6 เดือนในโรงเรียนยานเกราะ บางกระบือ เสร็จสิ้นการฝึกอบรมท่าบุคคลมือเปล่าและอาวุธ ผ่านการเรียนรู้เรื่องสื่อสารยานยนต์ และอาวุธอย่างผิวเผิน นักเรียนนายสิบยานเกราะรุ่น 5 จำนวนประมาณ 260 นาย (ที่ต้องใช้คำว่าประมาณก็เพราะคำสั่งกองทัพบก (เฉพาะ) ที่ 167 / 2498 เรื่องบรรจุนักเรียนนายสิบเหล่า ม. (ยานเกราะ) พ.ศ.2498 รุ่นที่ 1 ลงนามโดย พลโทประทักษ์ จันทราภา เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก มีจำนวน 244 นาย แต่ภายหลังมีการบรรจุเพิ่มอีกจึงประมาณว่านักเรียนนายสิบยานเกราะรุ่น 5 มีประมาณ 260 นาย)
เด็กหนุ่มหัวเกรียนเหลือไม่ถึง 260 คน ลาออกระหว่างการฝึกบ้าง หนีไปเฉย ๆ บ้าง ไปเรียนต่อสายงานอื่น ๆ บ้าง ได้รับคำสั่งไปสังกัดกองพันทหารม้าต่าง ๆ ที่มีรถถังแบบ M.24 ทันสมัยที่สุดใน พ.ศ.2498 ประจำการ
โรงเรียนยานเกราะก็รับนักเรียนนายสิบรุ่น 6 มาฝึกอบรมต่อไป
ผมกับเพื่อนร่วม 50 คน ไปอยู่กองพันทหารม้าที่ 9 ที่ตั้งหน่วยอยู่อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ “ พันโทสะอาด ฉิมโฉม” เป็นผู้บังคับกองพัน แบ่งเป็นกองร้อยรถถังที่ 4 (ตามโครงสร้างจะต้องขึ้นสังกัดกับ “กรมผสมที่ 4” จังหวัดนครสวรรค์) กองร้อยรถถังที่ 7 ขึ้นกับกรมผสมที่ 7 จังหวัดลำปาง และกองร้อยลาดตระเวนที่ 3 ขึ้นกับกองทัพภาคที่ 3 จังหวัดพิษณุโลก
เพื่อน ๆ นอกนั้นไปอยู่กองพันทหารม้าที่ 4 กองพันทหารม้าที่ 5 บางกระบือ อยู่กองโรงเรียนเพื่อทำหน้าที่ครูฝึกนักเรียนนายสิบยานเกราะรุ่น 6 และอีกส่วนไปอยู่กองพันทหารม้าที่ 8 จังหวัดนครราชสีมา ที่มีเจ้าพ่อกระทิงแดง “พ.ท.สุดสาย หัสดิน” เป็นผู้บังคับกองพัน สมัยนั้นยังไม่มีเครื่องดื่มยี่ห้อกระทิงแดง แต่สัญลักษณ์ของกองพันทหารม้าที่ 8 เป็นรูปกระทิงแดง และต่อมาเมื่อ พ.ท.สุดสายเกษียณราชการก็มีบทบาทด้านมวลชน เป็นผู้ก่อตั้ง “กองกำลังกระทิงแดง” ที่มีพลพรรคเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ระดับอาชีวศึกษาล้วน ๆ มีบทบาทสำคัญด้านการเมือง
ผมและเพื่อนยังไม่ได้ไปอุตรดิตถ์ เพราะกองพันยังสร้างไม่เสร็จ ต้องไปอาศัยกินนอนที่กองพลทหารม้า สนามเป้า มีอาคาร 1 หลังสำหรับนักเรียนนายสิบซุกหัวนอน มีโรงรถอีก 1 หลัง สำหรับใครที่ใฝ่รู้ด้านเครื่องยนต์ก็ไปหาความรู้เอาเอง ส่วนอาหารการกินไม่มีโรงครัว ไม่มีการประกอบอาหาร แต่ไปผูกปิ่นโต 3 มื้อ หลวงท่านเป็นคนจ่ายเงิน มีรถไปรับปิ่นโตจากถนนลาดพร้าวมาบริการ
