“จีนไม่อยากเห็นความเป็นสองมาตรฐาน ไม่อยากเห็นคนดูถูกกัน”

 

วันเดียวทำเอาดังไปทั่วเมือง ทั้งที่คลุกคลีอยู่กับกิจกรรมทางการเมืองมานับตั้งแต่ปี 2553

หลังจาก “จีน”พุธิตา ชัยอนันต์ สาวสวยใจกล้าบุกยื่นหนังสือให้สมชัย ศรีสุทธิยากร คณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2557 เรียกร้องให้คณะกรรมการเลือกตั้งลาออกทั้งชุดในระหว่างแถลงข่าวที่สโมสรกองทัพบกเรื่องประเด็นร้อนที่จะเลื่อนการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ออกไป

แถมชูป้ายข้อความ“เห็นหัวเราบ้าง”ระบายความคับแค้น

เธอให้เหตุผลว่า การเลือกตั้งเป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย แม้มันไม่ใช่ทั้งหมด แต่ต้องมี คนเราเกิดมาแม้จะมีความแตกต่างกันทางชาติกำเนิด ฐานะ ชนชั้น แต่ทุกคนเป็นคนเหมือนกัน การนับหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงก็เป็นหลักประกันว่า มีตัวตน และเท่าเทียมกัน

ประวัติหญิงสาวตัวแทนคนรุ่นใหม่ผู้มาดมั่นรายนี้ กำลังเรียนปริญญาโท คณะสังคมศาสตร์ สาขาการพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เกิดเชียงใหม่ พ่อแม่ค้าขายทำธุรกิจเปิดร้านอาหารเมืองเหนือ ตอนเด็กอยากเป็นครู พอโตเริ่มลังเลจับทางตัวเองไม่เจอ สอบเข้าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วยความคิดที่ว่า น่าจะเรียนได้ เป็นอะไรที่ท้าทาย และสำคัญคืออยากเปลี่ยนแปลงสังคม

“อยากเปลี่ยนแปลงสังคม” จีนย้ำ “เราเห็นปัญหามากมายจึงอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลง” เธอแสดงเหตุผลหน้าตาจริงจังพร้อมขยายความว่า ความคิดนี้น่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนมหาวิทยาลัยปี 2-3 ไปช่วยทำงานที่บ้านขายของในตลอด เห็นคนหลากหลายประเภท โดยเฉพาะคนยากจนเลยอยากช่วยเหลือ เห็นปัญหาสังคมเยอะ  แต่ไม่แน่ใจว่านี่เป็นจุดเปลี่ยนหรือไม่ ยอมรับว่า ตอนเด็กมีความคิด 2 อย่าง คือ อยากไปบวชชี กับเปิดมูลนิธิช่วยเหลือเกี่ยวกับคนจน เด็กกำพร้า เป็นคนขี้สงสารหรือเปล่าไม่รู้

ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย ตัวเธอยังไม่ได้ทำกิจกรรมอย่างจริงจัง ไม่ได้เข้าชมรม ออกค่าย หรือเคลื่อนไหวอะไร เลือกเข้าแนวสายบันเทิงมากกว่า รับงานถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา เป็นรายได้ช่วยพ่อแม่กระทั่งหันมาสนใจการเมืองตอนรัฐประหารปี 2549 และเริ่มหนักขึ้นตอนปี 52-53 ยิ่งหลังเหตุการณ์นองเลือดได้มีโอกาสเข้าไปอบรมครอสห้องเรียนประชาธิปไตย บุ๊กรีพับลิกที่เชียงใหม่ ทำให้ได้ความรู้ทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติจุดประกายความคิดอยากรวมกลุ่มทำกิจกรรม เคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรม เริ่มตั้งแต่ กรณี สมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย และบรรณาธิการบริหารนิตยสารวอยซ์ออฟทักษิณ ถูกจับดำเนินคดีตัดสินจำคุก พวกเธอถึงมองว่า ถึงเวลาแล้วกฎหมายต้องเปลี่ยน สังคมต้องเปลี่ยน

“ มีความรู้สึกว่าสังคมไม่เป็นธรรม จีนเห็นว่ากฎหมายบางอันไม่เป็นธรรม เราเรียนมาทางนี้ เราเห็นว่ากฎหมายมันเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจ ไม่ใช่กฎหมายของประชาชน คนตัวเล็กตัวน้อย แทนที่กฎหมายจะช่วยเหลือ กฎหมายกลับทำร้ายคนไม่มีปากเสียงในสังคม แต่กฎหมายทำอะไรคนที่มีอำนาจมีเงินไม่ได้”จีนเปิดมุมคิด

