“การจะเป็นเมียตำรวจ เราต้องเป็นตัวเราเอง ต้องไม่สร้างปัญหาให้เขา”

ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายสินค้าและของที่ระลึก บริษัท จีดีเอซ ห้าห้าเก้า จำกัด ในเครือแกรมมี่

คุณพริก-พีชานุช ฮักหาญ ภรรยาสาวคนเก่งมาดเซอร์ของ พ.ต.ท.ณัฐพงษ์ พรมไพร รองผู้กำกับการสืบสวนสถานีตำรวจภูธรกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 56

เธอสู้ชีวิตมาตั้งแต่วัยเด็ก กำพร้าพ่อตอนอายุ 12 ขวบ อยู่กับแม่ และพี่สาว ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทันทีที่จบมัธยมโรงเรียนเบญจมเทพอุทิศจังหวัดเพชรบุรี เลือกไปเรียนคณะมนุษยศาสตร์ สื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้วยความตั้งใจเดิมอยากเป็นนักข่าว เพราะเคยไปฝึกงานสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นของจังหวัดเพชรบุรี

ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัยยังได้ฝึกงานข่าวสายอาชญากรรมกับช่อง 3 ยิ่งเพิ่มแรงบันดาลใจอยากสวมบทนักข่าวอาชญากรรมมากขึ้นไปอีก แต่พอเอาเข้าจริงกลับได้เริ่มงานบริษัทอาร์เอสฟิล์ม จำกัด โปรโมตภาพยนตร์ในเครืออาร์เอส

คุณพริกเล่าว่า ทำได้ 3-4 เดือน ก็ลาออก เพราะไม่ชอบทัศนคติบางอย่าง แต่ก็ยังอยากทำงานที่เกี่ยวกับข่าว ตัดสินใจว่าจะไปสมัครทำงานด้านข่าว แต่เหมือนงานเลือกเรา พี่ที่บริษัท จีทีเอช ในอดีต มาเจอจึงชวนไปทำงานอยู่ฝ่ายประสานงาน ทำจากสิ่งที่เราไม่เคยรู้เลยว่า หนังเขาทำอะไรกัน ก็ได้เรียนรู้ ชิ้นงานโปรโมตหนัง  ถ่ายโปสเตอร์หนัง มีเดียของหนัง ทำทุกอย่าง เป็นโชคดีที่เราได้ทำงานกับคนเก่ง สอนงานให้ลงสนามจริง ได้ลองผิดลองถูก

“จีทีเอซมันเป็นเหมือนบ้าน ไม่เหมือนบริษัท ทำงานเป็นครอบครัว ช่วยเหลือกันจริงๆ แล้วทุกคนก็มีบทบาทหน้าที่ เคารพเชื่อถือ ไว้วางใจกันในการทำงาน ไม่ได้หมายความว่า เด็กจะไม่สามารถเป็นผู้นำได้ เด็กก็เป็นผู้นำได้” เธอว่า ก่อนจีทีเอซจะปิดตัว ผู้บริหารเห็นความสามารถเลยดึงมาทำงานแผนกของที่ระลึก กลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตทำให้มาเจอคู่แท้

ผู้จัดการสาวเผยเรื่องราวว่า ช่วงนั้นเพิ่งเลิกกับแฟน เขาเข้ามาเติมเต็มบางอย่างพอดี เป็นอะไรที่บังเอิญด้วย เจอเขาครั้งแรกไม่ได้สะดุดอะไร จำแม่นว่า เป็นวันที่ 5 ธันวา นัดกับแม่จะไปจุดเทียนชัยถวายพระพรที่สนามหลวง แต่เราแยกมาเดินหาซื้อของที่ประตูน้ำกับเพื่อนก่อน ปรากฏว่า รถติดมาก แท็กซี่ไม่ยอมไปสนามหลวง ขับมาส่งแค่หน้ากองกำกับการสืบสวนนครบาล 1 ถนนศรีอยุธยา