กินและนอนที่สนามเป้าหลายเดือน ไม่ได้ฝึกฝนความรู้เรื่องรถถังหรือรับการสอนขับรถยนต์เหมือนเพื่อนกองพันอื่น จนกระทั่งกองพันทหารม้าที่ 9 สร้างเสร็จก็ต้องอำลากองพลทหารม้า สนามเป้า และเป็นที่โล่งอกโล่งใจของทหารกองรักษาการณ์ที่นั่น เพราะมีหน้าที่เสริมคอยรับตัวพวกผมที่ร่ำสุราเมามาย จากตลาดสนามเป้าที่มีร้านค้าอยู่เพียงหยิบมือ เอาไปนอนสงบสติอารมณ์ในห้องขังกองรักษาการณ์ เป็นดั่งนี้แทนทุกคืน
เอารถถังรถ ยีเอ็มซี. ไปขึ้นรถไฟที่สถานีบางซื่อ ระหว่างทางมีผู้คนโบกมืออวยชัยให้พร
บ้างก็ตะโกนลั่น “ไปเอาชัยมาเน้อ” เพราะเขาคิดว่าพวกผมกำลังไปรบ ผมได้ยินชัดเพราะรถไฟขบวนพิเศษนี้แล่นช้า ต้องบรรทุกยุทโธปกรณ์และกำลังพลน้ำหนักมาก
ถึงสถานีอุตรดิตถ์เคลื่อนย้ายเข้าที่ตั้ง ไอ้ที่ว่ากองพันสร้างเสร็จนั้นมันเสร็จเฉพาะอาคารกองร้อย อาคารโรงรถกับบ้านพักนายทหาร และเรือนแถวนายสิบจำนวนหนึ่ง แต่ถนนหนทางในกองพันยังเป็นถนนดิน ขอโทษที…..ฝุ่นหนาเตอะท่วมข้อเท้า
มีทหารไปอยู่ล่วงหน้าเป็นบางส่วนเล่าให้ฟังว่า แม้ที่ตั้งกองพันจะอยู่ริมถนนใหญ่ อยู่ระหว่างตัวอำเภอลับแลกับพระแท่นศิลาอาสน์ แต่มันเป็นป่าทึบ สัตว์ร้ายที่ชอบมาดูการก่อสร้างคือ “หมี”
คืนแรกพวกผมต้องนอนกองร้อย นายสิบที่มีครอบครัวก็ได้ห้องพักเรือนแถว ส่วนอาหารการกินนั้น ตอนอยู่สนามเป้าพวกผมกินข้าวปิ่นโตมาอยู่อุตรดิตถ์ต้องฝากท้องไว้กับร้านค้าหนึ่งเดียวในกองพัน คือร้าน “จ่าเจียม” จ.ส.อ.เจียม แท่นทอง ข้าวไข่เจียวยืนพื้น
หลังจากติดยศสิบโทและสิบตรีตามคะแนนที่ฝึกงาน บรรดาผู้หมู่หนุ่มโสดเงินเดือน 500 บาท ไม่มีใครอยู่ในกองพันแล้ว ต่างเข้าไปอยู่ในตัวเมืองอุตรดิตถ์ และบางส่วนก็ไปอยู่ตัวอำเภอลับแล เพราะพลทหารใหม่กำลังจะเข้ามา กองร้อยจึงต้องเป็นที่นอนของพลทหารไม่ใช่นายสิบ
บ้านเช่าหลังหนึ่งอยู่กัน 5 – 6 คน ค่าเช่าบ้านเฉลี่ยกันออก บ้านไหนเป็นทหารเรียบร้อยมีรสนิยมเหมือนกัน ไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่ไม่ชอบเที่ยวเตร่ก็จะหุงหาอาหารรับประทานเอง ขณะที่พวกผมหลายคนต่างมีรสนิยมตรงกันข้าม
เงินเดือน 500 บาท ไหนจะค่าเช่าบ้าน ค่าอาหาร ค่าเหล้า ค่าบุหรี่ ค่าซักผ้า และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จิปาถะ ไม่เคยตลอดรอดฝั่งจากต้นเดือนถึงปลายเดือน พอปลายเดือนก็หมดเสียแล้ว
