“เป็นแรงกดดันที่ต้องเร่งพิสูจน์ตัวเอง”

 

ายหน้าเก็บตัวเงียบไปนาน หลังเจอพิษพ็อกเก็ตบุ๊ก ทักษิณ : WHERE ARE YOU ? ทำมรสุมชีวิตนายทหารสาวนักข่าวช่อง 5 บาดเจ็บสะบักสะบอม

วันนี้ “หมวดเจี๊ยบ” ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต โผล่ขึ้นมายืนบนถนนการเมืองลงสมัครชิงตำแหน่ง ส.ส.ในนามพรรคเพื่อไทย เขตบางแค ไม่ต้องแคร์ต้นสังกัดเก่าอีกต่อไป เมื่อหัวใจประชาธิปไตยเรียกร้องให้ถอดเครื่องแบบลาออกจากอาชีพรับราชการทหารในวันที่ถึงทางตัน

เธอเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนศึกษานารี เกิดฝั่งธนบุรี เรียนจบปริญญาตรีรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโทสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นไปฝึกงานสถานีโทรทัศน์ “เอ็นเอชเค” ในแดนปลาดิบนาน 3 เดือน

ปี 2543 ติดยศ ร.ต.สังกัดกรมสรรพวุธ แผนกธุรการคลังยุทโธปกรณ์ แล้วย้ายมาแผนกโฆษกศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก แปลข่าวต่างประเทศรายงานผู้บังคับบัญชา ควบกับทำประชาสัมพันธ์ติดต่อสื่อมวลชน กระทั่งเลื่อนยศเป็น ร.ท. ย้ายไปศูนย์วิทยุกองทัพบกจัดรายการวิทยุ ก่อนโยกไปอยู่ช่อง 5 เป็นนักข่าวสายทหารนานกว่า 4 ปี ขึ้นชั้นผู้ประกาศข่าวพยากรณ์อากาศ และอ่านข่าวเบรก ขยับสังกัดสำนักงานเลขานุการกองทัพบก

กลายเป็นข่าวฮือฮา หลังทำเรื่องลาพักร้อนแล้วบินไปอังกฤษสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตผู้นำประเทศ เมื่อปี 2550 จากนั้นหายตัวไปเกือบ 20 วัน ไม่ได้ขอลาเพิ่ม ทำกองทัพปั่นป่วน ทันทีที่เปิดตัวพ็อกเกตบุ๊กเจาะใจอดีตนายกรัฐมนตรีแบบหมดเปลือกถึงนครลอนดอน

ทำให้ผู้หมวดสาวคนดังยอมยุติบทบาท ยื่นใบลาออกจากราชการ

“ผู้ใหญ่ไม่สบายใจ เหมือนยับยั้งใบลาออก” ร.ท.หญิง สุณิสา ย้อนเรื่องราวในห้วงเวลาระส่ำที่เกิดขึ้น “แต่เขาก็ไม่ว่างใจให้เราทำอะไรเลย ไม่มีตำแหน่งให้ มีแต่ชื่ออยู่ในกองทัพบก ประจำ สำนักงานเลขานุการกองทัพบก หลังไปช่วยราชการในฐานะผู้ประกาศข่าว และผู้สื่อข่าวของช่อง 5กลับมาลอย ๆ ประจำในโครงการสร้าง แต่ไม่มีการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่อะไรในสังกัด ไม่มีหน้าที่ความรับผิดชอบ ไม่มีการมอบหมายงานให้เจี๊ยบทำอะไรสักอย่าง”

เธอระบายความรู้สึกว่า แล้วเราจะมีความเจริญก้าวหน้าในอาชีพได้อย่างไร เพราะไม่มีทางจะมีผลงานอะไรได้ และยังทำให้เราคิดว่า อยู่เหมือนรับเงินเดือนแล้วไม่ได้ทำอะไรเป็นประโยชน์ให้องค์กร ขณะที่ตัวเรายังอยู่ในวัยที่ยังมีไฟ มีไอเดียอะไรที่ยังอยากจะทำงานอยู่ มีส่วนให้ต้องพิจารณาตัวเอง ก็เข้าใจผู้บังคับบัญชา ถ้าเราเป็นเจ้านาย ก็ต้องทำแบบนี้เหมือนกัน เข้าใจได้ ทำไมถึงไม่ไว้วางใจเรา ไม่กล้าสนับสนุนเรา อาจจะกลัว ไม่อยากให้ผู้มีอำนาจไม่พอใจ เพราะว่า สิ่งที่เราทำ ทำให้ผู้มีอำนาจไม่พอใจในตัวเรา แล้วใครมาสนับเราเขาก็จะเดือดร้อนไปด้วย เราเข้าใจเหตุผลทุกอย่าง

