ก้าวที่ 3 โลกนักกิจกรรม

ลายคนกังขา ทำไมผมจากมัธยมปลาย โรงเรียนเทพศิรินทร์ ด้วยเกรดเฉลี่ยแค่ 0.8 ออกมาได้อย่างไร

ผมมานั่งนึก อาจเพราะได้อาจารย์แนะชี้ทางให้มากกว่า

“ปีสุดท้ายของพวกเธอ ครูขอให้สอบผ่านวิชาบังคับ นั่นคือ ภาษาไทย กับสังคม ตัวอื่นถ้าตกค่อยมาตามซ่อมเอาทีหลัง อย่าติด ร หรือ มส เท่านั้น พวกเธอก็จบแล้ว” คำครูผมจำแม่นยำ

ผมเชื่อว่า ครูคงเอือมระอาพฤติกรรมของนักเรียนทะโมนชั้นมัธยม 6 บางส่วนพอมีแววเรียนดี มีโอกาสไปเอ็นทรานซ์ติดมหาวิทยาลัยดัง ขณะที่ส่วนใหญ่แววเรียนเด่นหามีไม่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ได้ทำลายชื่อเสียงของโรงเรียน คนกลุ่มนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเรียนซ้ำชั้น หรือพ้นจากรั้วสถาบันกลางคัน

ชีวิตนักเรียนมัธยมขาสั้นสีกากีเทอมสุดท้ายโรงเรียนชายล้วนของผมถึงปล่อยวางเรื่องเรียนไปดื่มด่ำบรรยากาศความสุขในถิ่นเทพศิรินทร์อย่างเต็มที่ เพราะถัดจากนี้ ทุกคนคงหมดโอกาสมาสัมผัสความเป็นลูกผู้ชายบนผืนแผ่นดินนี้อีกแล้ว

เรื่องจากไปเอ็นทรานซ์ต่อมหาวิทยาลัย หรือสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจริบหรี่เต็มที

“ไอ้เฮง วันนี้พวกกูจะไปดูบอล มึงไปด้วยกันมั้ย” ผมเอ่ยถามณัฐพล จารุสมานกิจ หัวหน้าห้องทั้งที่รู้คำตอบของมันเป็นอย่างดี

ณัฐพล เป็นลูกเถ้าแก่สำเพ็ง เรียนกับผมตั้งแต่มัธยม 1 ชื่อเล่นที่บ้านเรียกกัน “หมู” แต่ที่พวกผมเรียนมัน “เฮง” เพราะตอนอยู่มัธยม 2 แฟชั่นล้อชื่อพ่อระบาดหนักในหมู่นักเรียน มันเสือกสมอ้างหลอกบรรดาเกลอสนิททั้งหลายว่า “พ่อกูชื่อตั้งเฮง”

เท่านั้นแหละ คำว่า “เฮง” เลยกลายเป็นชื่อเล่นติดตัวมันถึงทุกวันนี้

มิตรรายนี้ถือเป็นคนรักของเพื่อนในห้องทุกคน ด้วยความเป็นคนไม่โกรธใคร ใจอ่อน อารมณ์ขบขัน เรียนเก่ง พวกผมเลยพากันสถาปนาให้มันเป็นหัวหน้าห้องประจำชั้นมัธยม 6 ทับแปด

ด้วยเหตุนี้เอง เวลามีอะไร ผมถึงต้องปรึกษามันก่อนในฐานะแม่ทัพเงา

“ไม่หรอกว่ะ กูไม่ไป”

“กูรู้อยู่แล้ว แต่ถ้ามึงไม่ไป มึงก็ต้องโดดเหมือนกัน และบอกให้ทุกคนโดดหมด”

