“ไอ้พวกที่ดึงฟ้าต่ำ สำหรับผม ก็คือศัตรู”   

 

วดวงยุทธจักรผู้กว้างขวางของเมืองไทย “เสธ.ไอซ์” พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต มักถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้องกลายเป็นมาเฟียในเครื่องแบบสีเขียวจนแทบจะแยกไม่ออกจากกันแล้ว

นายพลทหารมาดเข้มที่ภาพอาจดูโผงผางดุดันเต็มไปด้วยบริวารห้อมล้อม ชื่อเสียงกระฉ่อนทั่วทุกวงการ แต่จะมีใครสักกี่คนรู้เบื้องหลังตัวจริงของเขาว่าเป็นสุภาพบุรุษทหารที่มีแต่พวกพ้องเพื่อนฝูงและพี่น้องให้ช่วยเหลือ มีครอบครัวสุดแสนอบอุ่น แถมเพิ่งได้รับรางวัล “พ่อดีเด่น”ประจำปี 2552 มาหมาด ๆ

วันนี้ อดีตเสนาธิการทหารคนดังเกษียณอายุราชการแล้ว ทว่ายังคงมุ่งมั่นพร้อมทำงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาท เสียสละชีพปกป้องชาติและอธิปไตยในฐานะพลเรือนเต็มขั้น

เส้นทางชีวิตของเขากว่า 60 ปีที่ผ่านมา COP’S MAGAZINE ได้รับเกียรติให้เข้าไปเจาะใจถึงแก่นแท้ของพลเอกทหารนักสู้ที่ผ่านสมรภูมิสารพัดสนามมาอย่างโชกโชน ทั้งนี้ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2492 เป็นลูกชายคนสุดท้องของ พ.ต.โผน อินทรทัต กับ ม.ล.กันยกา สุทัศน์ ณ อยุธยา เขาสูญเสียพ่อไปตั้งแต่แม่ตั้งท้องเพียงแค่ 2 เดือน เมื่อ พ.ต.โผน เข้าร่วมกบฏวังหลวงล้มรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ก่อนถูกจับกุมและโดนยิงเสียชีวิตปริศนาระหว่างถูกควบคุมตัวจากสถานีกรมโฆษณาการไปสอบสวนที่วังปารุสกวัน

ถึงกระนั้นก็ตาม เขาได้ซึมซับเลือดทหารเข้ามาเต็มตัว พล.อ.ไตรรงค์บอกว่า ตระกูลเป็นทหาร คุณปู่คือ พันเอกพระยาพิชัยภูเบนทร์ เป็นข้าราชบริพารของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ส่วนคุณตา คือ พล.ท.ม.ร.ว.สิทธิ์ สุทัศน์ เป็นสมุหราชองครักษ์ในรัชกาลที่ 7 ขณะที่คุณพ่อก็เป็นเสรีไทยสายอเมริกาสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ตระกูลของเขาถึงรับใช้ใกล้เบื้องพระยุคลบาทมาตลอด

พล.อ.ไตรรงค์ไขความกระจ่างของชื่อเล่นด้วยว่า ความจริงแล้วไม่ได้ชื่อ “ไอซ์” ที่แปลว่าน้ำแข็ง แต่เป็น “Ike” ชื่อของ “ไอเซนฮาวร์” ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาที่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของฝ่ายพันธมิตร คุณพ่อเป็นเสรีไทยเลยจงใจตั้งชื่อให้คล้องกันตอนนี้รู้ว่าคุณแม่ตั้งท้อง ประกอบกับเป็นตระกูลตัว อ.ด้วย ทั้งพี่น้องสายคุณแม่ สายคุณพ่อ อ.อ่างหมด แต่ไม่มีใครรู้ พอเขาเรียกกัน Ike Ike ก็กลายเป็นไอซ์ น้ำแข็งตอนไหนไม่รู้

หลังเรียนจบโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าเมื่อปี 2517 พล.อ.ไตรรงค์เลือกบรรจุที่กองพันทหารม้าที่ 3 รักษาพระองค์ แต่ของไปรบอยู่ชายแดนจังหวัดน่านนานกว่า 2 ปี พอปี 2520 ลงมาเป็นนายทหารคนสนิทของ พล.ท.วีระพันธ์ รังคะรัตน์ ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกฝ่ายยุทธการ ก่อนขึ้นไปทำราชการพิเศษคุมกองโจรจังหวัดเลย แล้วเข้าโรงเรียนเสนาธิการ หลังจบออกมาก็เป็น “เสธ.ไอซ์”  เลือกอยู่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ เป็นรองผู้บังคับกองพัน และเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการพลเรือน กองพลทหารม้า

