“หน้าที่ของเราก็คือ อยู่หลังบ้าน ทำข้างหลังให้ดีที่สุด”

 

ระคองชีวิตคู่มานานร่วม 14 ปี

“คุณเป้”สุขุมาล ชิงดวง ถือเป็นภรรยาสาวแสนดีสมเป็นหลังบ้านของนายพลตำรวจคนดัง พล.ต.ต.สมพงษ์ ชิงดวง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล

เธอเกิดกรุงเทพฯ เป็นลูกสาวอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ จบมัธยมโรงเรียนสตรีวิทยา 2 แล้วบินไปเรียนต่อวิชาการโรงแรม ประเทศอังกฤษ ด้วยเหตุผลว่า ห้วงเวลานั้นธุรกิจการโรงแรมในเมืองไทยกำลังบูมควบคู่ไปกับการท่องเที่ยว เริ่มมีโรงแรมใหม่เกิดขึ้นเยอะ แต่คนที่รู้เรื่องการโรงแรมจริงกลับมีน้อยต้องเอาฝรั่งมาคุม

ลูกสาวพ่อเมืองถึงเลือกเรียนตรงสายงานในแดนผู้ดีใช้เวลา 2 ปีครึ่งเก็บเอาวิชาความรู้มาทำงานเป็นพนักงานขายฝ่ายจัดเลี้ยงและห้องพักโรงแรมบางกะปิ รอยัลโรส กลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความรักกับสารวัตรหนุ่มกองปราบปราม

คุณเป้ย้อนความทรงจำว่า ฝ่ายชายกำลังเรียนปริญญาโทสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า ต้องมาติดต่อจัดเลี้ยงและที่พักกับโรงแรมอยู่ประจำ ทำให้ได้พูดคุยกัน ตอนแรกเราก็เฉย ๆ ไม่คิดอะไร ไม่ชอบตำรวจ ไม่ชอบคนในเครื่องแบบ รู้แค่ว่า เขาเป็นสารวัตรสายตรวจวิทยุกองปราบปราม เรายังลำดับยศตำแหน่งไม่ถูกเลย

“จีบกันตอนไหนหรือ ตั้งแต่แรกเลยมั้ง”คุณเป้ยิ้มอารมณ์ดีก่อนบอกด้วยน้ำเสียงเข้มว่า จริง ๆแล้วเราไม่ค่อยอะไร ไม่คิดจะแต่งงานด้วยซ้ำ เหมือนกับเราอยู่ได้ การงานก็โอเค ไม่ชอบชีวิตแต่งงาน มันเป็นแนวคิดของผู้หญิงสมัยใหม่ รู้ว่า มันเป็นภาระ บางคนก็ไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าเราอยู่ได้ เราก็อยู่ด้วยตัวของเราเอง เราค่อนข้างชอบชีวิตอิสระมากกว่า

แต่ผลสุดท้ายเธอก็ต้องแหกกฎตัวเอง สาวผู้มาดมั่นเล่าการตัดสินใจครั้งนั้นว่า หลังคบหาดูใจได้เกือบปี เรียนรู้นิสัยกันรู้ว่า เขาโอเค ตอนแรกก็ยอมรับว่า กล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนยอมแหกกฎ เพราะดูเหมือนเขาจริงใจดี ชอบช่วยเหลือ เวลามีอะไรก็คอยดุแล ส่วนดีของเขา คือเรื่องงานก็ขยัน เขาทุ่มเทกับงานมาก ส่วนเราก็ทุ่มไปกับงานเหมือนกัน เราคุยกันด้วยความเข้าใจมากกว่า เหมือนผู้ใหญ่คบกัน ไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว เขามีส่วนตัวของเขา เราก็มีส่วนตัวของเรา ก็อยู่กันได้ มันก็ลงตัวดี

“ชีวิตหลังแต่งงาน แทบไม่เปลี่ยนเลย เพราะเราใช้ชีวิตแบบเดิม เขาก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ไม่ได้มาเฟคกัน เหมือนกับเขายอมรับในสิ่งที่เราเป็น เราก็ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น เราแค่ลาออกจากโรงแรมมาทำร้านอาหารบ้านสวนอยู่สุขุมวิท 20 ด้วยความที่อยากลอง เพราะอยู่ด้านโรงแรม จัดเลี้ยง มีประสบการณ์มาตลอด ทำเพื่ออยากสร้างตัวเราขึ้นมา อย่างเขาก็เป็นตำรวจที่สร้างตัวเองขึ้นมาเหมือนกัน”

ปัจจุบัน คุณเป้ประสบความสำเร็จในธุรกิจร้านอาหารอยู่พอสมควร เธอนำเอาประสบการณ์จากเปิดร้านย่านสุขุมวิทไปทำที่ซอยเสนานิคม ก่อนขยับขยายเปิดกิจการบนที่ดินของตัวเองในซอยมิสทีน ถนนรามคำแหง ในชื่อร้านส้มตำยกซด และใช้เวลาว่างเลี้ยงลูกบุตรชายทั้ง 2 คน ประกอบด้วย ป๊อบนิว-พงษ์สุข ชิงดวง  และปอมปอม-กรธน ชิงดวง ทำหน้าที่แม่บ้านเต็มตัว

