“แหม่มไม่ได้คิดว่าเป็นเมียตำรวจ แหม่มคิดว่าเป็นเมียพี่เขา”

 าวอีสานที่เปิดนิยายรักกับนักสืบหนุ่มใหญ่ผู้โด่งดังคนหนึ่งในวงการสีกากี

คุณแหม่ม-ชนิดา ธาตุศาสตร์ ภรรยาคนเก่งของ พล.ต.ต.คัชชา ธาตุศาสตร์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ที่อยู่เคียงข้างสามีในยามสุขทุกข์มานานกว่า 25 ปี หลังพบรักกันตั้งแต่ฝ่ายหญิงยังเรียนพาณิชย์ในวัยเพียงแค่ 19 ปี

บ้านเกิดของคุณแหม่มอยู่นครพนม  พ่อทำงานเป็นหัวหน้าการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แม่เป็นแม่บ้าน มีพี่ชาย 1 คน กับน้องสาวอีก 1 คน ตอนเล็กเรียนประถมโรงเรียนสุนทรวิจิตร ก่อนไปต่อมัธยมโรงเรียนปิยะมหาราชาลัย จากนั้นเข้าเรียนสายพาณิชย์อยู่จังหวัดสกลนคร กระทั่งมาจบปริญญาตรี คณะการจัดการ วิทยาลัยครูมหาสารคาม

ฝันอยากเป็นนางพยาบาล แต่พอวันหนึ่งเพื่อนไม่สบายพาเข้าโรงพยาบาลเจอนางพยาบาลปากร้ายทำเอาล้มเลิกความตั้งใจ เบนเข็มไปชอบงานประชาสัมพันธ์ งานการตลาด จบออกมาโชคดีได้สอบบรรจุเข้าเป็นพนักงานองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ประจำอยู่จังหวัดร้อยเอ็ด ทำหน้าที่พนักงานบัญชี ไต่เต้าจนปัจจุบันนั่งตำแหน่ง ผู้จัดการศูนย์ทีโอที สาขาเซ็นทรัลขอนแก่น

ชีวิตรักของคุณแหม่มเริ่มต้นยิ่งกว่าพรหมลิขิต เกิดขึ้นระหว่างขี่มอเตอร์ไซค์เพื่อนไปซื้อก๋วยเตี๋ยวระหว่างหยุดเรียนเสาร์อาทิตย์กลับจากสกลนครมาบ้านเกิดนครพนม พล.ต.ต.คัชชา ตอนนั้นเป็นนายตำรวจหนุ่มไฟแรงตำแหน่งผู้หมวดหัวหน้าสายสืบเมืองนครพนมยกกำลังไปดักซุ่มจับพ่อค้ากัญชารายใหญ่ที่ปั๊มน้ำมัน เมื่อเห็นฝ่ายหญิงขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมาก็แอบกระซิบลูกน้องให้จดหมายเลขทะเบียนไว้หวังจะเอากลับไปเช็กฐานข้อมูลหาบ้านช่องของสาวอีสานคนนี้

ปรากฏว่า รถคันนั้น ไม่ใช่ของคุณแหม่ม ทำให้ทั้งคู่คลาดกัน แต่ก็เพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เพราะต่อมามีคุณนายสารวัตรใหญ่แนะนำลูกสาวเพื่อนให้รู้จัก แม้แวบแรก ผู้หมวดคัชชาจะตั้งธงไว้ดูถูกหญิงดินแดนที่ราบสูงว่า ไม่สวย เตี้ย ตัวดำ ดั้งหัก หน้าเหลี่ยม ขาเป็นปล้องเหมือนโต๊ะบิลเลียด วาดภาพสาวอีสานหน้าตาแบบนั้น จนคุณนายเมียสารวัตรรีบเถียงแทนว่า ไม่ใช่ เพราะลูกเพื่อนคนนี้สวย สูง ขาว หน้าตาดี ลักษณะรูปพรรณตรงข้ามกับสิ่งที่เขาดูถูกไว้ทั้งหมด