หนุ่มตี๋ หัวหน้าห้องท่าทางเลิกลั่ก

“เอาอีกแล้วเหรอ คราวที่แล้วอาจารย์ก็จะเล่นกูตาย” มันพยายามขัดขืน

“คราวที่แล้วพวกกูบอกว่าไง ให้โดดทั้งห้องไม่ใช่หรือ แต่พอมีคนอยู่ คนที่หายก็ซวยนะซิ” ผมย้อนความจำและย้ำเทคนิคอีกว่า หากหายไปทั้งห้อง อาจารย์ไม่มีทางจะมาเอาเรื่องเอาราว อย่างน้อยแกก็คิดว่า หนีเรียนไปเชียร์ฟุตบอลกันหมด

“ว่ายังล่ะมึง จะไปเดินสยาม ไปเล่นสเก็ต กลับบ้าน หรือไปไหนก็เรื่องของมึง มึงเป็นหัวหน้าต้องทำตัวอย่าง นำเพื่อนโดดทั้งหมด” ผมจี้เอาคำตอบ และรู้ดีว่า สุดท้ายมันก็ต้องใจอ่อนยอมทำตามพวกผมที่ถือว่า กุมอำนาจเบ็ดเสร็จห้องอย่างแท้จริง

กลุ่มของผมเป็นผู้ก่อการประจำห้อง ยึดกุฎิคณะเหนือของวัดที่พระครูต้อยดูแล ให้บัญญัติ เทียนสวัสดิ์ หนุ่มสุพรรณเป็นลูกศิษย์เข้ามาอาศัยตั้งแต่เด็ก เพื่อนสำเนียงเหน่อของผมคนนี้เข้ามาอยู่ห้องเดียวกันตอนมัธยมปลาย มันถึงเปิดกุฏิให้เป็นที่ซ่องสุมกำลังอยู่บ่อยครั้ง

ไอ้เฮง เลยต้องศิโรราบต่ออำนาจมืดของเพื่อนกลุ่มใหญ่ในห้องยามลงมติโดดเรียน

“เออ กูยอม”

“ดีมากเพื่อนรัก พวกกูไปก่อนนะ”

ผมตามเชียร์ฟุตบอลโรงเรียนมาตลอด 6 ปี เทพศิรินทร์ในชุดเขียวเหลืองกำลังเรืองรุ่งเป็นอภิมหาอำนาจลูกหนังนักเรียนขาสั้น น้อยครั้งที่จะผิดหวังพลาดท่าปราชัยแก่คู่แข่ง มันทำให้ผมซึมซับความภูมิใจในรั้วรำเพย ได้พี่น้องเพื่อนฝูงที่หายใจเป็นกลิ่นไอลูกหนังเหมือนกันหลายรุ่น

ผมถึงไม่ค่อยแคร์เรื่องผลการเรียนปีสุดท้าย แต่กลับมาแคร์ผลของการแข่งขันในเกมลูกหนังนักเรียนมากกว่า

“นี่ไงครับพี่เอ๋ ชีวิตผม ทำไมถึงจบมัธยมมาด้วยด้วยเกรดเฉลี่ยแค่นี้” ผมลำดับเรื่องราวให้อรรถพล ชำนาญไพร ลูกชายครูเพลงประสิทธิ์ ชำนาญไพร รุ่นพี่ปี 2 ของมหาวิทยาลัยที่ช่วยมาเป็นติวเตอร์ให้ผมฟัง

พี่แกหัวเราะแล้วตบกบาลผมไป 1 ที

“ไอ้น้องเอ๋ย ชีวิตมหาวิทยาลัยไม่ง่ายเหมือนเรียนมัธยมนะ”

ผมไม่โกรธและพร้อมจะรับฟัง

รุ่นพี่อารมณ์นักดนตรีคนนี้เลยให้ผมเข้ามาทบทวนบทเรียนทุกเย็นที่วิทยาลัยเขตกล้วยน้ำไทก่อนกลับบ้าน

“เอ็งไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามข้า อันไหนข้าสอนได้ข้าก็จะบอก แต่ข้าเชื่อว่าเอ็งน่าจะผ่านได้นะ” หนุ่มรุ่นพี่พยายามให้กำลังใจ

