ก้าวที่ 6  มือวิสามัญฯ

“อาครับ ผมอยากเป็นอาสาสมัครต้องทำอย่างไรบ้างครับ”

ผมตัดสินใจอยู่หลายวันกว่าจะเดินเข้าไปถามสมศักดิ์ ปาลวัฒน์ ผู้จัดการมูลนิธิร่วมกตัญญู ที่แกรู้จักคุ้นเคยทำงานในสนามกู้ภัยเหตุอุทกภัยร่วมกับพ่อผมหลายครั้ง

“ได้เลยหลานชาย ไปเอารูปถ่ายมาแล้วผมจะทำบัตรให้”แกเปิดทางสะดวก

ไม่น่าเชื่อตัวเองเหมือนกันว่า จากเคยกลัวศพจนตัวสั่นในวันแรกที่สะพายกล้องถ่ายรูปไปตะลุยชักภาพสะเทือนประสาท ต่อมากลับกลายเป็นแรงผลักดันให้ผมสนใจอยากเป็นอาสาสมัครเก็บศพหน้าตาเฉย

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่า ผมต้องเทียวไปเทียวมาเพื่อหารูปส่งวิชาถ่ายภาพข่าวตามหลักสูตรเรียนสายวารสารศาสตร์ให้ทันเส้นตายของอาจารย์ ปรากฏว่า หลังเกาะติดรถมูลนิธิไปบ่อยครั้งวนเวียนอยู่หลายรอบทั้งช่วงกลางวัน กลางคืน แต่ดันไม่เจอภาพเหตุการณ์สยองขวัญให้ผมได้บันทึกติดกล้อง Nikon FA คู่ใจสักภาพเดียว

ดวงผมมันไม่สมพงษ์ หรือเขาจงใจขีดเส้นให้เราเดินมาตรงนี้กันแน่

เนื่องจากสิ่งที่ผมเจอระหว่างนั่งรถมูลนิธิกลับเป็นความศรัทธาที่เห็นพวกเขาลงไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในยามประสบอุบัติเหตุไร้คนเหลียวแล หรือแม้กระทั่งร่างไร้วิญญาณก็ปราศจากผู้ใดเข้าไปนำเขาส่งสถาบันนิติเวชตามกระบวนการของกฎหมายก่อนติดต่อญาติรับไปบำเพ็ญกุศล

จากที่เคยยืนดูซึมกะทือ เก้ ๆ กัง ๆ ตอนหลังผมต้องกระโดดลงไปช่วยอุ้ม ช่วยแบก ช่วยหิ้ว แบบไม่ได้มีความรู้สึกขยะแขยง หรือรังเกียจ หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย

จมูกผมเริ่มปรับตัวชาชินกับกลิ่นคาวเลือด กลิ่นซากศพเน่าคลุกเคล้าด้วยแรงอานุภาพของน้ำยาฟอร์มาลีน บ่อยครั้งที่ได้เข้าไปห้องเก็บศพสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ก็ยังเจอกับภาพชินตาของเพื่อนมนุษย์ไร้ลมหายใจนอนเกลื่อนเต็มพื้นห้องเย็น เมื่อลิ้นชักตู้แช่แข็งแน่นเต็มเอียดจนล้นทะลัก บางช่องอัดเข้าไปรวมกันถึง 2-3 ราย

นี่แหละเป็นเหตุให้ผมรู้ถึงสัจธรรม ความตายอยู่ไม่ห่างจากกายเราเลยสักนิด

“พวกผมมาทำตรงนี้ก็เหมือนได้บุญอย่างหนึ่งนะ” ศุภกิจ เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู รหัสเรียกขานนคร 64 ให้เหตุผล

ผมจะเลือกขึ้นรถนคร 64 บ่อยที่สุด หลังจากรู้จักสัมผัสตัวตนของพี่เขาแล้วมั่นใจว่าแกมีอุดมการณ์อยู่เต็มหัว

