ก้าวที่ 2 ชีวิตติดโปร

กลิ่นซากสัตว์จากโรงงานกระดูกเตะจมูกส่งสัญญานปลุกให้เหล่าบรรดานักศึกษาหน้าเก่าหน้าใหม่ของมหาวิทยาลัยต้องสะดุ้งตื่น

มันเป็นตัวบ่งบอกถึงป้ายสุดท้ายของการเดินทางอันยาวนานหลายชั่วโมงบนถนนพหลโยธินที่ขณะนั้นถูกขนานนามเป็นถนนเจ็ดชั่วโคตรในการก่อสร้างเส้นทาง ทำจราจรติดขัดยาวเหยียด

รถบัสของมหาวิทยาลัยเลี้ยวเข้าสู่สถาบันเพชรในชัยพฤกษ์ ผมได้แต่ถอนหายใจ ทำไมเป็นการเดินทางที่ทุลักทุเล และไกลบ้านสิ้นดี ต้องตื่นแต่เช้าตาลีตาเหลือกขึ้นรถเมล์มาจับรถบัสมหาวิทยาลัยที่กล้วยน้ำไทเพื่อมุ่งหน้าสู่ประตูรั้วสาขารังสิต ซึ่งกินเวลาอีกนานกว่า 2 ชั่วโมง

ผมใช้เวลาปรับตัวอยู่นานพอสมควรเพื่อให้ชินชากับสภาพนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง สวมเสื้อเชิ้ต ผูกเนคไท กางเกงสแล็ค รองเท้าหนัง เดินเก้ ๆ กัง ๆ พักใหญ่ และเริ่มมีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นหลายคน บางคนก็ลึกซึ้งเกินคำว่า “เพื่อน”

บ่ายวันหนึ่งของคาบเรียนวิชาภาษาอังกฤษ สาวปี 1 เพื่อนร่วมห้องเข้ามานั่งหลังสุด ทำท่าลุกลี้ลุกลน บนโต๊ะมีแต่ความว่างเปล่า ผมเหลือบไปมองแวบหนึ่งก็รู้ว่า เธอคงมีปัญหา

“ลืมเอาหนังสือมาเหรอ มานั่งดูด้วยกันตรงนี้ก็ได้”

ผมหยิบยืนไมตรีให้แก่เพื่อนใหม่ด้วยการแบ่งปันหนังสือเรียนเรียกเธอมานั่งข้าง ๆ กางดูด้วยกัน แต่ไม่ได้มีอะไรในใจให้คิดมากมาย นอกจากน้ำใจที่น่าจะช่วยเหลือกันได้ คุยไปคุยมาก็เริ่มรู้จักเธอมากขึ้น ความสนิทสนมชิดเชื้อระหว่างผมกับเธอที่ก่อตัวในห้วงเวลาอันรวดเร็ว ทำเอาเพื่อนหลายคนในกลุ่มทึกทัก แซวสนุกปากหาว่า เราทั้งสองคนเป็นเนื้อคู่กัน เพราะหน้าตาละม้ายคล้ายกันมาก

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ความรู้สึกครั้งนั้นเป็นแค่ความหลงชั่ววูบ หรือความรักที่แสวงหามานาน รักแรกในรั้วมหาวิทยาลัยผ่านวันเป็นเดือน เพื่อนในกลุ่มอิจฉา ส่วนรุ่นพี่ยัดข้อหาหมั่นไส้ ทำเหมือนผมเป็นคนร้ายไปแอบเด็ดดอกฟ้า ทั้งที่ตัวเองเป็นเพียงแค่หมาวัด

วันไปเข้าค่ายรับน้องใหม่ที่วังตะไคร้ นครนายก ผมถึงโดนบรรดารุ่นพี่สอยหนักกว่าใคร พาคลุกฝุ่นตะลุยขี้โคลน เอาของประหลาดมายัดใส่ปากบังคับให้กระเดือกลงคอจนแทบอ้วกออกมา แต่ก็ต้องพยายามกล้ำกลืนฝืนทน เพื่อไม่ให้เสียฟอร์มต่อหน้าสาวคนรัก

“ทำไมไม่ไปประกวดดาวคณะกับเขาล่ะ ตัวเองสวยกว่าคนที่ได้ตั้งเยอะ” ผมถามเธอในตอนค่ำที่มีการประกวดสาวสวยน้องใหม่ไปเป็นตัวแทนคณะเพื่อชิงตำแหน่งดาวของมหาวิทยาลัย