ถามว่า เหนื่อยไหม เธอว่า สามีจะเหนื่อยมากกว่า เพราะเราจะพยายามไม่เข้าไปตรงชีวิตงานเขา แต่เราจะอาศัยการยอมรับมากกว่า ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ยอมรับสังคมของเขา แต่ถามว่าเข้าใจไหม ไม่เข้าใจหรอก เพราะเรายังไม่เข้าใจตัวเราเองเลย ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็รับได้ ถ้ารับไม่ได้มันก็จะมีปัญหา จะใช้การยอมรับมากกว่า ประคองชีวิตครอบครัวกันไป

ทว่าห้วงเวลาสาหัสสุดของบ้านชิงดวงเห็นจะเป็นตอนฝ่ายชายโดนคำสั่งย้ายด่วนเป็นผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรยี่งอ จังหวัดนราธิวาส  คุณเป้รับว่า ครอบครัวรู้สึกหนักมาก ลูกยังเล็กอยู่ ลูกคนเล็กเพิ่ง 2 ขวบ แต่เราต้องอยู่ได้ ก็บอกเขาว่า อยู่ได้ ไม่เป็นไร ถ้าเราเครียด เขาก็จะเครียดตาม เขาก็โอเค ไปตามสบาย เราจะพยายามไม่ให้เขาห่วง มันจะถ่วง ครอบครัวคนอื่นก็ไปเหมือนกัน ไม่ใช่ครอบครัวเราคนเดียว ข้าราชการหน่วยอื่นก็ไปเหมือนกัน หัวใจเดียวกันทั้งนั้น

ภรรยาสาวคนแกร่งมองว่า เรื่องการโยกย้ายหน้าที่การงานของข้าราชการนั้น ถือเป็นเรื่องปกติ ในชีวิตคู่ที่ผ่านมา เราสองคนเคยเจอสถานการณ์แบบนี้บ่อยครั้งจนไม่รู้สึกกลัวอะไร สิ่งที่อยากบอกกับสามีคือ ขอให้ไปทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ย้ำเสมอว่า ไม่ว่าจะไปทำงานในที่แห่งไหน ที่นั่นก็คือประเทศไทยเหมือนกัน กับลูกทั้งสองคนจะทราบดีว่า พ่อต้องทำหน้าที่จับโจรผู้ร้าย ทำงานเสียสละเพื่อประเทศ

“เราจึงบอกลูกอยู่เสมอว่า คุณพ่อไปจับผู้ร้ายนะ เขาทั้งสองก็จะรับทราบเป็นอย่างดี แต่เชื่อว่าลูก ๆ คงยังไม่รู้หรอกว่า 3 จังหวัดภาคใต้นั้นมีความรุนแรงยังไง เราก็ไม่ไปย้ำให้ลูกรู้สึกว่าที่ที่พ่อต้องไปทำงานนั้นมีความเสี่ยง กลัวว่าลูกจะเกิดความสับสน” คู่ทุกข์นายตำรวจคนกล้าเผยความรู้สึกในยามที่สามีต้องลงพื้นที่ปกป้องประเทศตอนนั้น

“ห่วงนะ ทุกวันก็ตามข่าวว่า มีระเบิดที่ไหน มีลอบยิงในพื้นที่หรือเปล่า ก่อนหน้าเขาเคยลงไปอยู่แล้ว เราก็ชิน ยอมรับได้บ้าง ยิ่งถ้าเรามีอะไรทำ มันก็จะรู้สึกว่า มันไม่นาน จริง ๆ ถามว่า งานในกรุงเทพฯ ถ้าเป็นคนที่ทำงานแบบนี้ก็เสี่ยงอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจับยาบ้า หรือจับโจร เขาเสี่ยงทุกวันอยู่แล้ว เพียงแต่ตรงนั้น สถานการณ์มันดูเหมือนอันตรายทั้งจังหวัด อาศัยคุยกันประจำ แม้งานของเขาไม่เป็นเวลา ว่างตอนไหนโทรได้เขาก็โทร พยายามถามสารทุกข์สุขดิบ ถามเรื่องลูกมากกว่า”

ถึงกระนั้นก็ตาม เธอยังหาเวลาว่างหอบลูกลงใต้ไปเยี่ยมส่งกำลังใจแก่สามีบ่อยครั้ง แต่ไม่ได้เข้าพื้นที่ เนื่องจากฝ่ายชายขอร้องให้เจอกันแค่หาดใหญ่ สงขลา ครอบครัวชิงดวงถึงอบอุ่นไร้ปัญหาอมทุกข์ยามเสาหลักเสียสละทำงานเพื่อประเทศชาติ กระทั่งผ่านวิกฤติความห่างเหินกลับมาทำงานอยู่ในเมืองหลวง