ผู้ใหญ่ใจดีคนนี้สอนให้คิดอะไรหลายอย่างระหว่างนั่งรถเข้าเวรปฏิบัติงานจนบางทีผมเกือบจะเป็นผู้ช่วยเขาไปแล้ว ถ้าวันไหนคู่สายเบี้ยวไม่ยอมมาทำงาน เขาเริ่มสอนตั้งแต่ภาคปฏิบัติในวิธีการปูผ้าดิบ เอากระดาษปูรองทับอีกชั้นแล้วถึงยกศพลงไปวางก่อนห่อมัดหัวท้ายใช้ผ้าดิบที่ฉีกเป็นเส้นมัดตรงกลางลำตัวอีกที ศพไหนตายนานจนแข็งแล้วก็ต้องรู้วิธีการดัดเส้นเอ็น ส่วนศพที่ตายมาหลายวันขึ้นอืดส่งกลิ่นเหม็นก็จำเป็นต้องใช้กระดาษปูรองเยอะหน่อย สอนกระทั่งพิมพ์ลายนิ้วมือศพส่งพนักงานสอบสวน หากออกตระเวนกะเช้าส่วนมากเราจะไปจอดเฝ้าระวังเหตุอยู่ใต้สะพานลอยข้ามแยกลาดพร้าว ถ้าเป็นกลางคืนพวกเขาก็มักวนเวียนไปซุ่มตามโรงพัก

สมัยก่อนยังไม่มีแบ่งขอบเขตพื้นที่การทำงานที่ชัดเจน ทำให้มูลนิธิร่วมกตัญญูกับมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งมีเรื่องราวปะทะกันบ่อย เมื่อต่างฝ่ายต่างตะบี้ตะบันอัดความเร็วปานพายุเพื่อให้ไปถึงที่เกิดเหตุก่อนเป็นเจ้าแรก

ข่าวคราวทะเลาะวิวาทยกพวกตีกันในเรื่องแย่งศพจึงปรากฏอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์เสมอเช่นเดียวกับข่าวร่ำลือไปในทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิชอบปลดทรัพย์สินคนตาย หรือคนเจ็บ แสดงบทอีแร้งรุมฉีกร่างเหยื่อ

ประเด็นร้อนเหล่านี้ ตัวผมอยากรู้นะ แต่ไม่กล้าถามเอาความจริงจากใคร

“น้องรู้ไหม ถ้าไม่มีพวกเรา แล้วใครจะมาทำงานแบบนี้”ศุภกิจอธิบาย

ผมเริ่มคล้อยตาม

“บางทีตำรวจกว่าจะมา ถ้าทิ้งศพนอนเลือดนองพื้น มันสมองกระจาย ถามว่าจะอุจาดขนาดไหน”

“เขาบอกว่า มูลนิธิได้ค่าหัวในการเก็บศพ หรือเวลาพาคนเจ็บส่งตามโรงพยาบาลเอาชนจริงหรือพี่” ผมเริ่มขยับปากคลายข้อกังขา

“ที่อื่นผมไม่รู้ แต่ที่ร่วมกตัญญูไม่มี พวกเราทำเพราะมีจิตอาสา เรามีเงินเดือน อาจจะไม่มาก แต่ก็พออยู่ได้ ไอ้พวกที่หยิบของจากศพ ปลดทรัพย์คนเจ็บ ผมก็เชื่อว่ามี บางทีเราคุมไม่ได้ หลายงานมีอาสาสมัครเข้ามาช่วย แต่เราก็ต้องเชื่อใจเขา”หนุ่มใหญ่มากประสบการณ์งานไม่ต่างสัปเหร่อวัดบอก

ผมก็เชื่อว่าทุกองค์กร ทุกสังคมย่อมมีคนดี และคนไม่ดีปะปนรวมอยู่ มันอยู่ที่ว่า เราจะเลือกหยิบคนจำพวกไหนขึ้นมาเท่านั้น

