ย่างเข้าสู่วันที่ 5 ของการฝึกงานเถื่อนในสังกัดตระเวนข่าวอาชญากรรมหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ที่มีประทีป สุวรรณพืช นักข่าวหัวเห็ดมากประสบการณ์เป็นติวเตอร์
ผมแทบไม่ได้จับงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนอกจากเดินแจกหนังสือพิมพ์ตามโรงพักเล่นเอามือดำเลอะหมึกไปหมด
“การเขียนข่าวอาชญากรรมก็เหมือนที่เราเรียนมาแหละ แต่รูปแบบของไทยรัฐอาจไม่เหมือนคนอื่นต้องอ่านแล้วศึกษาตามนั้น ที่สำคัญที่เราจะขาดไม่ได้ คือ ชื่อร้อยเวร ตำแหน่งนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ที่เกิดเหตุ ชื่อ นามสกุล อายุ และที่อยู่ของบุคคลในข่าว ตรงนี้พลาดไม่ได้” หนุ่มนักข่าวรุ่นพี่พยายามเน้นตลอดทาง
บ่ายวันนั้น รถตระเวนข่าวเจ้าของรหัส 804 พามุ่งเข้าชมรมผู้สื่อข่าวช่างภาพอาชญากรรม ภายในดับเพลิงพญาไท ที่เหล่าบรรดาเหยี่ยวข่าวรุ่นเก๋าเรียกกันว่า “พระราม” สถานที่คลาคล่ำไปด้วยกระจอกข่าวสายตำรวจมากหน้าหลายตา
นักศึกษาฝึกงานอย่างผม ทำได้แค่ก้มหน้าก้มตามุดเข้าไปนั่งเงียบใกล้วงหมากรุก
“สวัสดีหลานชาย มีอะไรบ้างหรือเปล่า มาฝึกงานหรือ” ชายสูงวัยทักทายด้วยน้ำเสียงเอ็นดู ผมได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหัวปฏิเสธแทนคำตอบ
“ถ้ามีอะไรบอกเราบ้างนะ”
ผมเริ่มไม่เข้าใจ ทำไมวัยแก่ปานนี้กลับต้องมาพึ่งพาเด็กฝึกงานฟันน้ำนมที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างผม แต่ผ่านไปไม่นาน ผมก็ได้คำตอบว่า แกเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์จีนสังกัดสากล ไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะไปตระเวนตะลอนหาข่าวอย่างนักหนังสือพิมพ์ฉบับใหญ่เลยต้องอาศัยใบบุญนักข่าวรุ่นลูกรุ่นหลานช่วยเอารายละเอียดปลีกย่อยมาเล่าให้แกจดส่งต้นสังกัดไปวัน ๆ
“ครับน้าโภชน์” ผมถึงบางอ้อ และเรียกแกได้เต็มปากเต็มคำ
สมโภชน์ ช่วยชูชาติ นักข่าววัยย่าง 70 กลายเป็นเพื่อนต่างวัยคนแรกของผมในห้องชมรมผู้สื่อข่าวที่ตลบอบอวลไปด้วยควันบุหรี่ กับเสียงด่าทอล่อพ่อแม่ดังลั่นที่ดูเหมือนเป็นกิจวัตรประจำวันของพวกเขา ผมเลยต้องเดินออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์อยู่หน้าห้องรำลึกความหลัง
พ่อผมตำรวจดับเพลิง แต่งงานกับแม่ที่สโมสรดับเพลิงชั้นบนของห้องชมรมผู้สื่อข่าวที่โดนปล่อยรกร้างไร้การเหลียวแลมานานหลายปี ส่วนห้องชมรมนั้น จำได้ว่า ผมก็เคยมาวิ่งเล่นเดินเกาะแกะพ่อเข้าไปนั่งดูบรรดาผู้ใหญ่ในเครื่องแบบสีกากีอัดบุหรี่ลุ้นไพ่รัมมีฆ่าเวลาก่อนเลิกงาน บางวันจำได้ว่า ติดสอยห้อยตามขึ้นไปนั่งเฝ้าพ่อจิบเบียร์อยู่บนสโมสรอีกฝั่งที่เหล่าตำรวจดับเพลิงแทงบิลเลียดกันอย่างเมามัน