เป็นจังหวะที่เพื่อนของเธอรู้จักตำรวจที่สืบสวน 1 เลยโทรศัพท์ไหว้วานให้ขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งสนามหลวง “เขากับเพื่อนตำรวจอีกคนซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนพริกอาสาขี่มอเตอร์ไซค์ไปให้ แว่บแรกไม่รู้หรอกว่า เขาเป็นนายตำรวจตำแหน่งรองสารวัตร ดูผอม ๆ เก้งก้าง ตัวพริกเองยิ่งไม่ค่อยรู้เรื่องตำรวจด้วยซ้ำ ไปส่งสนามหลวงก็ขอบคุณแล้วแยกกันไป”

และแล้วเหมือนมีอะไรมาดลใจให้ทั้งคู่มาเจอกันอีกในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

คุณพริกบอกว่า จุดเทียนถวายพระพรเสร็จเรียบร้อย ไม่เจอแม่ เพราะคนเยอะมาก กำลังจะกลับบ้าน เพื่อนให้แวะไปที่กองสืบก่อน เพราะต้องไปเอาของ เจอเขานั่งอยู่และชวนกินข้าว ในใจคิดว่า ไม่ได้แล้ว ต้องกลับบ้าน 5 ทุ่มกว่าแล้ว แม่กลับไปรออยู่ สุดท้ายก็เกิดอาการเกรงใจ เพราะเขาอุตส่าห์ขี่รถไปส่ง แต่มีข้อแม้ขอให้ไปกินแถวบ้าน เลยพากันไปนั่งร้านข้าวต้มตรงรัชดาภิเษก มีเพื่อนเขากับเพื่อนเราด้วย ยอมรับว่า อึดอัด ปกติไม่ชอบตำรวจ ระหว่างกินข้าวพยายามวางฟอร์มเป็นทอมดี้ แสดงตัวให้เห็นว่า อย่ามาจีบนะ คิดอย่างเดียว เร่ง ๆ กินให้เสร็จจะได้กลับบ้าน แต่โดยมารยาท ต้องกินให้เสร็จก่อน

วันรุ่งขึ้น เพื่อนหญิงคนเดิมชวนไปดูหมอ เธอหัวเราะเล่าว่า เพื่อนดันชวนเขามาด้วย เสร็จแล้วเขาก็ขับรถมาส่ง เราก็รู้สึกเฉย ๆ ไม่ได้คิดอะไร ระหว่างทางถามเขาว่า เหมือนคนทั่วไปถาม ทำไมถึงอยากเป็นตำรวจ คนเกลียดตำรวจกันเยอะ ทำไมถึงอยากเป็น แล้วไม่กลัวตายหรือ ถามแบบซื่อ ๆ เขาพูดตอบมา คำตอบนั้นมันเปลี่ยนชีวิตเราเลย เขาบอกว่า ชีวิตเขาตายตั้งแต่วันที่เขาตัดสินใจเป็นตำรวจแล้ว และเขาไม่ได้รู้สึกว่า เขามีอาชีพเป็นตำรวจ แต่เขาเป็นตำรวจอาชีพ

“คำพูดนั้น ทำให้พริกรู้สึกว่า เฮ้ย มันไม่เสี่ยวเลยนะ ทำให้พริกมองภาพตำรวจดีขึ้น ก็คิดว่า ตำรวจคนนี้ดีว่ะ คิดแบบว่า ถ้าพริกจะมีเพื่อนเป็นตำรวจสักคน สำหรับคนนี้คงคบได้ เพราะมีอุดมการณ์ ทำให้รู้สึกดีขึ้น แต่หลังจากนั้นเขาก็เดินหน้าจีบหนูเลย มารับส่งตลอด เขาตามจีบยาวเลย” ผู้จัดการสาวย้อนวันหวาน