มูลนิธิร่วมกตัญญูเกิดขึ้นจากสมเกียรติ สมสกุลรุ่งเรือง พ่อค้าขายกาแฟชาวจีน ได้ช่วยเหลือ ผู้ด้อยโอกาสกว่าในชุมชนแออัด ตรอกโรงหมู กล้วยน้ำไท โดยเฉพาะกับคนจนๆ ที่ตายแล้วไม่มีเงินซื้อโลงศพ ต่อมา ขยายวงจรจากท่าเรือคลองเตย ไปถึงพระโขนง พระประแดง บางขุนเทียน ใช้ชื่อ “ศาลหลวงปู่เปี่ยม”จนในปี 2513 จัดตั้งเป็นมูลนิธิ มี โรจน์ โชติรุ่งเรือง และคณะกรรมการรวม 15 ท่าน ส่วน สมเกียรติ สมสกุลรุ่งเรือง เป็นผู้บริหารงาน และรัตนา สมสกุลรุ่งเรือง ภรรยา เป็นเลขาธิการ หลังจากโรจน์ถึงแก่กรรม คณะกรรมการบริหารมูลนิธิยื่นขอเปลี่ยนใบอนุญาตจัดตั้งมูลนิธิร่วมกตัญญู เปลี่ยนชื่อประธานกรรมการมาเป็นชื่อ สมเกียรติ สมสกุลรุ่งเรือง เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2530

อ่านประวัติของมูลนิธิแล้ว ผมถึงศรัทธากับงานการกุศลที่เสียสละแบบนี้ แต่ผมยังมั่นใจว่า เจ้าหน้าที่บางคนในมูลนิธิมียักยอกฉกทรัพย์เหยื่อจริง เหตุเพราะได้ยินมากับตัวเอง แม้คำพูดเหล่านั้นอาจจะทีเล่นทีจริงก็ตาม

“ผมไม่เอาหรอก ทรัพย์สินของคนเจ็บ” หนุ่มมูลนิธิคนหนึ่งหลุดออกมา เขาทิ้งเหตุผลว่า คนเจ็บอาจมีความจำเป็นเดือดร้อนต้องใช้เงินใช้ทองมากกว่าคนตาย

“แต่คนตายแล้วจะเก็บไว้ใช้อะไรล่ะ” เด็กหนุ่มคนนั้นพูดติดตลก

“จริงว่ะ” ผมว่า แต่ไม่ได้แสดงความเห็นอะไร

บทสนาเงียบ ๆ ระหว่างเราบนกระบะหลังรถเก็บศพที่ยังมีรอยเลือดแห้งเกรอะกรังกลิ่นคาวยังไม่จางมาสิ้นสุดลงตรงหน้าโรงพักหัวหมาก ผมดูนาฬิกาเวลาประมาณ 3 ทุ่มกว่า ลุ้นอยู่เหมือนกันว่า คืนนี้จะมีเหตุการณ์อะไรตื่นเต้นบ้างไหม

ลงไปยืดเส้นยืดสายสักพัก เจ้าของรหัสนคร 64 ก็เดินย่องลงมาจากโรงพักมองซ้ายมองขวาแล้วหันกระซิบ

“สงสัยคืนนี้จะมีการวิสามัญฯ”

ผมเริ่มฉงนอยากถามเหมือนกันว่า รู้ได้ยังไง

“ท่านวินัย เปาอินทร์มาทีไรเป็นเรื่องทุกที”

“ใครครับพี่” ผมถาม

“ผู้กำกับสืบสวนเหนือ มือวิสามัญฯ”

ผมทำไม่รู้ไม่ชี้ย่องขึ้นไปแอบชำเลืองมองบนโรงพัก คิดในใจไหนวะ มีแต่อาแป๊ะสวมชุดซาฟารีสีครีมกำลังยืนอัดบุหรี่ตองห้าสูดเข้าเต็มปอดก่อนพ่นควันโขมง นาฬิกาเรือนทองที่ข้อมือบ่งบอกฐานะว่า น่าเป็นอาเสี่ยนักธุรกิจเงินถุงเงินถังมีระดับใช่ย่อย

ไม่เห็นเงามือปราบคนไหนสักหน่อ

“มีเสี่ยคนหนึ่งไม่รู้มาทำไมครับพี่” ผมเดินกลับลงมาที่รถด้วยความผิดหวังที่ไม่ได้เห็นหน้ามือวิสามัญฯอย่างที่พี่เขาว่าไว้

ศุภกิจนั่งอยู่บนเบาะคนขับอมยิ้มเหมือนจะหัวเราะ

“คนนั้นแหละน้อง พันตำรวจเอกวินัย เปาอินทร์ ผู้กำกับสืบสวนเหนือ”

“หา…อะไรนะ มาดไม่ให้เลย”