“แล้วตัวเองจะให้ไปประกวดมั้ยล่ะ”

ผมส่ายหน้า

“ไม่หรอก เค้าไม่อยากเด่น ไม่อยากดัง ไม่อยากเป็นดาว ไม่อยากเป็นดารา อยู่แบบธรรมดาดีกว่า และถ้าไปสมัครประกวดเราก็ไม่ได้มานั่งอยู่ด้วยกันซิคะ” เธอให้เหตุผลปนรอยยิ้มแห่งความจริงใจ

แต่ความจริงผมกับเธอไม่ได้รู้จักกันดีพอ พูดคุยไปไหนมาไหนด้วยกันก็ตอนเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเท่านั้น กลับถึงบ้านก็โทรศัพท์ไปหาสนทนากันไม่นานก็วางสาย ผมไม่เคยมีแฟน ผมก็ไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรจะมัดใจสาวที่มาเป็นแฟนให้อยู่กับเรายืนยงยาวนานถึงขั้นแต่งงานมีครอบครัว

ด้วยเหตุนี้ล่ะมั้ง ทำที่ให้โลกสีชมพูของผมคืบคลานไปเพียงไม่กี่เดือนก็พบจุดจบ บทเรียนรักแรกในชีวิตนักศึกษารูดม่านปิดฉากอย่างรวดเร็ว คล้อยหลังจากวันที่ผมกับกลุ่มเพื่อนพากันไปนั่งดูหนัง “บุญชูผู้น่ารัก”วันเดียว

“นางเอกเหมือนนุ่นเลยว่ะ” เพื่อนคนหนึ่งแซวระหว่างหนังกำลังฮา ผมไม่แสดงความเห็นโต้ตอบ แต่ยิ้มยอมรับอยู่ในใจ “ใช่ โมลี ที่รับบทโดยจินตรา สุขพัฒน์ ในบุญชูภาคแรกเหมือนเธอมาก”

ภาพของโมลี ยังติดตาออกมาจากโรงหนัง พอถึงบ้าน ผมรีบโทรศัพท์ไปหาเธอหวังเล่าบทสนุกของหนังบุญชู หวังหยอดคำหวานให้เธอภูมิใจว่า อย่างน้อยเธอก็สวยและน่ารักกว่านางเอกของบุญชู ปรากฏว่า ไม่มีคนรับสาย แต่ผมก็ไม่ได้คิดเอะใจอะไรมากมายว่า ความรักจะล่มสลายในไม่กี่ชั่วโมงถัดมา

วันรุ่งขึ้น ความเปลี่ยนแปลงระหว่างผมกับเธอเสมือนเป็นคนไม่เคยรู้จักกัน สาวนักเรียนเก่าสายน้ำผึ้งหมางเมินไม่พูดไม่จา ไม่ยอมมาเจอะเจอหน้าทักทายเหมือนแต่ก่อน ไม่มีเหตุผลในการร่ำลา ไม่มีแม้คำอาลัยอาวรณ์เล่นเอาผมตัวชา

นี่หรือ คือ ความรัก นี่หรือ คือ รสชาติของคำว่า “อกหัก” ช่างอ่อนต่อโลก ไม่ประสีประสาเสียจริง

ผมดับพิษรักครั้งนั้นด้วยการไปขลุกอยู่กับเพื่อนอีกกลุ่ม ตั้งก๊วนรวมแก๊งหันมาเล่นฟุตบอลในสนามหน้ามหาวิทาลัยเกือบทุกเย็นก่อนกลับบ้านเพื่อเลี่ยงขึ้นรถมหาวิทยาลัยไปเจอหน้าใครบางคน และไม่ต้องมานั่งอดทนฟังเพลงตอกย้ำชีวิตที่ตอนนั้นกำลังฮิต “ยังจำไว้” ของอิทธิ พลางกูร หรือเพลงที่เรียกอารมณ์ปวดร้าวสุดขั้วหัวใจในอัลบั้ม “ตัวสำรอง” ของหนุ่มร็อกมาดเซอร์ “พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง” ที่ไอ้พวกเด็กมหาวิทยาลัยชอบเอาเทปไปเปิดฟังบนรถระหว่างทาง