ผมอาศัยอยู่ที่แฟลตตำรวจดับเพลิงบนชั้น 4 ไม่ห่างชมรมผู้สื่อข่าวมากนัก ภาพของรถดับเพลิงสีเลือดหมูจอดอยู่ตามช่องยังติดตาผมไม่ลืม เพราะมันทำให้ผมบ้าสะสมโมเดลรถดับเพลิงคันใหญ่อยู่ไม่น้อย หลังได้มีโอกาสไปวิ่งเล่นปีนป่ายเยี่ยงวีรบุรุษผจญเพลิงในสมัยเรียนอนุบาลอยู่เป็นประจำ
วันดีคืนดีก็ทำวีรกรรมบังคับให้พ่อแต่งเครื่องแบบตำรวจไปจับครูโรงเรียนสมาคมสตรีไทยที่ผมเรียนอนุบาลอยู่ อันเนื่องมาจากผมชอบทำตัวหัวดื้อพยายามเกเรไม่อยากไปโรงเรียนแล้วถูกครูดุบ่อย ๆ
ต่อมา ผมย้ายออกจากแฟลตไปอยู่บ้านพักครูวิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ ย่านทุ่งมหาเมฆ ตั้งแต่ตอนเรียนประถม 2 เปลี่ยนไปเข้าโรงเรียนทุ่งมหาเมฆ แม้มีโอกาสติดรถมายังกองบังคับการตำรวจดับเพลิงที่ทำงานของพ่อบ่อยครั้งก็ยังรู้สึกห่างเหินภาพเก่าเหล่านั้นมานานกว่า 10 ปี เพิ่งจะมีโอกาสฝึกตระเวนข่าวครั้งนี้แหละที่ทำให้ภาพความทรงจำในอดีตย้อนกลับมา
ภาพสนามหญ้าหน้าแฟลตที่เคยวิ่งเล่นกลายเป็นที่จอดรถแออัดยัดเหยียดเต็มพรึบไปหมด แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลย คือ สภาพช่องถังขยะของแฟลตยังเต็มไปด้วยแมลงสาบเดินไต่กันยั้วเยี้ยน่าขยะแขยงเหมือนเดิม
จากเด็กน้อยตัวเล็กกับความฝันจะเป็นนักดับเพลิงหน่วยบรรเทาสาธารณภัยขับรถบันไดคันใหญ่ไปฉีดน้ำดับไฟ พอวันนี้เติบโตตัวใหญ่ใจกลับฝันอยากจะเป็นนักข่าว
“กรุงเทพ เรียกหมวดวี กรุงเทพรับแจ้งเหตุ 241 อาวุธสงครามบริเวณถนนสายปิ่นเกล้า-นครชัยศรี ผู้เสียชีวิต 2 รายอยู่ในรถปิกอัพแวน ทะเบียน 1ฌ-5228 กรุงเทพมหานคร หมวดวีได้ต้องการ ว.8 ให้ ว.25 ที่เกิดเหตุได้ในเวลานี้ ….” เสียงวิทยุสื่อสารค่ายมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งของนักข่าวในห้องชมรมหลายคนดังทำผมสะดุ้งตื่นคืนสติ แต่ฝูงพิราบข่าวตะแคงหูฟังเงียบกันไปพักใหญ่
“ดีนะที่เป็นพื้นที่ภูธร ไม่ใช่เขตนครบาล” คนหนึ่งเอ่ยอย่างโล่งอก
“แม่งโหดชิบหาย”
“ช่างมันเถอะ ไปกันดีกว่า เฮ้ยทีป เจอกันที่งานนะ” นักข่าวในทีมส่งสัญญาณ
“ไปโว้ย เอ็ง” ประทีปหันมาสะกิด
ผมกำลังใจจดใจจ่อกับรายงานวิทยุด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะเป็นการถล่มฆ่าแบบโหดเหี้ยมอุกอาจด้วยอาวุธสงครามนานาชนิด แถมมีการปาระเบิดใส่อีกต่างหากจนเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งที่อยู่ในที่เกิดเหตุต้องรายงานความตื่นเต้นระทึกขวัญมาเป็นระยะ แต่กลับไม่ทำให้นักข่าวตระเวนในห้องชมรมคนใดสนใจอยากรู้เหมือนผม
“มันนอกเขตรับผิดชอบว่ะ ไอ้น้อง” นักข่าวรุ่นพี่คนหนึ่งไขข้อกังหา “ไปกันได้แล้ว เสียเวลากินเหล้า”