ตอนแรกผมยังรู้สึกสับสนคลำทางเดินชีวิตไม่ถูก หลากหลายวิชาดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่ายอยากที่เห็น ต้องปรับตัวทำความเข้าใจกับมันหลายยกท่ามกลางความกดดันเรื่องคะแนนสอบที่จะชี้ชะตาชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยในอนาคต

ถึงอย่างไรก็ตาม การเข้ามาเหยียบถิ่นบ้านกล้วยทุกเย็นนั้น ทำให้ผมได้เห็นโลกมหาวิทยาลัยอีกมุมหนึ่ง มันเป็นโลกของนักกิจกรรมที่คราคร่ำไปด้วยขุนพลฝีมือดีของคณะหลากหลายแนวคิด

ผมเข้าไปเกาะกลุ่มรุ่นพี่ในซุ้มชายแดนที่แตกตัวมาจากไร่ส้ม กลุ่มชายแดนยึดหัวหาดริมรั้วหลังสุดของมหาวิทยาลัยติดถนนรถไฟสายเก่า ก่อนหน้านี้ไร่ส้มเคยทำชื่อเสียงให้นิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพโด่งดังเป็นพลุแตกจนถูกยกเป็นคณะยอดนิยมในมหาวิทยาลัยเอกชนของเมืองไทย

“แล้วทำไมต้องแยกออกมาด้วยครับ” ผมฉงนเมื่อเห็นรุ่นพี่ 2 กลุ่มกิจกรรมทำตัวดุจน้ำกับน้ำมันเข้ากันไม่ค่อยได้

พี่คนหนึ่งไขคำตอบว่า ตอนหลังกลุ่มไร่ส้มเริ่มแรง หนักไปทางขี้เหล้าเมายาทะเลาะวิวาทหาเรื่องคณะอื่นไปทั่วจนถูกเพ่งเล็งจากอาจารย์ พวกทำกิจกรรมจึงพยายามแยกตัวออกมา

“เริ่มฉากออกมาตั้งแต่ยุคสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นประธานคณะแล้ว”

ชื่่อของสรยุทธ ติดหูผมครั้งนั้นทันทีในฐานะรุ่นพี่นิเทศศาสตร์ มีประวัติวีรกรรมยาวเหยียดในเรื่องการทำกิจกรรมแล้วยังเรียนเก่งได้เกียรตินิยม กลายเป็นต้นแบบให้เหล่ากรรมการบริหารคณะต้องขยับผลการเรียนให้เด่นควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมด้วย

“ผมคงหมดสิทธิ์”

“เอาเหอะเอ็งก็ช่วยได้ แต่ตอนนี้เอาตัวให้รอดก่อน” ติวเตอร์รุ่นพี่กระตุกต่อมให้ผมกระเตื้องขึ้นอีกครั้ง

ผมใช้เวลายามเย็นในการติวหนังสือทบทวนบทเรียนที่กล้วยน้ำไทควบคู่กับการเข้าไปมีบทบาทช่วยเหลือรุ่นพี่ในซุ้มชายแดนในการทำกิจกรรมของคณะเสมือนนกน้อยเริ่มค่อย ๆ หัดบิน

อยู่มาวันหนึ่งมีรุ่นพี่กับกลุ่มเพื่อนชักชวนให้ผมร่วมขึ้นเวทีการแสดงของชั้นปี 1 “งานนกพักขยับปีก” ที่สนามบาสของกล้วยน้ำไท พาเอาผมตะลึงปฏิเสธพัลวัน เพราะเป็นสิ่งที่ผมหวาดผวามาตลอดในการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแห่งนี้

“ช่วยหน่อยเถอะเพื่อน”

“บ้าเหรอ ให้แสดงอะไร ทำไม่เป็น ไม่เอาด้วยหรอก ไปหาคนอื่นเหอะ” ผมยืนคำตายด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ไอ้จู มันก็ยอมขึ้นด้วย เต่า ปูชา เอ๋ ไก่ ก็เล่นนะ” เพื่อนผู้อยู่เบื้องหลังรับคำจากรุ่นพี่ที่มาเจรจาความพยายามโน้มน้าวเอาเพื่อนสนิทในกลุ่มเป็นตัวชูโรง