ผู้หมวดนักสืบต่างถิ่นก็ยังไม่เชื่อ ให้รุ่นน้องมาตามสะกดรอยแม่คุณแหม่ม เพราะชอบเล่นไพ่ หวังจะจับเพื่อรอดูหน้าลูกสาว สุดท้ายแผนแตก ไม่มีใครให้แม่เธอเล่นไพ่ เนื่องจากระแคะระคายรู้ว่า ตำรวจตามตลอด เขาจึงเปลี่ยนแผนใช้ลูกน้องไปหาที่บ้าน พอเห็นรูปถ่ายคุณแหม่ม ยังไม่เจอตัวจริง ลูกน้องก็มารายงานว่า “เจ้านายครับ ผู้หญิงที่ว่า หน้าตาสวยครับ” หมวดคัชชาก็ให้ลูกน้องเช็กต่อว่า ลูกสาวบ้านนี้จะกลับมาบ้านวันไหน

วันนั้นเป็นวันที่ทั้งคู่เจอหน้ากันครั้งแรกก่อนสานสัมพันธ์กลายเป็นรักยืนยังลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวที่อบอุ่นจนถึงทุกวันนี้ คุณแหม่มเล่าว่า เป็นช่วงเรากลับมาเสาร์อาทิตย์ เขาก็มาที่บ้านเพื่อจะเห็นหน้า ถึงรู้ว่า กลายเป็นคนเดียวกับที่เจอปั๊มน้ำมัน วันแรกก็บังคับเรากับแม่ไปกินก๋วยเตี๋ยวเป็ดด้วยกัน ยอมรับว่า เราไม่ค่อยชอบหน้าเจอะหน้าเราเรียกเขาอาทันที เพราะอายุแก่กว่ากันมาก ตอนแรกแม่งง ถามว่าใคร เขาบอกเป็นตำรวจชื่อ คัชชา เราก็ถามว่า คัชชา คือใคร ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว เรากำลังเรียนหนังสืออยู่ ไม่ได้วุ่นวายอะไรกับใคร ชีวิตก็เกลียดตำรวจที่สุด เพราะชอบจับแม่เวลาเล่นไพ่ทั้งที่ไปเล่นกับตำรวจ ชอบจับเราเวลาขี่มอเตอร์ไซค์

เธอบอกว่า ต้องอาบน้ำแต่งตัวไปกินก๋วยเตี๋ยวด้วย เพราะเขาตื้อ ประมาณว่า ถ้าไม่ไปก็จะไม่ยอมกลับเลยออกไปด้วยกัน หลังจากวันนั้น เขาจะมาหาแม่ที่บ้านเกือบทุกวัน แม้ว่า เราไม่อยู่ เขาก็มา เข้ามาตีสนิทพ่อกับแม่ ตอนแรกเลยสงสัยว่า มาทำอะไร คิดว่า แม่คงรู้ว่ามาจีบลูกสาว แต่ถ้าถามใจเรา เรายังไม่ชอบ เรายังเป็นเด็กนักเรียน อีกอย่างคือ เขาอายุมากกว่าเราหลายปี เรายังไม่มีความรู้สึกตรงนั้น ไปมาหาสู่กันอยู่นานจนเขาย้ายไปอุดรธานี คุยไปคุยมาก็ตัดสินใจคบกัน