ที่แท้พวกชมรมผู้สื่อข่าวช่างภาพอาชญากรรมมีนัดเลี้ยงสังสรรค์กันที่โรงแรมบางกอกพาเลซ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ในค่ำวันนั้น เหตุฆาตกรรมกลางถนนหลวงเขตพื้นที่ภูธรเลยไม่มีใครใส่ใจเอามาเป็นประเด็นให้กวนเวลาเฮฮา และมั่นใจว่า ข่าวสำคัญชิ้นนี้ต้องเป็นภาระหน้าที่รับผิดชอบของนักข่าวภูธรอยู่แล้ว
ผมนั่งอยู่นั่งอยู่ในโต๊ะก๊วนนักข่าวตระเวนไทยรัฐ กำลังทำความรู้จักรุ่นพี่หัวเห็ดหลายชีวิต
“เอ็งมารู้จักหัวหน้าพี่หน่อย” ประทีปกวักมือเข้าไปหาอลงกฎ จิตต์ชื่นโชติ
“นี่พี่อ๋อย หัวหน้าข่าวอาชญากรรม”
ผมยกมือสวัสดีแล้วถอยฉากกลับมานั่งที่เดิมด้วยความเคอะเขิน เหตุเพราะการฝึกงานของผมไม่มีหนังสือส่งตัวจากมหาวิทยาลัยตามระเบียบขั้นตอนอย่างที่มันควรจะเป็น แต่แม่ทัพข่าวอาชญากรรมหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ก็ไม่ได้ว่า อะไร
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง บรรยากาศที่กำลังคึกคักในห้องจัดเลี้ยงเริ่มอึมครึม นักข่าวหลายคนเริ่มหันมามองหน้าเลิกลั่กแล้วค่อย ๆ ฉากออกจากห้องไปทีละคนสองคน
“เฮ้ย รู้เปล่าเฮียเหลาถูกยิง” หัวหน้าอ๋อยเดินมาตะโกนลั่นกลางโต๊ะ
“ไปเร็วพวกมึง” สิ้นเสียงคำรามของหัวหน้า เกือบทุกชีวิตกูลีกูจอเผ่นแนบออกจากห้องรู้หน้าที่ของตัวเอง ส่วนผมขนลุกซู่ปะติดปะต่อเรื่องจนทราบว่า แคล้ว ธนิกุล นายกสมาคมมวยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย เจ้าพ่อเบอร์หนึ่งของเมืองไทย ถูกคนร้ายยิงถล่มตายคารถปิกอัพแวน ยี่ห้อนิสสัน สีดำ เหตุการณ์เดียวกับที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งรายงานก่อนหน้าเมื่อตอนเย็น
พวกนักข่าวข้ามความเฉลียวใจทั้งที่ศูนย์วิทยุกรุงเทพของมูลนิธิบรรยายสภาพที่เกิดเหตุอย่างละเอียด เน้นชัดด้วยว่า ปิกอัพแวนคันที่ตกเป็นเหยื่อกระสุนติดสติกเกอร์ข้างรถระบุข้อความว่า “ธนิกุลยิม”
ตำนานเจ้าพ่อเมืองหลวงสิ้นชื่อพร้อมสกลยุทธ ทองสายธาร หรือฉายา “ตี๋ ดำเนิน” มือปืน 100 ศพลูกน้องคู่ใจระหว่างนั่งรถไปบนถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี กิโลเมตรที่ 45-46 ตำบลทรงคะนอง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม หลังเสร็จร่วมพิธีเปิดการแข่งขันชกมวยคิงส์คัพ ที่สนามกีฬาเวศน์ ไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง เตรียมมุ่งหน้าบ้านเกิดสมุทรสงครามที่ตัวเองกำลังวางเป้าจะลงสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในถิ่นนั้น
“ไปซอยสุขุมวิท 93” ประทีปสั่งคนขับรถห้อตะบึ่งไปอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวไปถึงแล้วช่วยกันไปดูบรรยากาศที่บ้านแคล้วหน่อยนะ” แกหันหลังมาสั่งผม