“เพื่อไม่ให้ทุกฝ่ายอึดอัดใจ เจี๊ยบก็ต้องพิจารณาตัวเอง เลือกจะเปลี่ยนเส้นทางชีวิตตัวเอง ลาออกจากกองทัพไปเรียนต่อประเทศอังกฤษเมื่อปลายปี 52 อ้างเหตุผลลาไปเรียนต่างประเทศ ต้นสังกัดถึงอนุมัติ ตอนแรกเจ้านายอาจไม่สบาย กลัวคนจะมองว่า มาบีบ มารังแกเจี๊ยบหรือเปล่า แต่เจี๊ยบก็ไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริงของท่าน ได้แค่เดา ได้ยินได้ฟังมา แต่เหตุผลที่แท้จริง คืออะไร ไม่ทราบ”

หมวดเจี๊ยบบอกว่า คิดจะเปลี่ยนเส้นทางไปเรียนต่อด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แนวรัฐศาสตร์และการเมือง มหาวิทยาลัยเบอร์มิ่งแฮม ต่อยอดจากเดิมที่จบปริญญาตรีรัฐศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คิดว่า ออกไปเห็นในโลกกว้างดีกว่า แม้อาจจะมีประสบการณ์ในเมืองไทยแล้ว แต่ควรจะไปเรียนรู้ ไปเห็นระบบสังคมในประเทศที่เจริญกว่า เพื่ออาจจะนำในสิ่งที่เราเห็นระบบในประเทศพัฒนาแล้วมาประยุกต์ใช้อะไรที่ดี ๆ ในเมืองไทยบ้าง

อดีตนายทหารหญิงบอกอีกว่า นึกอยู่นานเหมือนกัน เพราะการเรียนต่อต่างประเทศต้องวางแผนล่วงหน้าเป็นปี ขั้นตอนการสมัครต้องใช้เวลา ไม่เหมือนเมืองไทย กระบวนการสมัครต้องใช้เวลานาน เขาพิจารณาหลายอย่างจากประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมาไปประกอบกับผลการเรียนเป็นหลัก อีกทั้งกระบวนการขอวีซ่า การส่งจดหมายโต้ตอบเลยใช้เวลาว่างช่วงนั้นเตรียมตัว

“มันมีไฟอยู่ มีประสบการณ์ ระหว่างไม่ได้รับการมอบหมายงานที่ชัดเจนจากกองทัพ ก็ทำในสิ่งที่ทำได้ และมีโอกาสเขียนหนังสืออีกเล่ม ทักษิณ ARE YOU OK หรือว่า ความพยายามไปจัดรายการในสถานีโทรทัศน์ที่เขาให้โอกาสเรา ตอนนั้น คือ ดีทีวี แต่ก็ถูกผู้บังคับบัญชาเล่นงานเพิ่มขึ้นมาอีก ทำให้รู้สึกว่า อัดอัด แต่จะให้หยุดคิด หยุดทำงาน มันทำไม่ได้ เพราะเรายังอยู่ในวัยที่ทำงานได้ กลายเป็นที่มาของความคิดที่จะเปลี่ยนแนวทางชีวิต” เธอให้เหตุผล

ชีวิตที่อยู่เมืองผู้ดีนานปีเศษ ร.ท.หญิงสุณิสา ตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง สามารถสอบข้อเขียนผ่านหมดแล้ว เหลือแค่รอพิจารณาวิทยานิพนธ์ และบินกลับเมืองไทยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา พอพรรคเพื่อไทยทราบจึงทาบทามลงเล่นการเมือง เธอมองว่า การวางตัวผู้สมัครแต่ละเขตไม่ได้พิจาราแค่เดือนสองเดือน ไม่ใช่พิจารณาแล้วต้องส่งลงเลย ต้องมีเวลาสัมผัสประชาชนในพื้นที่ จากนั้นพรรคต้องไปทำโพลล์สำรวจประชาชนในพื้นที่ว่า ตอบรับคนที่จะมาเป็นว่าที่ผู้สมัครหรือไม่ อย่างไร ถึงจะมีการพิจารณาว่า เขตนี้จะส่งคนนี้ ต้องใช้ระยะเวลา เตรียมการทุกเขตทั่วประเทศกว่าจะได้ข้อยุติว่าเป็นผู้สมัครเขตไหน คนไหน