“แกดุฉิบหาย ยิงโจรตายมาหลายศพแล้ว ดังมาก คืนนี้มาโรงพักหัวหมากอาจจะมีงาน ไม่แน่อาจมีวิสามัญฯ คืนนี้เราคงไม่ต้องไปไหนแล้ว” ศุภกิจเสนอแนวคิด

คืนนั้นทั้งคืน พวกเราถึงนั่งจับเจ่าอยู่ในรถที่จอดซุ่มหน้าโรงพัก ความเงียบสงัดบนถนนรามคำแหงที่ปราศจากรถวิ่งพลุกพล่านพาลให้บรรยากาศวังเวงชอบกล

ผ่านไปจนถึงรุ่งสางอาการตื่นเต้นลุ้นระทึกของผมเริ่มซาลงด้วยความอ่อนเพลีย เสียงยุงบินว่อนโสตประสาทหู ยิ่งฟังยิ่งหงุดหงิดตบแล้วตบอีกก็ยังไม่หมดสักที

“สงสัยเราจะแห้ว”หนุ่มใหญ่ร่วมกตัญญูบ่น

ผมสะลึมสะลือมาตลอดทั้งคืนไม่สนใจอะไรแล้ว พอพี่แกขับรถออกจากโรงพักมุ่งหน้าคลองเตยเราก็รู้ทันทีว่า ภารกิจที่รอคอยเป็นหมัน

พอกลับถึงบ้านหัวถึงหมอนก็นอนสลบไม่เป็นท่า และไม่เคยใส่ใจด้วยว่า เหตุการณ์เมื่อคืนเป็นอย่างไร

ถัดจากนั้นเพียง 2 วัน ผมหยิบหนังสือพิมพ์ไทยรัฐกรอบบ่ายขึ้นมาอ่าน

มีข่าวตำรวจสืบสวนเหนือตามจับตายมือปืนรับจ้างเป็นผีเฝ้าถนนย่านแฮปปี้แลนด์ ท้องที่ลาดพร้ามเขตติดต่อหัวหมาก ผมเปิดเข้าไปอ่านอย่างละเอียด ปรากฏชื่อของ พันตำรวจเอกวินัย เปาอินทร์ ผู้กำกับการสืบสวนเหนือ เป็นผู้อำนวยการสั่งการ

“สงสัยคืนนั้นมือปราบมัจจุราชคงฮอลลิเดย์ เสียดายว่ะ” ผมนึกในใจ

วินัย เปาอินทร์กลายเป็นนักสืบมือปราบคนแรกที่ผมสัมผัสใกล้สุด หลังจากก่อนหน้าแค่เห็นภาพของ “วีรบุรุษนาแก” เสรี เตมียเวส ในละครโทรทัศน์ที่รับบทโดยพระเอกมาดสุขุม อนุสรณ์ เดชะปัญญา หรือไม่ก็ฐาปกรณ์ ดิษยนันท์ ในบทของสมเกียรติ พ่วงทรัพย์ นายตำรวจคู่กัด “ตี๋ใหญ่” ที่ส่งให้ฉัตรชัย เปล่งพานิช แจ้งเกิดโด่งดังเป็นพลุแตก

ผมเลยย้อนไปค้นประวัติผู้กำกับวินัย พบเป็นคนอ่างทอง ชาวอำเภอวิเศษชัยชาญ สมัยเป็นสารวัตรสืบสวนโรงพักสามเสนสามารถแกะรอยจับคนร้ายลักเครื่องลายครามในวังสุโขทัยจนได้รับพระราชทานแหนบทองคำจากพระนางเจ้ารำไพพรรณี เข้ามาทำงานกองสืบสวนเหนือในตำแหน่งรองผู้กำกับการ กระทั่งขึ้นเป็นผู้นำหน่วยสร้างเนื้องานปราบปรามจนได้โล่เกียรติคุณมากมาย โดยเฉพาะผลงานโบแดงนำทีมจับตาย 3 ศพวายร้ายฮ่องกงบุกชิงตัวนักโทษในศาล

กรมตำรวจชมเชยว่าเป็นหัวหน้าทีมสืบสวนดีเด่นของนครบาล

เสียดายคืนวันนั้นทุกอย่างไม่เป็นไปตามนัด หรืออาจเป็นเพราะว่าดวงของผมอาจไม่มีบุพเพสันนิวาสกับปฏิบัติการจับตายวายร้ายหรือเปล่า