ผมกำลังมึน ยอมรับว่า ตื่นเต้นที่ประเดิมชีวิตนักข่าวภาคสนามแม้จะแค่ฝึกงานก็เจอคดีใหญ่ครึกโครมระดับประเทศเข้าแล้ว พอรถไปจอดหน้าบ้านเลขที่ 309/5 ซอยสุขุมวิท 93 แยกซอยพึ่งมี แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร นักข่าวหนุ่มรุ่นพี่เปิดประตูเดินลงหายไปท่ามกลางความมืด ผมลงตามเก้ ๆ กัง ๆ ไปหยุดข้างรั้วคฤหาสน์เจ้าพ่อได้ยินเสียงคนนั่งก้มหน้าร้องไห้
“เจ้าหนึ่ง ฉัตรชัย สาสกุล นักมวยคนดังนี่หว่า” ผมนึกในใจก่อนทักทาย
“เป็นไงหนึ่ง รู้เรื่องแล้วใช่ไหม เกิดขึ้นได้อย่างไรรู้ไหม” ผมถาม
“ผมเพิ่งเจอเฮียที่สนามมวยเมื่อตอนเย็นอยู่แล้ว” นักมวยชื่อก้องปาดน้ำตาเสียงสะอึกสะอื้น “ผมไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่ามันเป็นเรื่องจริง” หนุ่มค้ากำปั้นปล่อยโฮดังขึ้นชวนให้นักมวยอีกหลายชีวิตในบ้านแห่กันมามุงถามผม
“จริงหรือครับพี่ เย็นเมื่อพวกผมยังเห็นเฮียแกในทีวีอยู่เลย”
ผมได้แต่พยักหน้าถอนหายใจ
“เรียบร้อยไหม” ประทีปมาสะกิด
“ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นรีบไปต่อ”
รถนักข่าวหนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ทุกสำนักในเมืองไทยพากันมุ่งหน้าไปยังสถาบันนิติเวชวิทยาโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อเก็บภาพบรรยากาศนำศพผู้กว้างขวางวงการมวยมาผ่าชันสูตรหลังถูกมัจจุราชในคราบชายชุดเขียวถล่มคมกระสุนสงครามจนรถพรุนทั้งคัน
ทว่า ศพของนักเลงรุ่นเก่าฉายา “เหลา สวนมะลิ” แทบไม่มีร่องรอยกระสุนเจาะร่าง นอกเสียจากสะเก็ดลูกปืนตามตัวเล็กน้อย มีเพียงนัดเดียวเท่านั้นที่ทะลุหลังตัดขั้วหัวใจ
“หรือว่าแกอมพระไว้ในปากถึงเหนียวขนาดนี้” เริ่มมีเสียงวิจารณ์อื้ออึงจากภาพข่าวของมูลนิธิที่ไปถึงที่เกิดเหตุตอนแรกแล้วเห็นผู้ยิ่งใหญ่วงการมาเฟียอมพระสมเด็จคาปากแน่นก่อนสิ้นลม
“แสดงว่าไม่เหนียวจริงต่างหาก” ผมยืนฟังแล้วพึมพำกับตัวเอง
คืนนั้น ผมไม่ได้กลับบ้าน เพราะถูกพวกพี่นักข่าวลากยาวไปนั่งดูเขาดวลหัวคิวที่โต๊ะสนุ้กเกอร์แถวซอยอินทามระยันสว่างคาตา มันทำให้ผมเรียนรู้ชีวิตนักข่าวตระเวนอาชญากรรมเร็วขึ้นถึงแม้จะไม่ได้โดดลงไปสอยคิวกับเขาด้วยสักเกม
การจบชีวิตของแคล้ว ธนิกุล กลายเป็นข่าวพาดหัวใหญ่ของสื่อทุกสำนักในวันรุ่งขึ้น และกลายเป็นผลงานข่าวชิ้นแรกในชีวิตที่ผมมีส่วนร่วมบันทึกนำเรื่องราวบางเสี้ยวเอามาตีแผ่ลงหน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐในห้วงบรรยากาศนักมวยในสังกัดเฮียเหลาร่ำไห้หลั่งน้ำตาระงมทันทีที่ทราบข่าวใบบุญร่วง