“ให้แสดงอะไร” ผมเริ่มอ่อน

“ไม่มีอะไรมากหรอก แสดงเป็นแฟนซีผีออกมาโชว์บนเวที”

“บ้าแล้ว” ผมสบถอีก

“แค่เดินเฉย ๆ ไม่มีเต้น ไม่มีบทพูด ตกลงมั้ยโต้ง”

“แล้วจะให้แต่งเป็นตัวอะไร”

“อย่างไอ้จู แต่งเป็นมัมมี่ ไอ้เต่า เป็นผีจีน ไก่เป็นแฟรงเกนสไตน์ ส่วนเธอเขาตกลงกันแล้วจะให้เล่นเป็นแดร็กคิวล่า”

“ขอเป็นมัมมี่ไม่ได้เหรอ อย่างน้อยไม่มีคนเห็นหน้า” ผมขอต่อรองบท แต่ในใจก็ยังไม่อยากเล่นอยู่ดี

“ไม่ได้” เพื่อนตัวดีเสียงแข็ง

“ถ้าอย่างนั้นขอช่วยอยู่เบื้องหลังก็แล้วกัน”

“ไม่ได้โว้ย” มันขึ้นเสียง “ให้เป็นแดร็กคูล่า ราชาแห่งผีแล้วนะ อย่าเรื่องมาก ช่วยกันหน่อย คิดเสียว่าเป็นกิจกรรมของกลุ่ม”

ผมนั่งนึก สรุปแล้วตัวเองผิดด้วยเหรอเนี่ยที่ปฏิเสธเพื่อนไม่ทำกิจกรรมกลุ่ม แต่พอเห็นมันทั้งตื้อ ทั้งด่า อ้อนวอน และข่มขู่อยู่พักใหญ่ สุดท้ายผมก็ต้องยอมเออออห่อหมก โดยมีข้อแม้ต้องไม่มีเต้นแร้งเต้นกา ไม่มีบทพูด ไม่มีแต่งหน้าแต่งตาทุเรศให้เป็นที่ขบขันแก่คนดูในงานคืนนั้น

12 กุมภาพันธ์ 2532

งานนกพับขยับปีก ผ่านพ้นไปด้วยดี แม้ในบางช่วงอารมณ์ของผมรู้สึกไม่พอใจถึงขั้นถกเถียงกับเพื่อนที่เข้ามาแต่งหน้าก่อนขึ้นเวทีแล้วพยายามจะหักดิบเบี้ยวไม่ยอมขึ้นแสดง กระทั่งเห็นเพื่อนหลายคนมุ่งมั่นและตั้งใจ ผมจึงข่มความคิดแบบมุทะลุจำยอมก้าวขึ้นเวทีเป็นท่านเคาต์ แดร็กคิวล่า สยายปีก เรียกเสียงปรบมือทั่วทั้งสนามบาส

นับจากคืนนั้น ผมกลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมทำกิจกรรมคณะทำหน้าที่ตั้งแต่ออกไอเดียยันกุลียกของ มีรุ่นพี่คอยเอ็นดูเกื้อหนุนแนะแนว ส่วนเพื่อนอีกหลายคนก็เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเตรียมเป็นทายาทคอยรับน้องรุ่นต่อไป

“รับน้อง” ผมกลับมาฉุกคิด

ใกล้สอบปลายภาคแล้ว นาทีระทึกใจขยับคืบคลานเข้าสู่ทรวงอกทุกที ปี 1 กำลังจะผ่านไป แต่ผมจะผ่านขึ้นสู่ชั้นปี 2 เหมือนเพื่อนรักหลายคนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความใส่ใจในการกระตือรือร้นของตัวเองเท่านั้น

“น้องทำได้ พี่มั่นใจ” เอ๋-อรรถพล ชำนาญไพร ยังคงกระตุกเตือนถึงนาทีสุดท้ายก่อนเข้าห้องสอบ