กระทั่งวันใหม่ คุณพริกว่า เขาต้องทำงานอยู่กรุงเทพฯ เราต้องกลับหัวหิน เขาโทรมาแฮปปี้นิวเยียร์ แล้วบอกว่า จะมาหาที่หัวหิน เรายังคิดว่าจะมาได้ไง เมื่อยังต้องทำงาน แต่มันเป็นช่วงได้เบรกของเขา เขาว่า เขามีเวลาแค่ไหร เขาจะชี้ให้มันมีค่า รุ่งขึ้นเขาก็มากับเพื่อนตำรวจอีกคน เราให้ไปพักบ้านริมทะเลของพ่อที่ไม่มีใครอยู่ บอกให้ไปหากินข้างหน้าเอาเอง ทว่าหลังจากวันนั้นเขาเข้าหาแม่ ทำทุกอย่างจากวันที่แม่ไม่ชอบก็ใจอ่อนยอมให้เราคบเป็นแฟนกัน

ผ่าน 3-4 เดือน ฝ่ายชายขึ้นสารวัตรอำนวยการต่างจังหวัด แต่อาสาไปช่วยราชการ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นอีกจุดเปลี่ยน ทำให้แม่ฝ่ายหญิงรักและเป็นห่วงมากขึ้น ถึงกระนั้นการทำงานปลายด้ามขวาน 15 วัน จะได้พัก 15 วัน วันพักของเขาต้องแบ่งเวลาไปหาแม่เขาที่ต่างจังหวัด เหลือ 5 วันสุดท้ายจะรับส่งฝ่ายหญิงที่ทำงานชวนกันนไปกินข้าวตอนเย็น “ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีนะ ที่เขาได้พิสูจน์ตัวเอง เขาบอกพริกว่า ต้องทำงานอยู่ที่ชายแดนภาคใต้ พริกไม่ต้องรอนะ ถ้าพริกจะมีใครคนใหม่ ก็มีได้เลย ไม่ต้องดราม่าเป็นนางเอกว่า ฉันจะรอเธอ พริกเลยคิดว่า เฮ้ย แมนมากเลยว่ะ ก็เคยชวนเขาว่า ไปซื้อคอนโดอยู่ด้วยกันไหม เผื่ออนาคต เขากลับบอกว่า พริก ต้องมั่นใจในตัวเขามากกว่านี้ อย่าเชื่ออะไรจากคนอื่นง่ายๆ”

“ คือ เขาเป็นคนที่มีเหตุมีผล เป็นคนใจเย็น เป็นคนที่เขาทำอะไรได้ทุกอย่าง ขณะที่พริกเป็นคนใจร้อนมาก บางทีเวลาจะทะเลาะกัน มันเป็นเรื่องของอารมณ์จะให้มาใช้เหตุผลอะไรกันคงไม่ได้ แต่เขาเอาเหตุผลมาคุยกับพริกได้ ช่วงที่เขาอยู่ไกล เวลาพริกขับรถกลับบ้านฟังเพลง พริกร้องไห้เลยนะ แล้วโทรไปหาเขา ถามว่า เรายังเป็นแฟนกันอยู่หรือเปล่าวะ เขาก็ยืนยันยังรักพริกเหมือนเดิม ทำให้พริกรู้สึกว่า เขาเป็นคนที่ทำให้พริกรู้สึกว่า อยากแต่งงานกับเขาตั้งแต่ปีแรกที่ได้เจอกัน”

ถึงกระนั้น นายตำรวจหนุ่มนักสืบยังใจแข็งบอกปัดแฟนสาวตลอดให้มั่นใจในตัวเขาก่อนว่า จะอยู่กับเขาได้จริงหรือไม่ เพราะเขาเป็นตำรวจ คุณพริกน้ำเสียงจริงจังว่า ประเด็นเรื่องเป็นตำรวจตัดทิ้งไปได้เลย เวลาไปไหน ใครถาม ก็บอก แต่ทุกคนก็จะไม่เชื่อ เราไปทำงานต่างจังหวัด เขาอยู่อีสาน เขาก็จะขับรถไปหา เพื่อนทุกคนของเราแซวว่า ตำรวจโปรโมชั่นแรงอย่างนี้ทุกคนไหม เขาตอบว่า ของเขาไม่ใช่โปรโมชั่นแรง แต่โปรโมชั่นยาว ยาวนานมาก ทุกวันนี้ก็ยังเป็นแบบนั้น เวลาทั้งหมดที่นอกเหนือจากงาน เขาให้เราหมดเลย