“อาจเป็นช่วงนี้ที่ทำให้ชื่อผมเริ่มเข้ามามีบทบาทในสังคม เพราะคุมกำลัง และทำงานเกี่ยวกับการเมือง รู้จักคนเยอะ ผมโตมาด้วยตัวเอง ชีวิตเหมือนกับอยู่บ้านนอก ไปทำงานต่างจังหวัด พอจบกลายเป็นเสธ ชื่อเล่นไอซ์ เลยเป็นเสธ.ไอซ์ ภาพที่ถูกมองเป็นมาเฟีย อาจเป็นเพราะเพื่อนเยอะ สังคมเยอะ บางครั้งเราวัยรุ่น มีเพื่อน มีฝูงอาจมีเรื่องราวให้เราดูแลช่วยเหลือบ้าง พัฒนาไปตามลำดับ เมื่อเริ่มโตขึ้น มีคนเกรงใจเยอะ เกรงใจแบบพี่น้อง ไม่ใช่นักเลงนะ แต่ไม่วายถูกพาดพิงมาตลอด ซึ่งผมถือว่า ความจริงก็คือความจริง ครอบครัวจะรู้ดีที่สุด ส่วนลึกเราเป็นคนมีพวกมาก” พล.อ.ไตรรงค์ชี้ให้เห็นเส้นทางนายทหารคนดัง

“มันเป็นองค์ประกอบรวม ที่เราเข้าไปอยู่ในวงการม้า ผมชอบม้ามาตั้งแต่เด็ก เพราะบ้านอยู่ที่ติดกับกองพลทหารม้า เด็ก ๆปีนรั้วไปขี่ม้าตลอด เห็นตั้งแต่เด็กเลยคุ้นเคย ส่วนอีกเรื่องเป็นมรดกของมนุษยชาติ คือการพนัน ผมไม่เคยโกหก ทำงานที่ไหน ไม่เคยจบพฤติกรรมแบบนี้ ผู้บังคับบัญชารู้หมด ผมถือว่า ถ้าผมไม่คดโกงหลวง ไม่คดโกงเงินลูกน้อง กองทัพบกไม่ถือว่าผิด เป็นสิทธิอันชอบธรรม ผมเปิดเผยตลอด อย่างวงการม้า ผมเข้าเป็นกรรมการเล็กๆ ในสมาคม จนเป็นกรรมการใหญ่นั่งบริหารสมาคมม้า เพาะม้าขาย พอมีเรื่องทะเลาะกัน ฆ่ากันในวงการม้าก็มาพาดพิงผมหลาย ๆ ครั้ง มันไม่ใช่ อาจเป็นการต่อจิ๊กซอว์เรื่องโน้นเรื่องนี้มากกว่า คิดกันไปเอง ถ้าผมโกหกคงติดคุกไปแล้ว”

“สถานบันเทิงก็อย่าง คือเพื่อน บางคนดึงให้เราไปเที่ยว เพื่อนฝูงบางคนก็ต้องเปิดสถานบริการ ก็มีส่วนของการรักษาความปลอดภัย ในสมัยโบราณมีลูกน้องไปรับจ็อบพิเศษบ้าง เป็นเรืองธรรมดา ผมยืนยันได้ว่า ไม่ได้ไปหาเรื่องใคร หรือไปเก็บค่าคุ้มครอง ผมงานแลกเงินมากกว่า พฤติกรรมรังแกชาวบ้านผมไม่มี ถ้าคนเรามีพฤติกรรมแบบนี้บารมีไม่เกิด บารมีเกิดจากอะไร ไม่ใช่การทำลาย หรือการรังแก ถ้าเราอยู่โดยไม่มีคุณธรรม ไม่มีสัจจะ ก็จะมีแต่ศัตรู ปัจจุบันไม่มีใครกลัวใคร แต่เป็นความเกรงใจ ความผูกพันมากกว่า” อดีตนายพลทหารแสดงความเห็นพร้อมกับย้ำว่า ภาพทหารมาเฟีย มันไม่ใช่ เพราะไม่ได้เป็นตัวแทนใคร เป็นตัวของเราตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คนละแนวกับอดีตเจ้าพ่อวงการนักเลง