“การตัดสินใจของแหม่มไม่เหมือนชาวบ้าน มีความรู้สึกว่า แหม่มอยากอยู่กับผู้ชายคนเดียวไปตลอดชีวิต แต่ต้องมาเรียนรู้ก่อน เรียนรู้จากสิ่งที่ไม่ดี เพราะคนที่รักกันมักชอบเอาสิ่งที่ดีมาแสดงกัน เราเริ่มจากสิ่งไม่ดี ถ้ารับได้ เราก็จะอยู่กับเขา เช่น นิสัยไม่ดี เขาเจ้าชู้หรือไม่ มีความรับผิดชอบหรือไม่ เป็นคนปลิ้นปล้อนหรือเปล่า เราศึกษาไอ้สิ่งที่ไม่ดีในตัวเขา ตอนนั้นอยู่อยู่ก่อนแต่งประมาณ 7-8 ปี เหมือนฝรั่งเพื่อเรียนรู้กัน มีข้อตกลงระหว่างคนสองคน คุณอยู่กับเรา คุณก็ต้องศึกษาในสิ่งที่เราไม่ดีด้วย ดีกว่าแต่งงานแล้วเลิก” คุณแหม่มย้อนวันวาน

“ศุกร์เสาร์อาทิตย์ แหม่มจะไปอยู่กับเขาที่อุดรธานี จันทร์ถึงพฤหัสฯ เขาจะมีคนอื่นหรือไม่ แหม่มรับได้ แต่ 3 วันที่แหม่มอยู่ ต้องเป็นของแหม่ม ห้ามใครมายุ่ง ขอแค่นี้ เขาก็โอเค คบกันนาน ก่อนเขาโดนย้ายไปสกลนคร แหม่มไม่ได้คิดว่าเป็นเมียตำรวจ แหม่มคิดว่าเป็นเมียพี่เขา ทำให้แหม่มรู้สึกว่า ย้ายไปไหนก็ไม่เป็นไร เขาก็อยู่กับเรา เราก็อยู่กับเขา ตอนทุกข์ตอนสุข ลำบากแค่ไหนก็ไปด้วยกัน เพราถ้าคิดเป็นเมียตำรวจปุ๊บ ไม่มีทางรอด เชื่อได้เลย”

วีรกรรมรักของเธอต้องยอมรับว่า เด็ดเดี่ยวกล้าเผชิญความจริง สาวนครพนมเล่าว่า มีครั้งหนึ่ง เขาไปทำงานต่างจังหวัด ไปกับลูกน้อง 10 กว่าคน ตอนนั้นยังไม่แต่งงาน อาทิตย์แรกลูกน้องกลับมาเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยน พออาทิตย์ที่สอง ลูกน้องกลับมาหมด เขาไม่กลับ เราก็ถามลูกน้องว่า เจ้านายไปไหน ลูกน้องก็อ้ำอึ้งไม่ตอบ อ้างว่า นายยังไม่เสร็จงาน ด้วยความที่เราไม่ได้คิดจับผิดเขา เราก็มีความรู้สึกว่า เขาจะเป็นอะไรหรือไม่จนลูกน้องไม่กล้าบอกเลยขี่จักรยานจากห้องแถวไปดู เจอกำลังถอยรถออกไปกับนักร้อง เราไม่ได้จับผิด ใช้ชีวิตเหมือนฝรั่ง ลองอยู่ไปก่อน พอเห็นเขาโอเคปลอดภัยก็จบ ไม่คิดจะไปตามจิกว่า เขาจะไปกับใคร แค่กลัวเขาจะไปมีเรื่องบาดเจ็บมากกว่า ตอนนั้นเขาก็ตกใจลงมาถามว่า มาทำไม เราก็บอกว่า มาดูเฉย ๆ ว่าปลอดภัยหรือไม่ แล้วเราก็ขี่จักรยานกลับ

“แหม่มไม่ใช่คนจู้จี้ ไม่ใช่คนตามจิก ไม่ใช่คนชอบโทรศัพท์เช็ก ไม่เคยถามว่า ทำอะไร กลับกี่โมง ถามว่า หึงไหม ธรรมดาของผู้หญิงทุกคนมันต้องมีอยู่แล้ว เพียงแต่การแสดงออกของผู้หญิงมันมีหลายแบบ คนของเรา เราก็หวงทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครไม่หวงหรอก แต่เราจะใช้วิธีไหนในการแสดงออกแค่นั้นเอง แหม่มเลยมีความรู้สึกว่า เขาชอบเราตรงนี้หรือเปล่าที่ไม่เคยตามจิก ตามจู้จี้ ตามหึง ตามหวง เพราะเวลาที่มีเราสมัยก่อน เขาก็มีคนอื่น”ภรรยานายพลมือปราบถ่ายทอดเรื่องราวแห่งความรัก