เจ้าของผลงานพ็อกเกตบุ๊กที่เคยกระฉ่อนเมืองใช้เวลาใคร่ครวญ ดูองค์ประกอบต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่า ทำงานร่วมกันกับพรรคนี้ได้หรือไม่ พรรคเปิดโอกาสให้ทำงานมากน้อยแค่ไหน เมื่อเห็นระบบการบริหารจัดการในพรรคแล้ว เธอคิดว่า ถ้าเราทำงานอยู่ในพรรคแล้วไปบอกอะไรกับประชาชน พรรคจะมีทั้งทีมงานและนโยบายที่ดีที่จะสนับสนุนให้ไปทำตามนโยบายที่วางไว้หลังเลือกตั้งได้ ที่สำคัญพรรคก็เปิดรับความเห็นของเธอด้วย เมื่อดูว่า ร่วมงานกันได้ สุดท้ายหมวดเจี๊ยบก็ตัดสินใจยอมตกลง

เริ่มต้นด้วยการลงไปรู้จักพื้นที่ก่อน แม้เขตบางแคเป็นบ้านที่อยู่ ๆ แล้ว เธอต้องลงไปสัมผัสชาวบ้านมากกว่าเดิม ไปทำให้เขารู้จักเรา มีพรรคสนับสนุนทีมงาน บุคลากรในพื้นที่เป็นตัวกลางคอยเชื่อมให้รู้จักชาวบ้าน ฟังความรู้สึกของชาวบ้านว่า คาดหวังอย่างไรต่อคนที่จะมาเป็นผู้แทน เปิดโอกาสให้เขาได้พูดคุย ได้ซักถามสิ่งที่เขาสงสัยเกี่ยวกับตัวเธอ เหมือนมาสัมภาษณ์กันฟังวิสัยทัศน์ของเธอว่า จะทำงานแก้ปัญหาในพื้นที่ได้หรือไม่ไปประกอบการตัดสินใจ

ส่วนข้อข้องใจว่า อดีตนายกฯ ทักษิณ มีส่วนในการพูดคุยทาบทามหรือไม่ หมวดเจี๊ยบยืนยันว่า การพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเขียนหนังสืออย่างเดียว ถ้าไม่เกี่ยวจะไม่มีโอกาสได้พูดคุย และไม่มีเหตุผลที่ต้องคุย ช่วงที่เขียนหนังสือถึงได้คุยมากที่สุด หากไม่เกี่ยว พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่คนละประเทศ คนละทวีป ไม่ใช่ว่าจะติดต่อง่าย ๆ  ถามว่า คณะกรรมการผู้สมัครคิดอย่างไรถึงเลือกมาลงสมัคร เป็นการตัดสินใจของกรรมการ ไม่กล้าก้าวล่วง แต่คาดเดาได้ว่า การที่คณะกรรมการคัดเลือกเลือกเรา คงมีกระบวนการกลั่นกรองมาแล้ว มีการสัมภาษณ์ ดูประสบการณ์ ดูวิสัยทัศน์ ดูความตั้งใจในการทำงาน และส่งลงพื้นที่จริง ก่อนไปทำโพลล์สำรวจการตอบรับของประชาชนในพื้นที่กว่าจะเคาะอนุมัติลงเป็นผู้สมัครในเขตบางแค มันมีขั้นตอนชัดเจน พิจารณากันหลายระดับ ทั้งคณะกรรมการบริหารระดับภาค กทม. และระดับที่ใหญ่กว่า มีกรรมการบริหารพรรค มีหลายขั้นตอน เพราะพรรคก็หวังผลว่า ส่งใครแล้วก็อยากให้ได้ ไม่ใช่ส่งไปให้ครบทุกเขต 1 ที่นั่งก็มีความหมายกับพรรค

 “ไม่เคยคิดมาก่อนว่า จะเล่นการเมือง ตอนไปเรียน ก็เลือกจะเรียนสาขาที่เราสนใจ สาขาที่เรามีพิ้นฐานเดิมอยู่แล้ว แต่ถ้าไปอังกฤษ ต้องเรียนการเมืองส่วนที่ควรต่อยอดจากที่เรียนจุฬาฯ ต่อยอดจากวิชาที่ประเทศไทย ลงทุนข้ามน้ำข้ามทะเลไปเราควรจะได้ศึกษาลักษณะของการเมืองภาคพื้นยุโรปมาเปรียบเทียบเพื่อเป็นประโยชน์จากการที่ไปเรียนไกลขนาดนี้ ตอนนั้นคิดไว้กว้าง ๆ ว่า อยากกลับมาทำงานหนังสือ สามารถใช้มุมมองการวิเคราะห์ที่แตกต่างมาใช้วิเคราะห์การเมืองบ้างเราได้ ใช้เป็นวัตถุดิบของการเขียนหนังสือได้อีก”