คล้อยหลังจากกินแห้วคราวก่อนไม่นาน ผมยังคงนั่งรถมูลนิธิร่วมกตัญญูในบทอาสาสมัครสวมเสื้อช็อปสีเขียวขี้ม้าปักตรามูลนิธิอยู่ด้านหลัง เจ้าของนามเรียกขานนคร 64 พาเราไปจอดแช่อยู่ในซอยใกล้แยกราชเทวี ถนนพญาไทนานอยู่หลายชั่วโมง กระทั่งบ่ายใกล้เวลาออกเวร รถคันประจำที่ผมนั่งไปได้ลัดเลาะจ่อออกอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเตรียมมุ่งหน้ากลับมูลนิธิที่คลองเตย

“นส.ใต้ 1 เรียกนารายณ์”

“นารายณ์ ว.2 นส.ใต้ 1”

เสียงคลื่นวิทยุศูนย์นารายณ์ดังลั่นชัดเจน ศุภกิจบอกให้ทุกคนในรถเงียบ

“ขณะนี้ นส.ใต้ 1 พร้อมกำลังล้อมจับคนร้ายบริเวณลานจอดรถชั้น 6 ห้างมาบุญครองเซ็นเตอร์ คนร้ายยิงต่อสู้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงตอบโต้เสียชีวิต 2 รายเปลี่ยน”

“นารายณ์ทราบ”

เสียงสัญญาณแจ้งเหตุทางวิทยุสื่อสารของตำรวจดังขึ้น 3 ครั้ง

“นารายณ์แจ้ง น.ผู้บังคับบัญชา นารายณ์รายงานเหตุวิสามัญฆาตกรรม รับแจ้งจาก นส.ใต้ 1 พร้อมกำลัง……..”

“บ๊ะ … ให้มันได้อย่างนี้ซิวะ อยู่ตรงนั้นตั้งนาน ไม่ยิงกัน ออกมาแป๊บเดียวล่อกันเลย” ลูกพี่ศุภกิจหัวเสียทันที ยิ่งมารู้ว่ามูลนิธิคู่แข่งถึงที่เกิดเหตุแล้ว

ผมมารู้ตอนหลังว่า เหตุวิสามัญฆาตกรรมกลางห้างดังปทุมวันตอนกลางวันแสก ๆ พันตำรวจเอกอาทิจ ชูตินันท์ ผู้กำกับการสืบสวนนครบาลพระนครใต้ เจ้าของรหัส นส.ใต้ 1 หรือนายตำรวจสืบสวนใต้ 1 มอบหมายให้พันตำรวจโทสมคิด บุญถนอม สารวัตรนักสืบฝีมือดีนำทีมวางแผนแกะรอยแก๊งโจรกรรมรถตัวฉกาจตามห้างสรรพสินค้าก่อนดวลปืนกันสนั่นส่งคนร้ายลงนรกไป 2 ศพ

ผมเฉียดจะสัมผัสคดีวิสามัญฯแบบนี้อีกแล้ว

แต่ก็ทำให้ได้เรียนรู้ว่า นอกจากสืบสวนเหนือจะมีพันตำรวจเอกวินัย เปาอินทร์ เป็นตัวชูโรงแล้ว ฝ่ายสืบสวนใต้ก็มีพันตำรวจเอกอาทิจ ชูตินันท์ พ่วงท้ายด้วยพันตำรวจโทสมคิด บุญถนอม นายตำรวจนักสืบดาวรุ่งอีกคน

ทำนองว่า ถ้ามีสิงห์เหนือก็ต้องเจอกับเสือใต้ เมื่อเสียงคำรามของกระสุนปืนดับวายร้ายเกิดขึ้นที่ถิ่นเหนือเมื่อใด ฝั่งใต้ก็ไม่ยอมน้อยหน้าเสียฟอร์มเช่นกัน

ผมเริ่มชักสนุกกับงานติดตามข่าวปฏิบัติการเชิงบู๊ล้างผลาญของบรรดามือปราบปืนดุในนครบาลซะแล้ว

RELATED ARTICLES