ได้แน่”
หลังจากสูญเสียลูกคนแรก ทั้งคู่เริ่มต้นใหม่ ก่อนได้ลูกชายและลูกสาวมาเป็นพยานรักถึงปัจจุบัน คือ ปืน-นพปฎล กองวิสัยสุข และแก๊ป-นพวรรณ กองวิสัยสุข ตลอดระยะเวลาเกินกว่า 20 ปี คุณต้อยมองว่า สามีย้ายไปไหนไม่เคยหอบครอบครัวตามไปอยู่ด้วยสักที่ เหตุผลอาจจะมาจากแม่ แม่เป็นแม่บ้านธรรมดา พอสามีตายเอาตัวไม่รอด ต้องไปมีแฟนใหม่ เพราะตัวเองไม่มีอาชีพ ไม่มีงาน ทำให้บ้านแตก เราเห็นมาแบบนี้ ถึงสัญญากับตัวเอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสามี เรากับลูกต้องอยู่ได้ ถึงเลือกจะไม่ทิ้งงาน ไม่ออกจากงานเพื่อย้ายตามสามี
คุณต้อยยังนำประสบการณ์งานสืบสวนของสามีไปใช้ในงานบริษัทตัวเองออกแกะรอยแก๊งขโมยหนังสือในร้านจนสูญเสียรายได้ไปไม่น้อย เจ้าตัวรับว่า จริงๆ ไม่ใช่หน้าที่พี่ แต่อดไม่ได้เพราะสามีเป็นตำรวจคิดว่า ควรตั้งแผนกที่ดูแลเรื่องนี้ขึ้นมา เลือกเอาลูกน้องไปทำ ลงทุนติดตั้งมอนิเตอร์ส่องได้ทุกสาขา สามารถจับแก๊งพวกนี้ได้จนยอดหนังสือที่เคยหายลดฮวบ เหมือนเราเป็นหัวหน้าสายสืบอย่างไงอย่างนั้น นอกจากยังประสานสามีส่งตำรวจปลอมตัวเข้าไปสืบแก๊งค้ายาเสพติดในคลังหนังสือนาน 2 เดือนเพื่อที่จับเอเย่นต์ตัวใหญ่ทำตัวเป็นมาเฟียที่แทบไม่เคยแตะของกลางได้เช่นกัน
เธอมีความภาคภูมิใจที่ช่วยงานตำรวจมาตลอดไม่ว่าสามีจะไปอยู่ที่ไหนจะทำโครงการหนังสือเพื่อน้อง ด้วยการบริจาคหนังสือให้ตำรวจเป็นคนคัดเลือกโรงเรียนที่ห่างไกลความเจริญ ขาดแคลนหนังสือ เพื่อเด็กๆ จะได้มีโอกาส เรียนรู้ ได้อ่านหนังสือเหมือนเด็กในเมือง ไปมอบตามโรงเรียนเพื่อสร้างมวลชนอีกทาง เป็นส่วนหนึ่งทำให้ได้โล่บริจาคประกาศเกียรติคุณในกิจกรรมครั้งนี้จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย
ส่วนอีกหน้าที่สำคัญ คือ งานของแม่บ้านตำรวจ คุณต้อยอธิบายว่า เพิ่งมาทำจริงจังตอนสามีเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากที่ผ่านมาอยู่กันคนละที่ ไม่มีเวลา ประกอบกับความรับผิดชอบเราอาจยังไม่ถึง แต่พอเป็นผู้การจังหวัดไม่ได้ เราต้องทำ ยิ่งเชียงใหม่เป็นเมืองตอนรับแขกระดับวีไอพี ไม่ไปไม่ได้ เป็นหน้าที่ที่เราต้องสละเวลาไป โชคดีที่เราขึ้นมาเป็นระดับบริหารแล้วพอจะปลีกเวลาบินไปได้ ทำให้เรามีโอกาสเรียนรู้สังคมแม่บ้านตำรวจมากขึ้น
เธอแนะนำว่า การเข้ามาทำกิจกรรมแม่บ้านตำรวจไม่ได้เป็นผลเสีย เพราะเราไม่ได้เข้าไปสืบว่า สามีเป็นอย่างไร แต่เป็นอะไรที่เราจะเรียนรู้ และรู้จักสามีเรา และผู้บังคับบัญชาหลายคนทำหน้าที่อะไร ระบบงานเป็นแบบไหน ทำให้เราเข้าใจสามีมากกว่าจะมาคอยจับผิด ส่วนที่จะมานินทา อาจมีบ้างในระดับเด็ก สำหรับผู้ใหญ่จะไม่ค่อยมี แต่สามีบางคนไม่เข้าใจจึงไม่ชอบให้ภรรยาเข้ามาทำงานแม่บ้านตำรวจ ทั้งที่เป็นเหมือนงานสังคม งานบางงานจะส่งเสริมสามีด้วยซ้ำ ถ้าไม่ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับเขามาก ถือเป็นบวกมากกว่าลบ
“จะว่าไปแล้ว เราจะคอยสร้างสมดุลกับสามีนะ เขาเป็นคนดุ ลูกน้องเกลียดตามสไตล์ที่คนชอบด่าตรง ๆ แต่เราเป็นอีกแบบ คนทั่วไป หรือตำรวจลูกน้องสามีจะชอบเรา เพราะเราช่วยดูแล คอยให้คำปรึกษา พูดคุย มีอะไรช่วยเหลือได้ก็จะช่วย แต่ส่วนตัวเรากับสามี บางครั้งต้องเลือกดูจังหวะ ถ้าเขาดุ เราก็เฉยๆ ไม่สวน คือ เรารู้นิสัยเขา บางเรื่องเราก็มองต่างในการทำงานของสามี เราจะเตือนเขา เตือนในมุมมองที่ไม่ใช่ฐานะเมีย แต่มองแบบคนนอก เหมือนสังคมมองอยู่ คนทั้งประเทศมองอยู่” คู่ชีวิตนายพลคนดังว่า
ถึงกระนั้น เธออยากฝากมุมคิดไปถึงแม่บ้านตำรวจทุกคนว่า อย่าเปรียบเทียบชีวิตครอบครัวตัวเองกับคนอื่น เห็นคนนั้นมีแล้วอยากมี ไปกดดันสามีให้ต้องไปหา สุดท้ายก็ต้องออกนอกลู่นอกทางไปกระทำความผิดเพื่อให้ได้มาสิ่งที่ภรรยาต้องการ