คบหาดูนิสัยกันอยู่นาน ในที่สุดทั้งคู่ลงเอยด้วยการเข้าประตูวิวาห์ เหตุผลครั้งนั้น ฝ่ายเจ้าสาวเล่าว่า ตัดสินใจแต่งงาน เพราะแม่เขาบังคับ เห็นว่า อยู่ด้วยกันนาน แม่เขาบินไปอเมริกาเมืองไทยทุกปี เริ่มอายุมากอยากอุ้มหลาน ให้เวลา 3 เดือนต้องแต่ง ทั้งที่ก่อนหน้าไม่มีแปลนจะแต่งงานกัน เราตกลงกันว่า เราอยู่ได้ ไม่แต่งก็ได้ เว้นท้องก่อน เพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียว กลัวว่า ถ้าแต่งงานกับเรา แล้วเรามีลูกให้เขาไมได้ ปรากฏแม่รอไม่ไหว เลยแต่งงาน ในสมัยเขาเป็นรองผู้กำกับการสืบสวนภูธรภาค 4

เมื่อเข้าสู่ชีวิตสมรส คุณแหม่มว่า ก็ไม่แตกต่างจากตอนอยู่ก่อนแต่ง ชีวิตสามีไม่ชอบให้ใครมาบังคับ ในเมื่อเราบังคับไม่ได้ เราก็ต้องป้องก้น เราไม่เคยห้ามว่า เขาจะมีใคร ขออย่างเดียวให้จ่ายแล้วจบ ไม่ให้เลี้ยงเป็นตัวเป็นตน ไม่มีผู้ชายคนไหนนอนกับเมียตลอดชีวิต ถ้าใครบอกแบบนั้นโกหกสุด ๆ เราต้องยอมรับนะ เราต้องเข้าใจผู้ชายมันเป็นแบบนี้ เราถึงขออย่างเดียว อย่าเลี้ยง เพราะมันจะมีปัญหาผูกพันตามมา ไม่ห้ามที่เขาจะไปเที่ยว หรือมีอะไรกับใคร และกรุณาใช้ถุงยางอนามัยด้วย ป้องกันความผิดพลาด ขอแค่นี้เอง เราขอไม่มาก

ทั้งคู่ฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกันปลูกต้นรักจนกำเนิดบุตรชายคนเดียว นั่นคือ เอม-ฐิติยพงศ์ ธาตุศาสตร์  แม่บ้านคนเก่งยิ้มรับว่า ตั้งแต่มีลูก สามีก็ดีขึ้น ชีวิตเขาเจอมรสุมมาพอสมควรระหว่างรับราชการ เรามีความรู้สึกว่า ถ้าเขามีเรื่อง บ้าน คือสิ่งที่มีความสุขที่สุด ทำอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นภาระให้เขาหนักใจ หรือเวลาที่เขามีเรื่อง ที่บ้านต้องเป็นที่ซัพพอร์ตให้กับเขา ถ้าเวลาหนัก ๆ มา เข้าบ้านเจอเรา เจอลูก หนัก ๆ ก็จะลดลง “มีอยู่ครั้งลูกกำลังช่างพูด เกิดคดีฆ่าผู้หญิง 4 ศพถ่วงน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ สมัยนั้นผู้บังคับบัญชา และรุ่นพี่ก็พยายามโยนความผิดมาให้เขา หาว่าเป็นชุดเขาทำ เขาก็จะพิสูจน์ตัวเองด้วยความที่โดนพี่ที่รัก โดนนายว่า ไล่เลี่ยกับโดนข้อครหานำกำลังไปค้นบ้านนักการเมืองในพื้นที่ เหมือนทุกอย่างมันมาพร้อมกัน ทำให้เขาเครียด”

