“เป็นนางเอกมากไปก็ไม่ดี นางร้ายมากไปก็ไม่ดี”

ารที่คนเรามาเจอกันไม่ใช่ด้วยเรื่องบังเอิญ

ความรักของ คุณอิ๋ว-เสาวลักษณ์ ทาแจ้ง อาจารย์ประจำสาขาการพยาบาลอนามัยชุมชน มหาวิทยาลัยราชธานี วิทยาเขตอุดรธานี ภรรยาสาว พ.ต.ท.อติโรจน์ ทาแจ้ง รองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรกุดจับ จังหวัดอุดรธานี นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 50 คงไม่แตกต่างกัน

เธอเกิดจังหวัดหนองคาย พ่อรับราชการทหารที่ต่อมาผันตัวไปเล่นการเมืองท้องถิ่นตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลรัตนวาปี อำเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย ส่วนแม่ทำสวนยาพารา และประกอบธุรกิจส่วนตัวรับเหมาขนหิน ดิน ทราย

วัยเด็กเรียนอนุบาลโรงเรียนเซนต์ยอแซฟสกลนคร ก่อนตามพ่อมาอยู่จังหวัดอุดรธานี เป็นเหตุให้ย้ายมาเรียนต่อโรงเรียนหมากแข้ง จากนั้นเข้ามัธยมโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย มีความตั้งใจในวันเด็กอยากจะเป็นครู  พอโตขึ้นได้ไปอยู่ห้องคิงส์กับกลุ่มเด็กเรียนพาให้เปลี่ยนความคิดหันเหไปเรียนพยาบาล หลังจากสอบเข้าวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดสระบุรี สถาบันสมทบของมหาวิทยาลัยมหิดล

เพียง 2 ปีของชีวิตนักเรียนพยาบาลได้พบกับนักเรียนนายร้อยตำรวจหนุ่มชั้นปี 4 ในยุคการสื่อสารออนไลน์ยังไม่เฟื่องฟูเหมือนปัจจุบัน ทั้งคู่เจอกันเพราะเพื่อนแชตสนทนากันในโปรแกรมเลม่อนออนไลน์แล้วนัดเจอกันชายทะเลบางแสน จังหวัดชลบุรี เจ้าตัวย้อนวันแรกพบว่า เราแค่เป็นเพื่อนของเพื่อนไม่ได้เกี่ยวอะไรเท่าไหร่ คล้ายเพื่อนนางเอก ส่วนเขาเป็นเพื่อนพระเอก รวมกลุ่มกันไปเที่ยวทะเลช่วงวันหยุด นัดกันครึ่งทาง ฝ่ายเขามาจากสามพราน ฝ่ายเราไปจากสระบุรีเป็นกลุ่มใหญ่

  เจอกันครั้งแรก ต่างคนต่างไม่รู้จัก ไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ พอมาคุยกัน รู้สึกว่า เขาเป็นคนที่ดูแล เทคแคร์เก่งมาก ดูแลเรากับเพื่อนทุกคน ก่อนต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันกลับ หลังจากวันนั้น เขาก็ส่งข้อความมาคุย แรกๆ ไม่ชอบหรอกนะ ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร แล้วจะมีโอกาสสานสัมพันธ์มาถึงวันนี้ไหม คงเป็นวัยหนุ่มสาวทั่วไป คุยกันได้ ให้โอกาสได้ศึกษากัน”

จากส่งข้อความคุยกันจนพัฒนาไปเป็นการโทรศัพท์คุยกันทุกวันได้ประมาณ 2 เดือน เธอตัดสินใจลองคบหาเป็นแฟนกัน คุณอิ๋วบอกว่า เป็นช่วงที่ฝ่ายชายยอมเปิดใจอยากหยุดที่เรา และด้วยความเป็นเด็ก เขาพูดอะไรเราก็เชื่อหมด เพราะเขาดูเป็นผู้ใหญ่กว่า ทั้งการเรียนและอาชีพการงานในอนาคตของเขาด้วย  พอเขาเรียนจบได้ลำดับดีเลือกตำแหน่งได้ ตกลงกันว่า จะเริ่มต้นชีวิตกันที่อุดรธานี เหตุผลตรงบ้านเขาอยู่ชุมแพ ขอนแก่น ส่วนเราอยู่หนองคายสะดวกกันครึ่งทางทั้งสองฝ่าย สุดท้ายเขาเป็นรองสารวัตรที่เมืองอุดรธานี ส่วนเราบรรจุเป็นพยาบาลโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี

มั่นใจแล้วว่าคนนี้ใช่ ตั้งแต่คุยกันมา ก็คุยแบบว่าใช่ ไม่มีแบบคล้ายๆ ว่า คบกันไปก่อนไหม คือเขาชัดเจนมาตั้งแต่แรกว่าอยากจะอยู่กับเรา อยากอยู่ด้วยตลอดชีวิต เราก็เชื่อ เราไม่เคยมีแฟนมาก่อนด้วย พ่ออิ๋วหวงมาก พอพ่อรู้ว่า คบตำรวจก็จะดูว่ามั่นคงไหม ถ้าหากโอเคก็ปล่อย เป็นวัยที่ปล่อยได้แล้ว ถ้าเป็นตอนมัธยม พ่อจะไม่ปล่อยเลย กลัวลูกจะเสียคน ขนาดเพื่อนมารับที่บ้านยังไม่ให้ไปเลย ตอนที่เพื่อนๆ ในกลุ่มรู้ว่าเรามีแฟน ยังตกใจเลยว่าเป็นไปได้ยังไง พ่อไม่ว่าหรือ” ลูกสาวนักการเมืองท้องถิ่นจังหวัดหนองคายว่า

เธอยอมรับว่า อาชีพรับราชการเรื่องการโยกย้ายเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งช่วงนั้นไม่ได้คิดลึกอะไรขนาดนั้นว่าจะวุ่นวายกระทบครอบครัว อะไรอย่างนี้ มีเพื่อนโทร.มาถามเหมือนกัน คิดแค่ว่า ได้รักกันแค่นั้นพอ พอเราเรียนจบพยาบาลเขาก็หมั้นไว้ก่อน หลังจากนั้นถึงแต่งงานตามแผนที่เราสองคนวางไว้ ว่าถึงชีวิตแต่งงานไม่เปลี่ยนเท่าไร เพราะบทบาทหน้าที่ของเราคล้ายกัน รับราชการเหมือนกัน ไม่มีเวลาจะมาอะไรกันมาก เข้าใจกันดี

พยาบาลสาวกับนายตำรวจหนุ่มร่วมกันกำเนิดทายาทเป็นพยานรักของทั้งสอง คือ “น้องสายขิม” วิศัลยา ทาแจ้ง และ “น้องขุนศึก” อธิษฐ์ ทาแจ้ง เจ้าตัวสารภาพว่า การมีลูกชีวิตก็เปลี่ยนไปอีก มีความรับผิดชอบมากขึ้น แรกๆ จากวัยเปลี่ยนผ่านที่สามีติดความเป็นผู้นำ ยังไม่เคยต้องมาดูแลใคร เราจะเป็นหลักที่จะคอยรับส่งลูก และวางแผนครอบครัว เพราะครั้งแรกทำงานเป็นพยาบาลเข้าเวรเช้า บ่าย ดึก เมื่อมีลูกก็จำเป็นต้องสละ ตัดสินใจลาออกมาเพื่อลูก ปล่อยให้สามีทำงานได้เต็มที่

ประจวบเหมาะที่มหาวิทยาลัยราชธานีเปิดรับสมัครอาจารย์พยาบาลพอดี เธอเลือกไปลองสมัครดู เพราะเห็นว่ามีเวลามากขึ้นกว่าทำงานโรงพยาบาล มีวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ หยุดนักขัตฤกษ์ ทว่าทำได้ไม่นานสถาบันกำหนดมาตรฐานใหม่ระบุให้คนที่จะเป็นอาจารย์พยาบาลต้องมีวุฒิปริญญาโท เธอต้องไปเรียนต่อเพิ่มเติมคณะบริหารการศึกษาของมหาวิทยาลัย ปรากฏว่า มีหลักเกณฑ์ใหม่ขึ้นมาอีกเพื่อกำหนดคุณสมบัติผู้ที่จะสอนนักศึกษา เธอต้องไปเรียนสาขาวิชาการพยาบาลเวชปฏิบัติชุมชน มหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นปริญญาโท อีกใบ ก้าวตามฝันวันเด็กที่อยากเป็นครูได้สำเร็จ