หลังใช้ชีวิตโลดแล่นอยู่ในวงการม้า และสถานบันเทิงที่ทำให้ภาพลักษณ์กลายเป็นมาเฟียใหญ่นานพอสมควร  วันหนึ่ง พล.อ.ไตรรงค์ ก็ไปมีโอกาสทำงานร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 10 เมื่อปลายปี 43 เขาเล่าว่า มีการตั้งพรรคไทยรักไทย พ.ต.ท.ทักษิณมองว่า มีคนรู้จักเยะในกรุงเทพฯ เลยถูกชวนไปช่วย คล้ายเป็นหัวคะแนน ความที่มีพวกเยอะ หลังการเลือกตั้งผ่านไปพรรคไทยรักไทยชนะได้เป็นรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณเดิมทีจะให้ไปเป็นผู้บัญชาการคุมหน่วยกำลัง “แต่ด้วยความที่ผมสุขนิยม เสรีนิยมก็เลยปฏิเสธ ท่านนายกฯจึงให้ไปช่วยงานด้านมวลชนดูแลม็อบ”

“ผมไปทำงานด้วยสำนึก ต้องการจะพิสูจน์ตัวเองให้คนเขาเห็นว่า ผมทำได้ มาสัมผัสงานมวลชน เพราะผมออกตัวมาก่อน ชีวิตของเสธ.ไอซ์มันไม่ใช่ จนถึงปี 46 ก็ไปเป็นหัวหน้าสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม เทียบเท่าอธิบดี จากนั้นพอ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรากูร ณ อยุธยา เป็นรัฐมนตรีจึงเรียกผมไปรับใช้เป็นหัวหน้าสำนักงาน ติดยศ พล.อ.ในตำแนห่งหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทำหน้าที่เสนาธิการเต็มตัว”

จวบจนกระทั่งวันปฏิวัติรัฐประหารล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 พล.อ.ไตรรงค์ยอมเปิดใจเป็นครั้งแรกว่า รู้มาตลอด แต่ไม่อยากให้ข่าวใคร แม้กระทั่งคนในครอบครัว รัฐมนตรีก็รู้ มีการประชุมไปถึงผู้ใหญ่ พอเกิดเหตุการณ์จริง รู้สึกว่าหน้าบ้านจะมีชุดปืนกลเล็กมาประจำอยู่ “ตอนนั้นไม่อยู่ อยู่กับรัฐมนตรี ภรรยาอยู่พัทยา เหลือลูกสาวลำพัง อยู่กับท่านธรรมรักษ์ หารือกันเครียดว่า ตัดสินใจยังไงกันต่อ ท่านบอกให้ดูพระเจ้าอยู่หัวไว้ สุดท้ายก็ต้องยอมเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์นองเลือด เรื่องนี้อยู่ที่ผู้บังคับบัญชาสั่ง รบกับทหารกันเองมันไม่ได้ นับจากนั้นมาผมเป็นเป้าหมายที่โดนตามตัวมาตลอด อึดอัดพอสมควรอยู่ร่วมปี แต่ในฐานะที่เป็นเพือนร่วมรุ่น ผบ.ทบ. หรือกับ ผบ.พล.1 ผมก็บอกเขาไม่ต้องมาตามขนาดนี้ ถ้าอยากจะตามให้ส่งพลขับมาอยู่ด้วยกันดีกว่า มันอึดอัด บ้านถูกถ่ายรูป ครอบครัวพลอยได้รับผลกระทบอึดอัดไปด้วย”

“ผมเป็นข้าราชการประจำ ทุกอย่างอยู่ที่ดุลพินิจผู้บังคับบัญชาจะเอายังไง เพราะต้องทำตามคำสั่ง แต่สิ่งหนึ่งที่เรายึดมั่นก็คือ ต้องซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน เราต้องเทิดทูนสถาบัน อื่น ๆ ไม่เกี่ยว ผมไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ไม่เคยคิดเล่นการเมืองด้วยซ้ำ ถ้าจะเล่นคงสมัครเป็นสมาชิกแล้ว ชีวิตที่ผ่านมา ก่อนเกิดพรรคไทยรักไทย ใครมาติดต่อ นักการเมืองเรารู้จักหลายพรรค มีเพือนฝูงเป็นนักการเมืองคุ้นเคยกัน วันหนึ่งเกิดพรรคไทยรักไทย ภาพของผมเหมือนออกหน้า พอเข้าไปทำงานในทำเนียบรัฐบาล ภาพก็เลยออกมาคล้ายกับผมเป็นนักการเมืองคนหนึ่ง ทั้งที่ผมแค่ข้าราชการประจำ”