ทนเจ็บอยู่ไม่นานโรครักล่มก็ทุเลาลง มีกลุ่มเพื่อนเป็นยาใจชั้นดี

“เฮ้ย มึงจะไปคัดบอลคณะกับเขาหรือเปล่าวะ” สัญญา อู่ตะเภา หนุ่มปราจีนบุรีเพื่อนสนิทในกลุ่มถาม

“กูน่ะเหรอ” ผมนิ่งสักพัก

จู-สัญญา รูปร่างสูงโปร่ง มีดีกรีเป็นนายทวารประจำโรงเรียนปราจิณราษฎรอำรุง เคยผ่านสนามลูกหนังเยาวชนโค้กคัพภาคตะวันออก ด้วยหุ่นสูงชะลูดบวกประสบการณ์ที่ผ่านสนามมาอย่างโชกโชนคงไม่อยากที่เพื่อนผมจะต้องติด 1 ใน 11 ผู้เล่นตัวจริงของขุนพลคณะนิเทศศาสตร์แน่นอน

ส่วนตัวผมล่ะ ว่าไปแล้วมีดีกรีและเจนสนามมากกว่าเพื่อนคนนี้เยอะ เพราะต้นสังกัดเก่าโรงเรียนเทพศิรินทร์กำลังได้ชื่อเป็นอภิมหาอำนาจลูกหนังนักเรียนขาสั้น ผมผ่านสังเวียนแข้งระดับสนามศุภชลาศัย สนามเทพหัสดิน สนามไทยญี่ปุ่น-ดินแดง สนามจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สนามการกีฬาแห่งประเทศไทย

แต่ในฐานะของกองเชียร์ผู้ซื่อสัตย์นะ ไม่ใช่นักเตะนักเรียนไทยดุจดั่งเพื่อนในรุ่นหลายคน

ผมเริ่มคิดหนัก

“ก็ดีเหมือนกันว่ะ ลองดู แก้เซ็ง”

ผมกับเพื่อนจูตัดสินใจไปลองสมัครคัดบอลเป็นตัวแทนนักเตะของคณะ ตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเล่นตำแหน่งไหนจะติดหรือไม่ เพราะชีวิตวัยมัธยมสาละวนอยู่กับฟุตบอลพลาสติกไล่เตะกินตังค์วางมัดจำกันลูกละบาท

“น้องโต้ง ชนาธิป กฤษณสุวรรณ จะคัดตำแหน่งไหนครับ” วีระยุทธ ปทุมเจริญวัฒนา รุ่นพี่ปี 3 ในฐานะประธานฝ่ายกีฬาของคณะผู้เฟ้นตัวล่านักเตะปี 1 ฝีเท้าเยี่ยมขานชื่อเมื่อถึงคิวผม

เอาละซิ ผมอึกอัก ก่อนตัดสินใจโพล่งออกไปอย่างมั่นใจ “แบ็กซ้ายครับพี่”

ผมคิดแล้ว ตำแหน่งนักเตะตีนซ้ายน่าจะมีคนคัดน้อยสุด ยิ่งตำแหน่งแบ็กซ้ายด้วยค่อนข้างหายาก ขนาดทีมชาติไทยยุคนั้นยังมีแค่ สุรัก ไชยกิตติ ครองสถิติติดธงยาวนาน เพราะไม่มีทายาทมาสวมบทบาทแทนได้ นับประสาอะไรกับมหาวิทยาลัยเอกชน คณะนิเทศศาสตร์ค่าเทอมแพงหูฉี่ที่ผู้มีอันจะกินส่งลูกหลานเข้ามาเรียนหลังสอบเอ็นทรานซ์ไม่ติด มันคงจะหาพวกบ้าบอลมาเล่นตำแหน่งที่ว่านี้ยากอยู่

ในที่สุด ทฤษฎีของผมถูกครับ ผมไม่ได้ถนัดตีนซ้าย แต่ขาซ้ายไม่ได้มีไว้แค่ยืนเยี่ยว มันพอจะมีแรงยัดลูกหนังเข้าสู่ก้นตาข่ายไม่ได้ต่างจากเท้าขวา ผมมีรายชื่อติดเป็นตัวแทนของทีมฟุตบอลคณะส่วนของน้องใหม่ปี 1 นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกตัวเองมีคุณค่าความสามารถด้านกีฬาจนก้าวเป็นตัวแทนกับเขาบ้าง แถมยังได้สัมผัสเพื่อนเก่าระดับซูเปอร์สตาร์ของลูกหนังเทพศิรินทร์อย่าง ประสงค์ พันธุ์สวัสดิ์ และเพื่อนใหม่ วทัญญู วิทยผโลทัย ดาวเตะคนดังจากสถาบันคู่รักคู่ชังสมัยมัธยมสวนกุหลาบวิทยาลัย