เธอว่า ตัดสินใจร่วมเคลื่อนไหวกับคนเสื้อแดงตั้งแต่ปี 2553 เพราะเราหงุดหงิด น่าจะบอกว่าตัวเองเป็นเสื้อแดงช่วงสลายการชุมนุม ก่อนหน้าเราไปฟังบ้าง แต่ยังไม่เท่าไร พอสลายการชุมนุมมีคนตาย 90 กว่าศพ แล้วเพื่อนเราบางคนกลับสะใจ มาบอกว่าจะไม่มีห้างเดิน เราก็ยิ่งหงุดหงิด ตอนนั้นเริ่มโพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดีย เริ่มแสดงตัว ไม่อยากให้คนมาดูถูกกัน จับกลุ่มเพื่อนครั้งแรกได้เกือบ 10 คน ไม่มีใครบอกว่าตัวเองเป็นเสื้อแดง แต่ทุกคนมีความคิดคล้ายๆ กันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่แฟร์

พวกของเธอทำกิจกรรมสวมหน้ากากสมยศไปในงานรับปริญญาของมหาวิทยาลัย เรียกกลุ่มตัวเองว่า เป็น “กลุ่มวันใหม่” รวมตัวทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัย ตอนแรกไม่มีใครต่อต้าน พอมีข่าวออกไป อาจารย์ที่ปรึกษาเริ่มโดนกระแสกดดัน แต่พวกเธอยังคงเดินหน้าต่อ มีสมาชิกอุดมการณ์เดียวกันมารวมตัวแสดงออกมาขึ้นถึงขั้นไปพบอมรา พงศาพิชญ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้รวมกลุ่มกับนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กลายเป็นออกมาเคลื่อนไหวทำกิจกรรมทางเมืองในนามกลุ่มวันใหม่ของคนรุ่นใหม่ตลอด

“คิดว่าสิ่งที่เราทำ คนเดียวคงไม่เปลี่ยน คงต้องมีแนวร่วม อนาคตเชื่อว่า มีเยอะที่เห็นปัญหา และมองปัญหาคล้ายๆ เรา แต่เราจะทำยังไงให้คนพวกนี้กล้าแสดงออก ไปร่วมทำกิจกรรม อะไรที่พวกเราเห็นด้วยเราก็ไป แต่อะไรที่ไม่เห็นด้วยก็ไม่ไป ถามว่า กลัวไหม ไม่กลัวอะไร แม้แต่อิทธิพลมืด ตอนแรกไม่มีใครรู้จัก อยู่ในกลุ่มเล็กๆ ทำกับพวกเอ็นจีโอรุ่นใหม่จะรู้จักกัน”

พอเหตุการณ์บุกไปยื่นหนังสือท้าทายคณะกรรมการการเลือกตั้งครั้งนั้น เจ้าตัวรับว่า มีผลตรงที่คนรู้จักมากขึ้น บางทีต้องปลอมตัว เปลี่ยนสีผม ส่วนพ่อแม่ไม่ห้าม แค่ห่วงเรื่องความปลอดภัย เรื่องการวางตัวในการให้สัมภาษณ์ ก็มีสอนเราบ้าง ไปไหนมาไหนก็ต้องระวังตัวมากขึ้น เพราะเพิ่งโดนกระชากกระเป๋าแถวประชาไทหลังออกมาจากสัมภาษณ์ เกี่ยวกันหรือเปล่าไม่รู้ อาจจะเป็นแค่โจรธรรมดา แต่ทุกวันนี้ไปไหนมาไหนคนเดียว บางทีก็ไปกับเพื่อน

นักศึกษาปริญญาโทสาวมองว่า เราทำตรงนี้มันได้เพื่อนใหม่  ขณะที่เพื่อนเก่าบางคนเห็นต่างจะไม่คุย เราก็ไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร จริงๆ เราอยากคุย ให้เห็นมุมมอง แต่ยังไม่เห็นมีใครมาคุยด้วยเลย ทุกวันนี้ไปไหนมาไหนมีคนรู้จักมากขึ้น จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจอยากดัง ต้องการแสดงสัญลักษณ์ ไม่ได้มาในฐานะคนเสื้อแดง แต่เป็นกลุ่มเราเอง เป็นตัวแทนนักวิชาการมายื่นให้ คิดว่าแค่มีข่าวออก เป็นชายหญิงนิรนาม