บทพิสูจน์ความรักยาวนาน 5 ปีกว่าจะลงเอยด้วยการแต่งงาน เจ้าสาวผู้โชคดียิ้มภูมิใจว่า ต้องรอเขาพร้อม เขาคิดว่า เป็นลูกชาวนา ไม่มีเงินทองมากมาย เขาไม่โกงกิน เราภูมิใจมากตรงนี้ แม่ยังบอกว่า ถ้าเขาเป็นตำรวจแล้วเขารวย ก็น่าแปลก การที่เขามีแค่นี้ เป็นเท่านี้เราก็น่าจะภูมิใจมากกว่า วันที่เขาขอแต่งงานเกือบเป็นวันที่เลิกรากันแล้วด้วยซ้ำ

“พริกทะเลาะกับเขาว่า เราเลิกกันเหอะ ตอนนั้นเขากำลังไปศรีสะเกษ ขับรถถึงโคราช พริกไม่รู้หรอกว่า เขานัดกับเพื่อนจะมาหัวหิน มาขอแม่ กะทำเซอร์ไพรส์ พริกรู้สึกแย่มาก  คิดว่า เราเลิกกันแล้ว จนแม่โทรศัพท์มาบอกว่า เขามาสู่ขอ พริกบ่อน้ำตาแตกเลย ดีใจ เหมือนว่า จะได้เริ่มต้นชีวิตคู่จริงๆ สักที พอแต่งงานกันแล้วก็เหมือนเดิม เขาก็ยังอยู่ไกล ชีวิตไม่ได้เปลี่ยน แต่ก็ได้ใกล้ชิดกัน ไปมาหาสู่กันได้ เดือนหนึ่งเจอกันประมาณ 2-3 วัน เหมือนทำให้เรารักและคิดถึงกันมากขึ้น”

 “จริงๆ การจะเป็นเมียตำรวจ เราต้องเป็นตัวเราเอง ต้องไม่สร้างปัญหาให้เขา เพราะพริกรู้สึกว่าหน้าที่การงานของเขา การที่เขารับบทบาทนี้ มันหนักหนากว่าอาชีพที่เราทำ งานพริก มันงานสร้างความบันเทิง เวลาที่อยู่กับเขาก็จะพยายามไม่สร้างปัญหา คนก็คิดว่า เป็นเมียนายตำรวจนะ ดี รวย มีกิน มีใช้ ในความเป็นจริง มันไม่ใช่นะ อาชีพข้าราชการไทย มันก็ยังเป็นอาชีพข้าราชการไทยวันยันค่ำ คนที่จะอยู่ด้วยกับเขาต้องเข้าใจเขาจริงๆ” ภรรยารองผู้กำกับสืบสวนภูธรภาคอีสานว่า

เธอยังมีมุมมองว่า ได้ยินเสียงคนนอกด่าตำรวจ โน่นนี่นั่น สำหรับเราคิดว่า โรงเรียนนายร้อยตำรวจ สอนให้เขาเป็นสุภาพบุรุษมาก สอนให้ผู้ชายเป็นผู้ชายจริงๆ มีระเบียบมาก ลุกจากเตียง ผ้าปูต้องตึง ความอดทน ความเสียสละเขาจะมีมาก ต่างจากเราที่ผ่านระบบมหาวิทยาลัย ทำให้เข้าใจในตัวสามีเป็นอย่างดี

 

RELATED ARTICLES