ทั้งคู่ติดธงเยาวชนทีมชาติ เข้ามาเรียนในโควตาของมหาวิทยาลัย แม้เพียงปีเดียวก่อนทั้งสองจะหันไปใช้ชีวิตใหม่ก้าวติดดาวเป็นนายตำรวจ แต่เจ้าตัวไม่เคยบ่นซักคำเวลามาร่วมลงซ้อมกับผมแล้วเจอสภาพนักเตะสมัครเล่นไม่ได้ดั่งใจอย่างผม อีกทั้งยังพยายามให้กำลังใจ และคอยสนเทคนิค แท็กติกในเชิงลูกหนังตลอดเวลา

ปัจจุบัน ประสงค์ พันธุ์สวัสดิ์ ติดยศ พันตำรวจโท ตำแหน่งสารวัตรกองกำกับการสืบสวนสอบสวนภูธรภาค 1 ขณะที่ วทัญญู วิทยผโลทัย ติดยศ พันตำรวจโท เป็นสารวัตรอยู่สันติบาล กลายเป็นนายตำรวจติดตามทำหน้าที่บอดี้การ์ดพี่น้องผู้นำประเทศตระกูลชินวัตร แต่เรายังคงติดต่อไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ

เกมประเดิมแข้งนัดแรก นิเทศศาสตร์ปี 1 เปิดสนามเฉือนชัยเอาชนะบริหารธุรกิจ ผมมีโอกาสได้ลงเล่นเป็น 11 ตัวจริงในตำแหน่งแบ็กซ้ายสวมเสื้อหมายเลข 2 เล่นแค่สิบนาทีอาการเก่ากำเริบ โรคตื่นผู้หญิงครับ เห็นกองเชียร์นักศึกษาสาวมากหน้าหลายตามาชมเกมอยู่บนอัฒจันทร์ส่งเสียงวิ๊ดว๊าย ทำเอาผมเลิกลั่ก ตามัว หูตึง แข้งขาแข็ง ตื่นสนามพล่านไปหมดเลยถูกเปลี่ยนตัวออกเป็นคนแรก ความรู้สึกวินาทีนั้น ทั้งอับอายขายขี้หน้า ทั้งเจ็บใจ

เส้นทางการพิสูจน์ตัวเองในเชิงลูกหนังของผมสิ้นสุดลงในเวลาแค่สิบนาที ถึงกระนั้นก็ตาม นิเทศศาสตร์ทีมพี่กับทีมน้องก็ได้ชิงชนะเลิศที่สนามจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นแมตซ์ศักดิ์ศรีชิงเหรียญทองที่ผมได้โอกาสลงฝ่าสายฝนไปลุยโคลนในฐานะตัวสำรองเป็นการปลอบใจ

สุดท้ายฝ่ายน้องโดนปล้นเหรียญทอง คว้าได้แค่เหรียญเงินคล้องคอ ผมเองก็มีเหรียญติดมือมากับเขาเหมือนกัน ไม่ได้กลับมามือเปล่า แถมยังได้ประสบการณ์ดี ๆ จากเพื่อนที่เป็นนักกีฬาระดับทีมชาติมากมาย

หมดกิจกรรมกีฬาภายในของมหาวิทยาลัย ได้เวลาปรับโหมดเข้าสู่การเรียนหนังสืออย่างจริงจัง หลายวิชาผมต้องใช้เวลาปรับทำความเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการ เศรษฐศาสตร์ และอังกฤษที่ค่อนข้างหนักเอาการด้วยที่พื้นฐานสมัยมัธยมอ่อนอยู่แล้ว

เทอมแรกผลสอบออกมา ผมได้เกรดเฉลย 1.47

“ตายห่าแล้วกู” ผมบอกกับตัวเอง เพื่อนหลายคนเอาตัวรอดหมดผ่านเกณฑ์เฉลี่ย 2 กว่ากันทั้งนั้น เกรดของผมออกมาแบบนี้ คือ การต้องติดโปรรอลุ้นเทอมสอง หากคะแนนไม่กระเตื้องก็ต้องรีไทร์ออกจากรั้วสถาบัน