บุหรี่ต้องเซ็นเชื่อกับร้านค้าแถวบ้าน ไม่มีเงินติดตัวก็ไปเซ็นข้าวสารมาขายหรือไม่ก็ไปกู้กับจ่าการเงินของกองพัน แม้แต่เสื้อกางเกงพลเรือนก็ต้องเอานามบัตรจ่าการเงินไปตัดที่ร้านค้าในตัวเมืองแล้วหักเงินสิ้นเดือน ชีวิตจึงถูกผูกมัดด้วยสินเชื่อทุกรูปแบบ บางครั้งไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน ปลิ้นกระเป๋าเพื่อนทุกคนที่อยู่ด้วยกันรวมแล้วยังไม่ถึง 50 บาท ต้องย้ายบ้านกันทุลักทุเล
กองทัพบกไทยในยุคนั้นไม่ได้ดูแลเรื่องสวัสดิการอะไรเลย ปล่อยให้ชั้นประทวนอยู่กันแบบตามมีตามเกิด แสวงหาความอยู่รอดเอาเองจึงเกิดการโจรกรรมขึ้นในกองพันอยู่เรื่อย มีการงัดคลังอาภรณ์ภัณฑ์ของกองร้อยขนเอาเสื้อผ้าสำหรับแจกทหารใหม่ รวมทั้งเครื่องใช้ระจำวันอย่างขันน้ำกระติกน้ำไปเกลี้ยงคลังแถมทิ้งอุจจาระกองโตไว้ให้ผู้บังคับกองร้อยเป็นที่ระลึก
โจรกรรมครั้งใหญ่ คือ การขโมยปืนกลในรถถังไปขาย งานนี้เป็นฝีมือเพื่อนผมรุ่นเดียวกันแต่ถูกจับได้ เอาตัวมาขังที่กองรักษาการณ์ การสอบสวนโหดมากครับ มัดมือโยงไว้กับขื่อ ถอดเสื้อผ้าออกหมด นายทหารสอบสวนถามเท่าไหร่ก็ปฏิเสธหมด แต่สุดท้ายก็สารภาพหมดเปลือก หอบหิ้วปืนกลไปขายแถวชายแดนจังหวัดตาก ตามเอาของกลางคืนไม่ได้เพราะข้ามแม่น้ำไปแล้ว
ทำไมเพื่อนผมจึงยอมสารภาพ เพราะเขาเอารังมดแดงขนาดใหญ่มาสลัดใส่ตัวเพื่อนที่ร่างกายเปลือยเปล่า ค่อย ๆ สลัดทีละน้อยละน้อย ไม่ต้องบอกละครับว่าอาการดิ้นทุรนจะขนาดไหน เสียงร้องจะโหยหวนเพียงใด
ยุคนั้น “ฝิ่น” กำลังขึ้นชื่อลือชา เมื่อกองทัพปล่อยล่าเหยื่อกินเอง ขาใหญ่รุ่นพี่มีกิจการรับจ้าง “ล่องฝิ่น” เข้ากรุงเทพฯ โดยพาหนะที่เรียกว่า “แพ” เอาฝิ่นใส่ปี๊บบัดกรีอย่างดีไม่ให้น้ำเข้าแล้วผูกกับลูกบวบใต้น้ำ จากแม่น้ำน่านไปสิ้นสุดที่ปากน้ำโพ ส่วนขาเล็กอย่างพวกผมก็หาเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านรับจ้างหิ้วฝิ่นจากหน้าสถานีรถไฟอุตรดิตถ์เอาไปวางไว้ในโบกี้รถไฟเดินผ่านตำรวจไม่กี่ก้าวก็มีเงินติดกระเป๋าครั้งละ 30 – 50 บาท
ติดยศแล้ว พร้อมกับข่าวร้ายตามมา กองทัพบกปิดหลักสูตรนักเรียนนายร้อยสำรอง ยานเกราะรุ่น 5 เป็นรุ่นแรกที่สนองคำสั่ง และคนสอบคะแนนที่ 1 ก็ไม่มีสิทธิ์ไปเข้าโรงเรียนเตรียมนายร้อย ถึงกระนั้นรุ่นผมดอดไปสมัครสอบเอง ได้เป็นนักเรียนเตรียมนายร้อยรุ่น 18 รุ่นสุดท้าย และเป็นนักเรียนนายร้อย จปร.รุ่น 11 “พล.ท.สุวินัย บริบูรณางกูร” อดีตผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 5