คู่ชีวิตรองผู้กำกับหนุ่มอำเภอกุดจับเล่าว่า ชีวิตครอบครัวพอมีลูก ปัญหาเรื่องหน้าที่การงานก็มีบ้าง แต่เราสองคนก็ต้องช่วยเหลือกัน แรกๆ สามียังติดว่า ต้องดูแลงานเองเป็นหลัก ส่วนเราก็ยุ่งไม่แพ้กัน ดังนั้นต้องมาพบกันครึ่งทาง เพราะลูกไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง เรามีลูกด้วยกัน เพราะฉะนั้นจะต้องดูแลร่วมกัน วันที่เราทำงาน เขาต้องเจียดเวลามาช่วยดู โชคดีที่เขายอมแบ่งเวลา มีส่วนทำให้เราเรียนจบได้ อาจเพราะเป็นช่วงที่เขาอยู่อุดรธานีด้วย ไม่ได้ย้ายไปไกล แม้ตัวเองยังอยากเรียนต่อถึงปริญญาเอก แต่ต้องเบรกไว้ก่อน เพื่อเปิดทางให้สามีเติบโตในหน้าที่การงาน ให้เขาทำงานเต็มที่

ตั้งแต่เจอกันรู้จักกัน ถึงปัจจุบันนี้รู้สึกว่า เลือกไม่ผิดคน อะไรที่ปรับยังไม่ได้ ก็ค่อยๆ ปรับกัน เมื่อมันได้ร่วมชีวิตกันแล้ว มีบ้างบางครั้งที่ทะเลาะกัน ส่วนใหญ่ไม่เกินเรื่องผู้หญิง แต่เราก็โชคดีที่เขาเลือกครอบครัวถึงแม้ว่าจะมีนอกลู่นอกทางไปบ้าง เขาเลือกรักลูก ห็นความสำคัญของลูก เห็นความสำคัญว่า ครอบครัวจะต้องไม่แตกแยก ถ้าบางคนไม่เห็นตรงนี้จะมีลูกกี่คนก็ไป ดีที่เขายังเกาะจุดนี้ไว้เป็นหลัก ครอบครัวถึงได้เป็นครอบครัวอาจารย์พยาบาลมหาวิทยาลัยราชธานีว่า

เธออยากฝากให้เป็นข้อคิดของครอบครัวตำรวจในเรื่องการใช้ชีวิตคู่ว่า การจะทำอย่างไรให้ประคองครอบครัวไปตลอดรอดฝั่ง ขึ้นอยู่กับทั้งสองคน เพราะเวลาสามีออกจากบ้านไป เราไม่รู้ว่า ไปทำงานจริงไหม คงไม่มีใครทำงานตลอด 24 ชั่วโมง อาจจะยุ่งจริงบ้าง หรืออาจจะมีช่วงเวลาที่มันเป็นฟรีสไตล์ ควรหาเวลาตรงนั้น กลับมาดูแลครอบครัวบ้าง มันขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง คุณเห็นความสำคัญกับสถาบันครอบครัวมากแค่ไหน ส่วนใหญ่แม่บ้านเองต้องพร้อมที่จะเข้าใจ และให้อภัย ถ้าเขาบอกว่าทำงาน ก็คือทำงาน ถ้าหากว่า อะไรที่มองแล้ว เขาทำงานจริงไหม เราก็ต้องมีแบบเช็กบ้าง แต่ถ้าแล้วถ้าไม่สบายใจ ไม่รับรู้ดีกว่า

 ส่วนใหญ่ผู้หญิงทุกคน ถ้าลองมีสะกิดมาแล้ว ต้องอยากรู้ อดไม่ได้ ไม่มีปล่อยไปหรอก แม่บ้านทุกคนต้องมีอะไรแบบนี้ ทุกคนที่ประคองมาถึงจุดนี้ได้จะมีมุมที่เป็นจุดแข็งของตัวเอง ถึงจะเอาสามีอยู่ ถ้าไม่งั้นก็ไม่อยู่ เป็นนางเอกมากไปก็ไม่ดี นางร้ายมากไปก็ไม่ดี ต้องอยู่กลางๆ แบบบางคนคิดว่า ชั่งเขา พอชั่งเขาก็ไปเลยจริง  คุณอิ๋วน้ำเสียงจริงจัง

เธอทิ้งท้ายว่า ชีวิตแม่บ้านตำรวจไม่เหนื่อย หากปรับตัวได้ จัดสรรเวลาได้ ถ้าบอกเหนื่อยต้องดูว่าเหนื่อยประเด็นไหน ถ้าเหนื่อยว่า ต้องร่วมกันสร้างครอบครัวเพื่อความมั่นคง อันนี้เรื่องธรรมดา ครอบครัวไหนก็เป็น แต่ถ้าเหนื่อยเรื่องมือที่สาม ถ้าเราปล่อยวางก็เหมือนไม่มีอะไร แต่อย่าปล่อยวางมาก ต้องมีมุมที่ว่า ทันกันประมาณนี้

 

 

 

 

 

 

RELATED ARTICLES