ผมสับสนและว้าวุ่นมาก รู้สึกเศร้าที่ทำให้แม่ต้องเสียใจ เสียเงินค่าเทอมแล้วเรียนไม่ผ่าน หากสถานการณ์ถึงขั้นต้องรีไทร์ คิดไปต่าง ๆ นานา หัวเลี้ยวหัวต่อของอนาคตนักศึกษาห้วงเวลานั้นจะไปทางไหนจะสามารถอัพตัวเองปรับสภาพกลับมาได้หรือ ในเมื่อหลายวิชาโคตรหินและยากจะทำความเข้าใจกับมัน

ผมเคยทำให้พ่อแม่ผิดหวังมาครั้งหนึ่งตอนเรียน ร.ด.ไม่ผ่านสมัยอยู่ชั้นมัธยม 5 เหตุเพราะมัวบ้าตามดูบอลนักเรียนจนหมดสิทธิ์สอบ ผมบอกกับพ่อทั้งน้ำตาว่า จะไม่เรียน ร.ด.แล้วไปลุ้นจับใบดำใบแดงตอนถึงวัยเกณฑ์ทหารก็แล้วกัน แต่พ่อแม่ไม่ได้ด่าผมสักคำ ทั้งยังปลอบประโลมให้กำลังใจจนผมตัดสินใจกลับมาเรียนซ้ำใหม่เมื่ออยู่ชั้นมัธยม 6

ติดโปรเที่ยวนี้ ผมถึงไม่อยากทำให้พ่อแม่ช้ำใจระลอกสอง ไม่อยากให้พวกเขามองว่า ลูกชายคนโตของบ้าน หลานชายคนโตของตา หลานรักของปู่ ไม่เอาอ่าว

เหตุผลที่คะแนนสอบเทอมแรกในชีวิตนักศึกษาร่วงไม่เป็นท่า ผมบอกได้ว่า ไม่ใช่เรื่องความรักที่ล้มเหลว ไม่ใช่ผมทำตัวเลวไม่สนใจการเรียน แต่น่าจะเป็นเพราะผมยังปรับตัวเข้ากับชีวิตมหาวิทยาลัยไม่ได้ ชีวิตที่ไม่มีครูมาคอยจ้ำจี้จ้ำไช ไม่มีเพื่อนร่วมชั้นเรียนเก่งมาคอยให้ลอกการบ้าน หรือกางโพยให้ลอกข้อสอบ

ทุกอย่างมันต้องดิ้นรนขวนขวายต่อสู้ด้วยตัวเอง ถ้ามัวแต่ชะล่าใจปล่อยเวลาผ่านเลยไปก็จะถึงวันอับปางในไม่ช้า

“พี่เอ้ครับ ผมจะทำยังไงดี ผมติดโปร เทอมหน้าถ้าเกณฑ์ไม่ถึงมีหวังรีไทร์แน่” ผมหันไปปรึกษาสายพิณ ระเบียบ พี่รหัสที่เรียนอยู่ชั้นปี 2

“ใจเย็นนะโต้ง เดี๋ยวพี่จะช่วยหาคนมาติวให้ วิชาไหนบ้างล่ะ ที่ไม่เข้าใจ”

“เยอะครับพี่ แต่ผมกลัวภาษาอังกฤษมากที่สุด”

“ถ้าอย่างนั้นได้เลย พี่มีเพื่อนคนหนึ่งเก่งอยู่พอดี”

“ขอบคุณพี่มากเลยครับ” ผมเริ่มคลายกังวลไปได้เปราะใหญ่ คิดว่า ถ้าตั้งใจอย่างจริงจังมันน่าจะรอดนะ

ไม่กี่วัดถัดมา พี่รหัสสาวแสนดีพาผมไปรู้จักอรรถพล ชำนาญไพร นักศึกษารุ่นพี่มาดศิลปินลูกชายประสิทธิ์ ชำนาญไพร ครูเพลงคนดังของเมืองไทย

“นี่พี่เอ๋ เพื่อนพี่ เขาจะมาช่วยติวภาษาอังกฤษให้น้อง”

“สวัสดีครับพี่เอ๋”

“เออ หวัดดีไอ้น้อง”

ผมรู้จักพี่ชายใจดีเพิ่มอีกคนแล้ว พี่คนนี้เหมือนฮีโร่ที่โพล่มาช่วยชุบชีวิตให้ผมดูมีชีวาในโลกมหาวิทยาลัยอีกครั้ง

RELATED ARTICLES