คุณเป้ว่า รู้สึกสบายใจขึ้น ความห่วงน้อยลง แต่เหมือนว่า สามีเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเป็นคนหัวเราะง่าย คุยง่าย กลายเป็นคนเครียด ระวังตัวมากขึ้น เราต้องใช้วิธีตั้งรับ ตอนแต่งงานเขาก็เป็นตำรวจอยู่แล้ว การยอมรับของเรา ต้องมีอยู่แล้ว นี่คือหน้าที่ของเขา ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่จะให้มานั่งลุ้นอะไร เราไม่ยุ่งเลย เราทำงาน มีหน้าที่ของเรา ทำภาระตรงนี้ให้ดีที่สุด โดยเฉพาะการเลี้ยงลูก เขาก็ทำหน้าที่ของเขาให้ดีที่สุด

“พอเข้ามาเป็นครอบครัวตำรวจ เราก็เข้าใจ จากที่เราไม่ชอบ เริ่มเข้าใจชีวิตตำรวจมากขึ้น บางคนน่าสงสาร บางครอบครัวแตกแยกไปเลย เราก็ต้องหนักแน่น อดทน ตำรวจมีอะไรเข้ามาหลายอย่าง ทั้งดีและไม่ดี เราก็เลือกแต่สิ่งที่ดี ๆ เอาไว้ ไม่ได้ไปยึดติด ปล่อยวาง เราเป็นแม่บ้าน หน้าที่ของเราก็คือ อยู่หลังบ้าน ทำข้างหลังให้ดีที่สุด ตรงข้างหน้าอย่าไปลุ้นกับเขามากนัก ไม่อย่างนั้นจะคอยกังวล เราไม่เคยสนใจด้วยซ้ำเวลามีการแต่งตั้งโยกย้าย จะว่าอย่างไรก็ว่าไป เขามีฝันของเขา ถ้าเขาทำอะไรให้ได้ถึงฝันก็ดีไม่ใช่หรือ แต่ฝันของเรา พอเป็นแม่บ้านเรามีฝันที่ต้องเทไปทางลูกแล้ว เราต้องสร้างอนาคตของลูกดีกว่าให้เขาเติบโตไปในทางที่ดี ส่วนสามีก็ปล่อยเขาเต็มที่ไปไม่ต้องห่วง เราเป็นแค่กำลังใจ แรงเขายังเยอะอยู่ก็เต็มที่”แม่บ้านตระกูลชิงดวงให้แง่คิด

ส่วนปัญหาทะเลาะเบาะแว้งไม่เข้าใจกัน เธอว่า มักเป็นการเถียงเรื่องลูกมากกว่า เขาจะค่อนข้างเข้มงวด เน้นระเบียบวินัย พอมาถึงเรา เราก็จะปล่อยหย่อนลง จะทะเลาะกันตรงนี้ เราแก้ปัญหาด้วยการบอกเขาว่า หน้าที่แม่บ้านเป็นหน้าที่ของเรา ส่วนเขานอกบ้านนะ ในบ้านต้องของเรา คนละครึ่งดีไหม ถ้าพ่อสอนเราไม่ยุ่ง เราจะเดินหนี แต่พอถึงเวลาของเรา เราก็จะแอบหย่อนให้ ดูให้สมดุลกัน ไม่ให้เครียดในบ้าน

“ตลอด 14 ปีที่อยู่กันมา สุขทุกข์คงเหมือนกันทุกครอบครัว เพียงแต่เราจะเลือกอะไร เลือกเอาทุกข์ไว้ หรือเอาสุขไว้ ประคองมันได้ ถ้าเราอดทน เราหนักแน่น มันก็ไปได้เรื่อย ๆ ต้องทั้งอด ทั้งทน ทั้งหนักแน่น จริงๆ แล้ว ถ้าเราอยู่อย่างพอเพียง เราไม่มองสังคมรอบด้านมากนัก เราอยู่ได้อย่างสบาย และมีเกียรติ แต่ถ้าไปตามสังคม ไปตามกระแส หรืออะไรมากมายมันก็อยู่ไมได้ ตำรวจมีอะไรเข้ามาให้ลองใจเยอะมาก อยู่ที่ชีวิตจะเลือกทางไหน”

ขวัญชีวานายพลเมืองเหนือบอกด้วยว่า ตอนตัดสินใจแต่งงาน ที่บ้านก็ถามว่าแน่ใจหรือ พอบอกว่าเป็นตำรวจ แม่ยังเกาหัวเลย เหมือนกับเราหักมุม เราไม่ชอบ ชีวิตราชการเห็นจากพ่อ ต้องอยู่ต่างจังหวัด ย้ายบ่อย แม่ก็ต้องเลี้ยงลูก เหมือนที่เราเป็นตอนนี้ ทำให้เราเข้าใจ ครั้งหนึ่งเราไม่อยากเป็นแบบนั้น พอมาเป็นแล้วก็ต้องทำให้เรารับได้ คล้ายมีประสบการณ์มาก่อนว่าอยู่อย่างไร เลี้ยงลูกอย่างไร

 

RELATED ARTICLES