“กาลเวลาจะพิสูจน์ตัวผมเอง ถึงวันนี้เกษียณแลว อีกไม่นานก็ตาย เมื่อจะตาย คนเราก็มีอยู่ 2 สถานะ คือ แก่ตายเป็นโรคตาย หรือตายเพราะเหตุอื่น คือตายโหง ตรงนี้ผมไม่กลัว ผมพร้อมที่จะให้กับชาติ ผมไม่กลัวตาย คือ พร้อมจะทำงานเพื่อแผ่นดินที่เป็นเรื่องของประเทศ ผมไม่กลัวใคร ผมไม่ได้อยู่ฝ่ายใด ไม่ใช่เหลือง ไม่ใช่แดง และไม่เคยมองว่าถูกบังคับให้ไปอยู่ฝ่ายใคร ผมอยู่จุดยืนที่ว่า พร้อมจะตายเพื่อประเทศชาติ ตอนนี้แก่จนเลยวัยเกษียณแล้ว วันข้างหน้าเกิดมีเหตุการณ์ที่เราต้องกลับมารับใช้ชาติในฐานะที่เป็นพลเรือนก็พร้อม บนความถูกต้อง ถ้ามาใช้ให้ทำโน่นทำนี่บนความไม่ถูกต้อง ไม่มีคุณธรรม ไม่มีทาง” พล.อ.ไตรรงค์ย้ำเสียงหนักแน่น

“ ผมเป็นคนที่หลายคนเรียกเสรีชน หัวแข็ง มีมุมมองของตัวเองค่อนข้างสูง มีจุดยืนที่อิสรภาพ มีมุมมองเสรีของตัวเอง ผมชอบคุยกับคนหลายคนที่รู้จักเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของบ้านเมือง ธรรมชาติของเรามีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์สิ่งเรามองต่าง มองเหมือน ไม่ใช่ว่าผิด ตรงนี้ถือเป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล มีสิทธิที่จะเกลียด ใครก็ได้ที่เราเห็นว่าทำร้ายทำลายชาติ ปัจจุบันสังคมไทยแตกแยก พอเห็นไม่ตรงกันก็ต้องออกหน้า ผมอยู่ได้ในจุดที่ไม่ได้เป็นสีไหนทั้งนั้น การเห็นต่างไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกัน”

นายพลทหารวัยเกษียณยอมรับว้า วันนี้เราต้องแสวงหาความสามัคคีของคนในชาติ ต้องสมานฉันท์ ถ้าไม่เช่นนั้นไม่จบ ประเทศเราจะเหนื่อย ถ้าวันนี้ยังมองกันอยู่ว่าไอ้นี่มองต่างจากกู ไอ้นี่คือศัตรู สันติคงไม่เกิด ความร่มเย็นเป็นสุขที่ทุกคนเคยประสบมาตลอดรัชสมัยรัชกาลที่ 9 กำลังมืดมน สำหรับประเทศไทยยังไงก็แล้วแต่ เราต้องมีสถาบันหลักที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ สมัยก่อนเคยมีคำพังเพยตอนสถานการณ์การก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน คำนี้หลายคนอาจลืมไปแล้วต้องเก็บไปคิด

“ไอ้พวกที่ดึงฟ้าต่ำ สำหรับผม ก็คือศัตรู สังคมไทยปัจจุบันข้อหาที่หนักที่สุด คือ ความไม่จงรักภักดี ยัดเยียดใครไอ้คนนั้นเสียผู้เสียคนไปเลย ผมพูดคำนี้ได้เต็มปาก ผมเป็นทหารมาตั้งแต่คุณพ่อผมเป็นเสรีไทยสายอเมริกา จบโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ผมได้รับการปลูกฝังมาตลอด  ช่วงที่ผมเป็นนายร้อย คำปฏิญาณที่ถวายสัตย์ต่อหน้าพระบรมรูป ร.5 ที่ว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะรักษามรดกของพระองค์ท่านด้วยเลือด เป็นคำปฏิญาณต่อหน้าพระบรมรูป ตรงนี้มันอยู่ในสำนึกของหัวใจ”