ในที่สุด ความพยายามของผมประสบความสำเร็จแม้ไม่ถึงจุดหมายปลายทางถึงขั้นพ้นวิกฤติ แต่ผมก็มีคะแนนรอดพ้นไม่ต้องถูกรีไทร์ออกจากรั้วมหาวิทยาลัย ทว่าเกรดเฉลี่ยยังไม่ถึงเกณฑ์จะพ้นโปรจำเป็นต้องยกระดับคะแนนสอบให้ดีกว่าเดิมตอนปี 2

“ดีใจด้วยไอ้น้อง” ทายาทครูเพลงกอดคอแสดงความยินดีกับผม

“ครับ ขอบคุณพี่เอ๋มากเลย ไม่ได้พี่ ผมแย่แน่”

“ไม่ใช่ข้าหรอก เอ็งต่างหากที่ทำตัวเอง อย่าลืมนะว่า จะดีจะชั่วมันขึ้นอยู่กับตัวเรา อย่ายืมจมูกคนอื่นหายใจ” หนุ่มรุ่นพี่หยิบยื่นตำราชีวิต

ผมผ่านขึ้นไปเรียนปี 2 สำเร็จ ปิดเทอมคราวนั้นเลยมีโอกาสโดดเข้าไปทำกิจกรรมเต็มตัวเพื่อเตรียมรับน้องใหม่ในยุควีระยุทธ ปทุมเจริญวัฒนา ขึ้นเป็นประธานคณะนิเทศศาสตร์

“มีอะไรให้ผมช่วยทำ ผมยินดีครับพี่” ผมอาสาสมัครทันที

“มาเลยน้อง”

พอเปิดเทอมใหม่ เพื่อนจู-สัญญา อู่ตะเภา บัดดี้ของผมกระดี๊กระด๊ามากกว่าใคร หลังเห็นรุ่นน้องหน้าตาน่ารักสดใสสมวัยเฟรชชี่เข้ามาเป็นสีสันชวนละลานตาให้หัวอกรุ่นพี่ปี 2 แช่มชื่น ส่วนผมยังคงเป็นผู้ชายทื่อไม่รู้เรื่องรักต่อไป แม้จะวอกแวกบ้างบางเวลา เพราะไม่อยากให้หัวใจต้องเจ็บซ้ำสอง ขอมุ่งไปกับการเรียนและทำกิจกรรมเสริมสร้างความมันในชีวิตดีกว่า

ยิ่งใกล้วันรับน้องใหม่ พี่หลายคนต่างแบกภาระหน้าที่กันเตรียมงาน บางคนคอยคิดมุกกลั่นแกล้งน้องเพื่อสางแค้นแทนตัวเองที่เคยเจอรุ่นพี่กระทำมา สำหรับผมอาสารับงานสำรวจสถานที่ทำงานกุลีอยู่เบื้องหลัง

ผมแค่หวังออกไปต่างจังหวัดสูดอากาศบริสุทธิ์หลีกหนีผู้คนคลายความเหนื่อยหล้าจากการเรียนสัก 2-3 วันก่อนงานวันจริงก็ยังดี

“มีขู่วางระเบิดงานรับน้องใหม่ว่ะ” รุ่นพี่คนหนึ่งหน้าตาเครียดมาเล่าให้ฟัง

“อะไรกันวันเสาร์ที่จะถึงนี้แล้วนะพี่” ผมแปลกใจ

งานรับน้องใหม่จะจัดขึ้นที่หาดเพชรรีสอร์ต ตำบลปึกเตียน อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี จู่ ๆ ก็มีโทรศัพท์จากชายลึกลับเข้ามหาวิทยาลัยขู่ว่าจะวางระเบิดหาดเพชรช่วงกำหนดระยะเวลาที่พวกเราจะเดินทางไปรับน้องใหม่พอดี

“แล้วพี่ว่าใครอยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้ล่ะ”

สัญชาตญาณหิวกระหายข่าวผมเริ่มทำงานแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

RELATED ARTICLES