เมื่อความหวังดับวูบ ผมก็ปล่อยให้ชีวิตมันล่องลอยไปตามเวรตามกรรม ไม่ไยดีกับความก้าวหน้าของการรับราชการอยู่ไปวัน ๆ กับสิ่งแวดล้อมที่ค่อนข้างเลวร้าย
ย่านตลาดคลองโพธิ์ที่พวกผมเช่าบ้านอยู่หลายสิบหลัง เมื่อล้มนักเลงใหญ่ที่ชื่อ “สง่า ตาแดง” ลงได้ก็ไม่มีปัญหาอะไรในละแวกนั้น รวมทั้งการเปิดศึกกับทหารม้าด้วยกันแต่ต่างกองพัน เป็นทหารม้าขี่ม้า กองพันทหารม้าที่ 7 อยู่ตำบลท่าเสาเลยตัวเมืองไปทางทิศเหนือ แม้จะเป็นทหารม้าด้วยกันก็ต้องมีการเรียกน้ำย่อยพอหอมปากหอมคอกว่าจะสมานสามัคคีกลายเป็น ม.พัน 16 คือ ม.พัน 9 บวก ม.พัน 7 จึงไม่มีเรื่องบาดหมางเกิดขึ้น
ความบันเทิงของพวกผมอยู่ที่โรงหนัง พวกผมดูหนังฟรีไม่ว่าโรงหนังในตลาด หรือโรงหนังคลองโพธิ์ แม้แต่โรงหนังต่างอำเภออย่างอำเภอพิชัย ถ้ารู้ว่าอยู่ ม.พัน 9 ก็เข้าฟรี
เรื่อง “กะหรี่ไม่ใช่หญิงคนชั่ว” ก็เข้าฉาย พวกผม (บางคน) ใช้บริการฟรี ตกกลางคืนไม่มีเงินกินเหล้าก็ไปเล่นสนุ้กเกอร์ อันนี้ไม่ได้เล่นฟรีแต่ก็เซ็นได้ไว้จ่ายตอนสิ้นเดือน
ไอ้เรื่องเหล้านี่ก็ทำให้ชีวิตหักเหไปอยู่ด้านลบ ถ้าเมามากมักจะตื่นไม่ทันรถบริการ คือประมาณโมงเช้าจะมีรถยีเอ็มซี. 2 คันมารับพวกที่เช่าบ้านในตัวเมืองและตลาดคลองโพธิ์ ถ้าไม่ทันรถบริการก็เป็นอันว่าไปทำงานไม่ได้ เพราะเส้นทางจากตัวเมืองไปถึงกองพัน ระยะทางนับสิบกิโลเมตรไม่มีรถเมล์แล่นผ่านกองพัน
แล้ววันโลกาวินาศก็มาถึง คืนหนึ่งผมกับเพื่อนอีก 2 คน “เมตตา สุทธิวงศ์” “สราวุธ จอนเทศ” เมาเพียบจากในเมืองมาถึงตลาดคลองโพธิ์ไม่มีบุหรี่สูบทำยังไงดี ร้านป้าหน้าปากซอยที่เซ็นบุหรี่ได้ก็ปิดแล้ว เหลือแต่ร้านโชว์ห่วยชื่อ “หวานเย็น” อยู่หน้าโรงหนัง เจ้าของร้านเป็นจีนไหหลำรู้จักพวกผมดี ตัวเตี่ยแม้จะอยู่ในวัยชราแต่ก็แข็งแรง สูงใหญ่อย่างกับตึก ตัวลูกแก่กว่าพวกผมแต่ก็ไซส์เดียวกับเตี่ย
เมตตาไปขอเชื่อบุหรี่หนึ่งซอง เตี่ยออกมารับหน้ายืนกรานต้องจ่ายเงินสด เมตตากระโดดถีบทันที ต่อให้ใหญ่อย่างตึกก็หงายหลัง ลูกชายถลันเข้ามาช่วย สราวุธล้มโต๊ะ ขวดโหลใส่ขนมแตกกระจายเสียงดังลั่น ผู้คนพร้อมใจกันเป็นไทยมุง ผมยังไม่ได้ลงมืออะไรเลย แต่เห็นท่าไม่ดีเลยดึงแขนเพื่อนกลับบ้าน คิดว่าเรื่องขี้ประติ๋วแค่นี้ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยไปคุยกัน
ที่ไหนได้ ทั้งเตี่ยและลูกดอดไปแจ้งตำรวจในคืนนั้น มารู้ทีหลังเตี่ยมันบอกตำรวจว่า “หมู่เม็ตตาเตียะโผมสองตีงสองรอย” ตอนเช้าผมไปทำงานเดินผ่านร้านหวานเย็นก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติ ส่วนเมตตากับสราวุธยังไม่ตื่น
พอเข้ากองร้อยก็มีสารวัตรทหารซึ่งได้รับการประสานจากตำรวจมาเอาตัวผมไปที่จังหวัดทหารบกอุตรดิตถ์ ท่าเสา ตั้งข้อหาเมาสุราอาละวาด ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ทั้งเมตตาและสราวุธรู้ว่า ผมถูกจับ หนีเข้ากรุงเทพฯ ในวันนั้น ตกลงผมตกเป็นผู้ต้องหาคนเดียว และต้องถูกควบคุมตัวขึ้นศาลทหาร
เขาส่งผมเข้าเรือนจำทหาร แล้วที่นั่นก็เจอคู่ปรับเก่าสองคนเป็นสารวัตรทหารยศสิบตรีทั้งคู่อายุมากแล้ว “หมู่มั่น” ตัวสูงผอมหลังงุ้ม อีกคน “หมู่ขาว” ตัวเล็กร่างท้วมผิวขาวสมชื่อ ทั้งสองผู้หมู่มาจากพลทหารเคยเข้าเวรรักษาการณ์ในตัวเมืองแต่งเครื่องแบบสารวัตรทหารเดินกร่างแถวสถานีรถไฟ อยู่ดี ๆ ก็โดนตีหัวเครื่องแบบแดงเถือก
ไม่ใช่โดนท่อนไม้หรือเหล็กหรอกครับ พวกผมเอาน้ำหวานใส่ก้านมะละกอไปหวดหมวกไฟเบอร์ที่มันสวมใส่ น้ำหวานกระจายแดงฉานเหมือนเลือด มันตกใจร้องลั่น
มิน่าพักหลังไม่ค่อยเห็นหน้าหมู่มั่นหมู่ขาวเข้าเวรในตลาดมาอยู่ที่เรือนจำนี่เอง พอเห็นหน้าผมมันก็ยิ้มเยาะจัดการตีตรวนผมทันที ผมถามว่า ข้อหาแค่นี้ต้องตีตรวนด้วยหรือ มันตอบสะบัดเสียงว่าเจ้านายเขาสั่ง ชีวิตผมตกอยู่ในอุ้งมือมันแล้ว สิ่งที่ต้องทำ คือ เซฟตัวเอง ถึงคราวยอมก็ต้องยอมได้แต่จ้องหน้าคนตีตรวน ไม่ให้มันแกล้งตีพลาดเอาค้อนมากระแทกตาตุ่ม
ในห้องขังมีผมคนเดียวนอนบนกระดานที่เป็นเตียงทหาร แต่ต้องใช้กระป๋องนม 4 กระป๋องทาน้ำมันรองรับแผ่นกระดานเป็นขาเตียงป้องกันตัวเรือดไม่ให้ไต่ขึ้นมา แต่ตัวเรือดเรือนจำมันก็จองเวรแทนหมู่มั่นหมู่ขาว มันไต่กระป๋องไม่ได้ก็จริง แต่มันไต่ไปบนเพดานแล้วทิ้งตัวลงมาบนร่างผมแทบไม่ได้หลับ พลิกร่างทีเสียงตรวนนกกระยางที่ขามันกระทบกันบาดลึกเข้าไปในหัวใจ
ผมถูกใช้งานหนักราวกับเป็นผู้ต้องหาฆ่าคนตาย มันใช้ให้ไปลากซุงในแม่น้ำน่าน ค่อย ๆ ลากมากองริมตลิ่ง บางวันก็ให้เอาน้ำเกลือ คือ น้ำใส่เกลือแกงนี่แหละไปราดให้ทั่วสนามเทนนิส พอแดดออกจะมีขี้เกลือเต็มสนามแล้วก็สวมวิญญาณวัวควายลากลูกกลิ้งกลับไปกลับมาให้สนามราบเรียบ
อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ผมผ่านความยากลำบากมาพอควร เรื่องแค่นี้อดทนได้สบายมาก แต่ออกจากคุกแล้วเริ่มเหนื่อยหน่ายกับชีวิตทหารเสียแล้วซี.