“วันนี้หลายคนยังยัดเยียดข้อหาความไม่จงรักภักดีให้กับคนที่อยู่ตรงข้าม อ้างตัวเองจงรักภักดี ไอ้พวกนี้แหละที่ดึงฟ้าต่ำ ตัวผมเองถึงแม้จะเกษียณแล้ว อาจทำอะไรตามใจที่ชอบได้ ถ้ามีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น ครอบครัวมากขึ้น แต่พร้อมรับใช้ชาติ พร้อมที่จะตายเพื่อแผ่นดิน บัดนี้มันไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว มันคุ้มเกินคุ้มแล้ว เกษียณในตำแหน่งในยศที่สุงของกองทัพ ถึงปลดเกษียณแล้วยังต้องชดเชยบุญคุณของแผ่นดิน ที่ให้เราเกิดมา ให้งานเราทำ ให้เรามีหน้ามีตา พร้อมที่จะทำงานในฐานะพลเมืองเต็มขั้น”

 “ชีวิตผม ดีมานต่ำ ไม่ต้องมีเงินร้อยล้านพันล้าน แค่นี้ผมพอใจแล้ว ได้รับเกียรติให้มีหน้ามีตาทางสังคม ไม่ต้องไปพึ่งใคร ดำรงชีวิตอย่างปกติ ตอนนี้รู้สัจธรรมความเป็นครอบครัวแล้ว สิ่งที่ต้องคำนึงคือ ความสุขที่เกิดจากความสำเร็จของครอบครัว ยศฐาบรรดาศักดิ์เป็นของนอกกาย เป็นของสมมติ พอพ้นจากข้าราชการก็หายไปจากสังคม แต่ผมยังอยู่ เพราะว่า ผมต้องทำในสิ่งที่ผมต้องทำต่อไป ไม่ใช่เกษียณแล้วหายหน้าหายตาไปจากสังคม”

“แต่สรุปแล้วเสธ.ไอซ์ยังอยู่” พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต ทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม

 

“รู้จักกับเขาเหรอ พรหมลิขิตมั้ง ตอนนั้นอายุ 17 -18 ปี เพื่อนเขามาจีบพรรคพวกเรา เราก็ไปควบคุมดูแลเพื่อนเลยรู้จักกัน ตอนนั้นไปเป็นกลุ่ม เขายศ ร.ท.อายุ 27-28 ปี เราเป็นแค่เด็กมหาวิทยาลัยปี 1 ไม่ชอบคนในเครื่องแบบอยู่แล้ว เพราะช่วงนั้นมีเหตุการณ์ 14 ตุลาพอดี หลังรู้จักันจริง ๆ มันก็บอกอะไรบางอย่างว่า สิ่งที่เราคิด กับสิ่งที่เราเจอจริงอาจไม่เหมือนกัน รู้จักกันนาน 7-8 กว่าจะตัดสินใจคบหา เพราะเขาไปรบที่น่าน มีอยู่วันเขาถูกยิงทะลุหมวก เขามีความรู้สึกว่า ความเป็นความตายมันเท่ากันจึงเขียนพินัยกรรม แบ่งทรัพย์ให้เรากับแม่ พอเราเห็นพินัยกรรมเลยเกิดความรู้สึกว่า ผู้ชายคนนี้เขาซีเรียสกับเราขนาดนี้เชียวหรือ หลอกหรือเปล่าไม่รู้ แต่ก็ตัดสินใจแต่งงานอยู่ด้วยกัน”

ผศ.ดร.มานวิภา อินทรทัต

 

 

“มันเป็นเพราะที่บ้าน ทำให้เราเรียนรู้ในตัว อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ตลอด ซึมซับเข้าตัวเองโดยอัตโนมัติว่า ควรจะต้องทำอย่างไร แต่ไม่ได้ถูกบังคับให้ต้องคิดเหมือนกัน คิดต่างก็ไม่เป็นไร คุณพ่อ คุณแม่ไม่เคยว่า แล้วแต่เรื่อง แล้วแต่หัวข้อ บางเรื่องคิดเหมือนกัน บางเรื่องตรงกันข้ามอย่างรุนแรง เป็นปัญหาของคนไทยที่ว่า ไม่ยอมรับความคิดของคนอื่น แต่พยายามให้คนอื่นยอมรับความคิดของตัวเอง ถ้าฟังก็จบกัน ไม่ใช่ว่าไม่เห็นด้วยต้องเป็นศัตรู ไม่ใช่ต้องมาแบ่งสีเลือกข้าง”

“อุ๊บอิ๊บ” ปิยะวิภา อินทรทัต

 

 

RELATED ARTICLES