“เขาพยายามทำอะไรก็ได้เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ด้วยความที่เครียดแล้วต้องใช้ความคิด แต่จะคิดอะไรไม่ออก ลูกก็จะเข้ามาหอบแก้มซ้ายขวา เข้ามานวด ลูกไม่รู้หรอกว่า เกิดอะไรขึ้นกับพ่อ มีแหม่มรู้ว่า สามีเจอเรื่องหนักมาก แหม่มก็จะคอยบอกว่า ทุกอย่างมันแก้ไขได้ ค่อย ๆ คิดไป เอาทีละอย่าง จะทำเรื่องไหนก่อน อธิบายให้เขาเข้าใจ อย่างน้อยกลับมาบ้านเจอเมีย เจอลูก เขาก็จะผ่อนคลายลง ทำให้เขามีแรงที่จะเดินหน้าต่อ แหม่มจะย้ำว่า สิ่งที่หนักสุดในชีวิต คือ การถูกย้าย 24 ชั่วโมง สมัยเป็นร้อยตำรวจโทจากหาดใหญ่ขึ้นมาอีสาน ตอนนั้นไม่มีอะไรหนักกว่านี้แล้ว แหม่มมีความรู้สึกแบบนั้น ต้องยกตัวอย่างอันที่หนักสุดมาให้เขาคิด ไม่อย่างนั้นเขาจะแบกอะไรไว้เยอะ”เธอให้แง่คิดในการครองคู่

ตลอดระยะเวลา 25 ปีที่อยู่ด้วยกัน คุณแหม่มมองว่า เราเลือกแล้ว มันก็มีความสุขนะ เพราะเราเลือกเอง อะไรเกิดขึ้นในชีวิต เราจะไม่โทษคนอื่น เราจะโทษคนสองคน ทุกวันนี้ถือว่า แฮปปี้ ตั้งแต่รู้จักกันจนถึงปัจจุบัน เขาก็ยังเหมือนเดิม เขาเป็นทุกอย่าง เป็นทั้งพ่อ เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพี่ และเป็นสามี เวลาที่เรามีปัญหา เขาก็จะคอยเพื่อนช่วยแก้ปัญหา เป็นพี่ให้คำปรึกษา บางทีเราหงุดหงิดงอแงตามอารมณ์เด็ก เขาก็จะดุเราเหมือนพ่อ ถามว่า เคยทะเลาะกันบ้างไหม เราไม่ทะเลาะด้วย ถ้าเขาขึ้นเสียงเราก็เดินหนี ไม่พูดด้วยตอนมีอารมณ์ เพราะการจะพูดอะไรมันไม่มีเหตุผลอยู่แล้ว นอกจากเสียงดังอย่างเดียว ต่างคนต่างเดินหนีดีกว่า ถ้าอารมณ์เย็นแล้วค่อยมาคุยกัน

“ ทุกวันนี้เขายังทำงานหนัก ภาระหน้าที่รับผิดชอบหนักกว่า เดิมด้วยซ้ำ แต่เราก็โทรหากันทุกวัน หวานแหววเหมือนเดิม ตรงนี้แหม่มคิดว่า ลดลงไม่ได้ มันเหมือนน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตคู่ คนเราอยู่ด้วยกันทุกวัน ถ้าความรักความเอาใจใส่ ความหวานมันลดลง มันก็จะเริ่มจืด แหม่มถึงมีความรู้สึกว่า ไม่ใช่คนเราอายุมากแล้วความหวานมันหายไป มันไม่ได้ มีเรื่องอะไรต้องคุยกัน ปัญหาอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น ถ้าไม่เข้าใจก็ต้องคุยกัน แต่ต้องคุยกันตอนมีเหตุผล ไม่ใช่ตอนมีอารมณ์เข้าใส่กัน”คุณนายรองผู้บัญชาการมือปราบฝากคติเตือนคู่สมรสหลายคน

RELATED ARTICLES