ทว่าผลกระทบที่ตามมากลับกลายเป็นสังคมภายในรั้วมหาวิทยาลัยที่เธอกำลังเรียนต่อปริญญาโทอยู่ จีนเล่าว่า ส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ไม่เห็นด้วยกับเราทั้งหมด พวกอาจารย์ส่วนใหญ่เป็น แนว กปปส. มีนักเขียน นักวิชาการบางกลุ่มที่ออกแนวเดียวกับเรา จะบอกว่า เป็นเสื้อแดงก็ไม่ใช่ ตอนนี้ก็มีปัญหากับการเรียนอยู่บ้าง อย่างจะทำวิทยานิพนธ์เป็นแนวของเสื้อแดง เวลาไปขอทุน เขาจะไม่ให้ ทุกวันนี้ก็ออกทุนเอง เราไม่ได้สนใจ เพราะเราอยากทำ

สาวน้อยผู้กล้าฝันอยากเปลี่ยนแปลงสังคมบอกอีกว่า หลังจากนี้อยากทำหลายโครงการที่คิดไว้ อยากทำพวกงานด้านสังคม อยากเปิดมูลนิธิ ในอนาคตยังคิดอยากทำพิพิธภัณฑ์ประชาชน ทุกวันนี้เราเข้าไปก็มีประวัติศาสตร์บุคคลสำคัญ แต่ว่า มันขาดประวัติศาสตร์ของประชาชนคนรากหญ้า เป็นพิพิธภัณฑ์ของคนไทยทุกกลุ่มที่สูญเสียจากทั้งทางการเมือง และไม่ใช่การเมือง ทั้งคนพิการ แรงงานข้ามชาติ แต่คิดว่าคงทำคนเดียวไม่ไหว ต้องพึ่งนักวิชาการ ถ้าเป็นนักวิชาการเราก็คงต้องเรียนต่อปริญญาเอก

แกนนำกลุ่มวันใหม่ปฏิเสธจะปูทางสู่สนามการเมือง แต่จะเคลื่อนไหวในแบบชาวบ้านแนวนี้ต่อไปตามเจตนารมณ์ที่วาดหวังไว้อยากเป็นการเปลี่ยนแปลงในสังคม “จีนไม่อยากเห็นความเป็นสองมาตรฐาน ไม่อยากเห็นคนดูถูกกัน คนรวยดูถูกคนจน ส่วนจะทำได้หรือไม่ คิดว่าคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทั้งหมดได้ และมีท้อบ้าง ท้อแล้วก็นอนหลับไป ตื่นเช้ามาก็มีกำลังใจใหม่ เวลาท้อก็จะฟังเพลง หาเพลงที่ให้กำลังใจ”

ทิ้งท้ายจีนฝากแนวคิดว่า การเมืองคือชีวิต มันอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคนอยู่แล้ว ที่ออกมารณรงค์ทางการเมือง เพราะเห็นถึงความไม่เป็นธรรม ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารและมาตาสว่างตอนเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงปี 2553 ตัวเองก็เคยไปฟังการชุมนุมของ กปปส. แต่ฟังแล้วรู้สึกแย่ หดหู่ คนที่ขึ้นไปพูดส่วนใหญ่จะปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชัง นำเสนอข้อเท็จจริงเพียงด้านเดียว ไม่รู้เขาพูดออกมาได้อย่างไร ข้อเท็จจริงอีกแบบอ้างหลักการและเหตุผลอีกแบบทั้งที่ไม่เกี่ยวกันเลย

 

“ถึงตรงนี้อยากให้มวลชนทั้ง 2 ฝ่ายถอยออกมาจากจุดที่ตัวเองยืนบ้าง เมื่อถอยออกมาเราอาจจะเห็นว่า พวกเราเป็นเพียงเบี้ยทางการเมืองเท่านั้น มันเป็นเกมการแย่งชิงผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจเท่านั้น เราเป็นประชาชน เป็นคนเหมือนกัน ไม่ควรมาเกลียดชังกัน มาทำร้ายกันเพราะเรื่องแบบนี้” สาวรุ่นใหม่ตอกย้ำความจริงที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองปัจจุบัน

 

 

 

 

 

RELATED ARTICLES