อดีตนักข่าวไฟแรงบอกต่อว่า ถ้าจะกลับมาเป็นสื่อ น่าจะเป็นมุมมองใหม่ ๆ ที่กว้างขึ้น ใส่ในการนำเสนอข่าวได้ด้วย ยิ่งไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมีโอกาสได้เห็นการทำงานของสื่อในต่างประเทศทางภาคพื้นยุโรปด้วย วิธีการนำเสนอข่าว หรือพฤติกรรมการรับรู้ข่าวสารของประเทศเขาแตกต่างจากของเราอย่างไร มีมุมมองใหม่ที่จะนำมาพัฒนาต่อยออดกับสิ่งที่เราจะทำได้ แต่ ณ ตอนนั้น เหมือนคนไปเรียนหนังสือจะมากำหนดอะไรได้ ขึ้นอยู่กับโชคชะตา และจังหวะ ตอนนี้เลยเลือกเดินสายการเมืองเต็มตัว

“แรงกดดัน คือตัวเอง เพราะเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ ไม่เคยทำอะไรให้กับคนในพื้นที่ เป็นแรงกดดันที่ต้องเร่งพิสูจน์ตัวเองในระยะเวลาที่จำกัดกับการที่จะทำให้คนมั่นใจในตัวเรา แม้จะเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ มันเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับเจี๊ยบ ทำอย่างไรให้คนในพื้นที่มั่นใจ ดีพอที่จะเป็นตัวเลือกของเขา ที่ผ่านมาต้องลงมือทำให้เห็นเลย การแก้ไขปัญหาบางเรื่องในพื้นที่ให้เกิดเป็นรูปธรรม สิ่งนี้ดีกว่าคำพูด หรือสโลแกนที่สวยหรู”

“วันนี้ประชาชนจะตัดสินใจเลือก หรือไม่เลือกนักการเมือง เพราะดูที่การกระทำเป็นหลัก อาจมีนโยบายที่ดี แต่ต้องดูด้วยว่า มีศักยภาพความตั้งใจจริงที่จะมาทำหรือไม่ เชื่อว่าเป็นผู้สมัครหน้าใหม่อาจเสียเปรียบกับนักการเมืองที่มีผลงานมาแล้ว ต้องใช้เวลาสั้นที่สุดในการพิสูจน์ตัวเอง เรารอช้าไมได้ ต้องลงทำทันที การกระทำครั้งเดียวมันสำคัญมีพลังมากว่าคำพูดหนึ่งล้านคำแน่นอน” ผู้สมัคร ส.ส.หน้าใหม่ให้นิยาม

“ถ้าเกิดไม่ได้ล่ะ จริงอยู่ทั้งเจี๊ยบ กับทีมงานมีความตั้งใจจริง และทุ่มเทกับการทำงาน เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ถ้าผลออกมาผิดหวัง เจี๊ยบเชื่อว่าตัวเจ๊ยบเองเป็นคนที่แพ้เป็น รู้จักความพ่ายแพ้ และยอมรับมันได้ ถ้าเกิดเจี๊ยบได้ทำดีที่สุดแล้ว แล้วผลออกมามันไม่เป็นอย่างที่ต้องการ เจี๊ยบก็ต้องกลับมาทบทวนตัวเองว่า ที่ประชาชนไม่ให้โอกาสเรา เขาไม่เลือกเรา มันเพราะอะไร แล้วเราก็ต้องคิดว่าจะแก้ไขข้อบกพร่องอย่างไร เพื่อที่จะให้เราเรียนรู้ความผิดเหล่านั้น พัฒนาตัวเองให้มันดีขึ้น เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ประชาชนยอมรับเราให้ได้สักวันหนึ่ง”

เธอประกาศชัดเจนว่า ก่อนตัดสินใจทำอะไรอย่างถ้วนถี่แล้วว่าจะทำมันได้หรือไม่ แล้วจะทำจริงจังหรือเปล่า ไม่ได้คิดมาเล่นการเมืองแค่การเลือกตั้งเฉพาะหน้าสมัยนี้เท่านั้น แต่เมื่อเลือกเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่เราจะเดินแล้ว เราก็ต้องทำให้มันดีที่สุด ผลจะออกมาอย่างไรขึ้นอยู่กับการตัดสินของประชาชน

 

RELATED ARTICLES