นับเป็นจุดเริ่มต้นของการจับปากกาละเลงเนื้อหาเรื่องราวของวายร้ายอย่างจริงจังของผม
ถึงกระนั้นก็ตาม ผมได้ใช้เวลากว่า 20 ปี แกะรอยไขปริศนาข่าวคดีแรกในชีวิตจนหายค้างคาใจตัวเองแล้ว
“ใครสั่งตายเจ้าพ่อแคล้ว” เป็นคำถามที่หลายคนอยากรู้ในห้วงเวลาขณะนั้น ก่อนลงความเห็นปักใจไปที่ฝากรัฐบาลของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช.ที่ต้องการกำราบผู้มีอิทธิพลเมืองไทย ประเดิมด้วยการเด็ดบัญชีอันดับ 1 ให้ทุกคนตะลึงหดหัวกลับ
จริงเท็จอย่างไรไม่รู้ แต่คนที่ผมเชื่อว่า อยู่เบื้องหลังสั่งตายกลายเป็นแหล่งข่าวชั้นดีของผมในเวลาต่อมา เมื่อได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นการทำงานในอดีตจนเจ้าตัวยอมเปิดฉากเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์เลือดวงการนักเลง
“ผมเคยจับเขาข้อหาซ่องโจรไปขังไว้โรงพักดุสิต มีนักการเมือง นายทหาร คนดังวงการมวยมาเยี่ยมกันเต็มโรงพัก เราบอกแคล้วว่า ที่จับครั้งนี้เพื่อสั่งสอน ไม่ให้ซ่า ในพื้นที่นี้ คนที่ใหญ่สุด คือ ผู้กำกับ นักเลงจะมาใหญ่กว่าตำรวจได้อย่างไร เจ้าพ่อตัวจริง คือ กู ไม่ใช่มึง ถ้าจะมาแบบนอบน้อมถ่อมตน ถ้อยทีถ้อยอาศัยเราไม่ว่า เล่นมากร่างใหญ่กว่า อย่างนี้อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้” แหล่งข่าวคนนี้บอกถึงชนวนเหตุ
“หลังจากนั้นเพียงแค่ 3 เดือน มันไปจัดงานวันเกิด จัดเวทีใหญ่ยิ่งกว่าเวทีคอนเสิร์ต ขึ้นไปร้องเพลง พี่มีแต่ให้ ร้องเสร็จคงเมา ประกาศลั่นว่า ถนนสายนี้กูยังเดินไม่ได้ หากผมยังมีชีวิตอยู่ กล้าประกาศบนเวทีต่อหน้าแขกนับร้อย มีลูกน้องมาเล่าให้ฟัง ผมยังนั่งคิดเล่น ๆ เลยว่า โจรมันจะฆ่าตำรวจ หรือตำรวจจะฆ่าโจรดีวะ” เขาหัวเราะเหมือนเหตุการณ์เพิ่งผ่านมาไม่นาน
“มันจะฆ่าผม ผมจะเอาไว้ทำไม” แววตาของเขาเหี้ยมเกรียม
ผมฟังเพลินยิ้มไม่ยอมเอ่ยคำขัด
“ผมรอให้มันออกพ้นเขตนครบาลไปก่อนแล้วล่อเลย ความจริงมันไม่ได้ไปคันเดียวหรอก มีคันหน้า และคันหลังคอยคุ้มกันด้วย แต่พอปืนนัดแรกดังขึ้น ไอ้คันหน้าเหยียบหนีไปไม่คิดชีวิต ส่วนคันหลังเบรกชะลอความเร็วไม่กล้าเข้ามา” อดีตมือปราบเล่าราวกับฉากหนัง
“สุดท้ายผมให้ลูกน้องเอาพระยัดปากมันเองแหละ ผมอยากจะให้ชาวบ้านเห็นว่า พระไม่คุ้มครองคนชั่ว จริงไหมโต้ง”
“ครับพี่” ผมยิ้มรับ
ผมถือว่า ปิดคดีข่าวแรกในชีวิตเรียบร้อยแล้ว แม้ไม่ได้นำมาตีแผ่ให้สังคมรู้ถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังข้อเท็จจริง เพราะผมเลือกที่จะพอใจในการเก็บความลับของคดีประวัติศาสตร์เจ้าพ่อเมืองไทยไว้กับตัวคนเดียว
ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปฟื้นฝอยหาตะเข็บ